webnovel

0164 ไตรภาคี

ตอนที่ 164 ไตรภาคี (1) 

มองไปยังมารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิง ที่กำลังเริ่มประกบมือซ้อนทับกัน แปรสัญลักษณ์ใช้ออกด้วยวิชาลับ 

บังเกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นขจรขจายไปทั่วทั้งท้องฟ้า ราวกับหินยักษ์ที่ร่วงตกลงสู่แอ่งน้ำ 

ในขณะเดียวกันกับที่มารสวรรค์กำลังใช้ออกด้วยวิชาลับ น้อมสวรรค์ซวนหยวนก็ตบลงไปในถุงสัมภาระ คว้าจับเอากระดองเต่าหกเหลี่ยมวางลงบนฝ่ามือและโปรยเหรียญทองแดงลงไป 

นี่คือหนึ่งในหกศิลป์ที่ยากที่สุด เทคนิคทำนายชะตา 

มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิง เป็นมอนสเตอร์ที่สามปราชญ์มิเคยได้พบได้เจอมาก่อน และขอบเขตของมันก็เหนือล้ำยิ่งกว่าพวกเขา ดังนั้นซวนหยวนจึงต้องใช้เทคนิคทำนายชะตา พยายามมองลอดเข้าไปล้วงความลับแห่งสวรรค์ เพื่อที่จะหาวิธีรับมือกับศัตรูตรงหน้า 

ราคาที่ต้องจ่ายไปเพื่อที่จะได้ล้วงความลับนี้ นับว่าหนักหนานัก ทว่าหากเทียบเปรียบกับความตายที่กำลังย่างกรายเข้ามา ก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด 

“บังเกิดไฟ คลื่นไฟที่แลคล้ายออกจากเตาหลอมเม็ดยา ข้าเห็นถึงเปลวไฟและสายลมที่กำลังเริ่มอัญเชิญบางสิ่งบางอย่างออกมา และเมื่อมันเริ่มต้นขึ้น เราสอง ข้าและเจ้าก็จะต้องตกตาย” เขาขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองลงไปยังกระดองเต่า ปากเอ่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว

นางเซียนไป่ฮั่วก็ลงมือแล้วเช่นกัน นิ้วของเธอพรมพนมอย่างเร็วรี่ หลังจากนั้นเพียงสองลมหายใจ เธอก็หันไปเอ่ยกับซวนหยวนด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เทคนิคทำนายชะตาของเจ้า กำลังบ่งบอกถึงหม้อดินเผาอันนั้น!” 

ทันทีที่เสียงของพวกเขาตกลง มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงก็เสร็จสิ้นการร่ายเทคนิคมนตราพอดี 

วินาทีต่อมา เส้นทางเบื้องหน้าก็มืดทึบลง ก่อนจะบังเกิดแสงที่กระทบสาดออกมาจากความว่างเปล่า และหม้อดินเผาใบหนึ่งก็ปรากฏกลับคืน 

มันคือสมบัติมาร ที่ซินจุนจีเพิ่งใช้ไปก่อนหน้านี้ 

หม้อดินเผายังคงปลดปล่อยพลังงานอันลึกลับออกมา ลอยล่องอยู่บนธารเมฆามารอย่างเงียบๆ 

มันปรากฏขึ้นในสถานที่เดียวกันกับที่ไตรภาคีและหกมารนักปราชญ์ถูกดูดเข้าไปในความว่างเปล่าเมื่อครู่ 

“เจ้าต้องมิปล่อยให้มันได้รับสมบัติมารชิ้นนั้นไป มิฉะนั้น ต่อให้เจ้าหรือข้าแข็งแกร่งเพียงไร เราสองก็จะตกตาย!” ซวนหยวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเต็มที่ 

ไตรภาคีแหงนหน้ามองขึ้นไปกลางอากาศ 

และพบว่าใบหน้าของมารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงกำลังเปื้อนด้วยรอยยิ้ม สายตาจดจ้องมายังไตรภาคีทั้งสาม 

“เทคนิคทำนายชะตา? นั่นเป็นแค่เพียงการลอบสอดส่องความลับของฟ้าดิน น่าเสียดายแทนพวกเจ้าจริงๆ เพราะถึงจะรู้ สุดท้ายก็มิอาจลงมือได้ทัน จำต้องตกตายอยู่ดี”

ระหว่างกล่าว ร่างของเธอก็วูบไหว ล่องลอยไปยังทิศทางธารเมฆามารที่หม้อดินเผากำลังลอยอยู่ 

แต่เดิมเธอก็อยู่ใกล้ๆ กับธารเมฆามารอยู่ก่อนแล้ว ไม่ห่างไกลอันใดจากหม้อดินเผา ทว่าไตรภาคีกลับอยู่ห่างออกไปถึงหนึ่งร้อยจั่ง กล่าวได้ว่ามันสายเกินไปที่จะขัดขวางนาง 

ซวนหยวนตะโกนฉับพลัน “ข้ามิให้เจ้าคว้าจับมันได้หรอก!” 

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!” เซี่ยเต๋าหลิงเปล่งคำหนึ่ง 

ทันใดนั้น ทั้งคนทั้งร่างของเธอก็หายไปอย่างกะทันหัน และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกำปั้นที่เงื้อมากระแทกเข้าใส่ใบหน้าของมารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิง 

หวนคืนไร้ลักษณ์ สวรรค์ล่มสลาย! 

ภายใต้การระเบิดกำปั้นอย่างฉับพลันและรุนแรงนี้ กำปั้นได้เจาะอากาศที่ว่างเปล่าชั้นแล้วชั้นเล่าจนแลดูคล้ายหลุมลึก 

นางมิได้เก็บงำพลังเอาไว้เหมือนกับตอนที่ใช้ใส่จ้าวกระบี่ นางเซียนไป่ฮั่วได้ทุ่มสุดแรงลงไปในกำปั้นนี้อย่างแท้จริง 

มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงถูกซัดเข้าใส่อย่างแรงโดยกำปั้นนี้ ร่างกายของมันถูกเหวี่ยงกระแทกจนเห็นเพียงเงาดำๆ พุ่งข้ามผ่านธารเมฆามารที่เหือดแห้งและร่วงตกลงไปปะทะเข้ากับส่วนหนึ่งที่ดำสนิทของวังมาร 

ตูม! 

ท่ามกลางเสียงระเบิดอันรุนแรงกึกก้องนี้ วังมารที่แลคล้ายวิหารกว่าครึ่งก็พลันพังถล่มลงมา 

เซี่ยเต๋าหลิงยังคงลอยนิ่ง ในปากฮึฮะ เอ่ยเหยียดหยัน “ขอบเขตสูงกว่าแล้วอย่างไร ยามเมื่อถึงการต่อสู้ที่แท้จริง แพ้ชนะมันมิได้วัดกันที่สิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียวเสียหน่อย” 

นางจ้องมองไปยังหม้อดินเผาและโบกมือเบาๆ ทันใดนั้นหม้อก็ลอยขึ้นทันที มันมุ่งหน้าตรงไปยังแนวทัพมนุษยชาติ ก่อนจะตกลงในมือของน้อมสวรรค์ซวนหยวนอย่างมั่นคง 

ซวนหยวนบรรเทาลมหายใจด้วยความโล่งอก และเก็บหม้อดินเผาลงในถุงสัมภาระ 

ไตรภาคีต่างมองไปยังวิหารมารเป็นสายตาเดียว มองไปยังมารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงที่ยังมิได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง 

หลังจากนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเกิดบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวหลบลี้เข้าไปในวิหาร 

“กระทำเช่นนี้หมายความว่าสิ่งใด หวาดเกรงจนมิกล้าออกมากระนั้นหรือ?” ดวงตาของเซี่ยเต๋าหลิงหรี่แคบลง ปากเอ่ยกล่าว 

ทว่าสิ่งที่สะท้อนกลับมาจากวิหาร กลับกลายเป็นสรรพเสียงที่กำลังสวดร่ายคาถาบางอย่างแทน 

“คลื่นเหลือคณาในยามค่ำ ผิวคลื่นเบื้องบนในยามเช้า เบื้องล่างในยามค่ำ พัดประสานสิบวันคืน เปิดใช้งานคลื่นยามค่ำสิบชั่วคืน!” 

เสียงร่ายคาถานี้แพร่กระจายออกไป สะกดทั่วทุกสารทิศ 

เมื่อยามต้องเผชิญหน้ากับคาถานี้ ทุกสรรพเสียงทั้งหมดก็พลันเงียบหาย 

ผู้ฝึกยุทธมากมากมายพยายามจะเอ่ยปาก ตะโกน ปรบมือ ทว่ามิว่าจะทำสิ่งใด มันกลับไม่ปรากฏซึ่งสรรพเสียงใดๆออกมาเลย 

ในสวรรค์และโลก สรรพเสียงทุกอย่างได้หายไปแล้วโดยสมบูรณ์ 

สีหน้าของผู้ฝึกยุทธเขียวคล้ำเนื่องจากพยายามตะโกนอย่างเต็มที่ ประสานมือใช้ออกด้วยเทคนิคลับ 

เพียงเท่านี้ก็พอรับตระหนักได้แล้ว ว่าเสียงที่หายไปนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากฝีมือของมารสวรรค์ 

สีหน้าของนางเซียนไป่เปลี่ยนเป็นจริงจัง สองมือประกบขึ้นอย่างรวดเร็ว เตรียมปลดปล่อยด้วยวิชาลับ 

ตั้งแต่ที่ได้ตระหนักว่า ตนไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นคาถาที่ทำให้ปรากฏฉากเช่นนี้มาก่อน ท่าทีขี้เกียจเบื่อหน่ายที่มักแสดงอยู่เป็นนิจก็มลายหายไป 

ซวนหยวนหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมาอีกที และโรยมันลงไปบนกระดองเต่า 

เมื่อเหรียญทองแดงกระทบลงบนกระดองเต่า มันก็ม้วนกลิ้งอยู่ไม่กี่ครั้งก่อนจะร่วงตกลง 

“บังเกิดลางร้าย” เขาหันไปกล่าวกับอีกสองปราชญ์ “หากพวกเรามิเร่งมือทำอะไรสักอย่าง โดยเร็วแล้วล่ะก็ แม้ว่าพวกเราจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้ ทว่าโลกทั้งใบก็จะตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ตลอดไป” 

คิ้วของนางเซียนไป่ยกสูงขึ้น 

เธอไม่เคยหวาดเกรงมารสวรรค์ ทว่ามอนสเตอร์มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงตนนี้ เพียงร่ายคาถาแรกเริ่ม กลับดลบันดาลให้เกิดเหตุใหญ่โตลุกลามเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเธอต้องรีบกำจัดมัน 

เช่นนั้น หากเป็นในกรณีนี้ละก็ 

จู่ๆ ก็ปรากฏแสงสีเขียวมรกตสว่างไสวขึ้นตามร่างกายของเธอ ทั้งสองมือเคลื่อนไหวเร็วรี่ เร่งเตรียมบดขยี้ผนึกมนตรา 

ผนึกมนตราชิ้นนี้จำต้องบรรจุลงไปด้วยสกิลเทวะ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาสักครู่จึงจะเสร็จสมบูรณ์ 

นางกล่าว “เจ้าช่วยรับหน้าที่คุ้มครองซื้อเวลาให้ข้าหน่อย” 

มองไปยังเทคนิคเต๋าที่นางเซียนไป่เตรียมจะใช้ออกนี้ ขนทั้งตัวของซวนหยวนก็พลันลุกตั้งชูชัน 

ริมฝีปากของเขาเผยออ้า ทว่ามิได้เอ่ยสิ่งใด ได้แต่บินออกไปเงียบๆ มาหยุดขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าของเซี่ยเต๋าหลิง 

“ประสกเซี่ย วิชาของเจ้าสร้างความเสียหายต่อชีวิตมากเกินไป และมันก็มิอาจหยุดยั้งวิชาของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเจ้าสมควรที่จะหยุดมันเสีย” นักพรตเป่ยหยวนถอนหายใจ บอกกล่าวผ่านทางการถ่ายทอดความคิด 

“เพราะเหตุใดท่านจึงล่วงรู้?” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกๆ 

เป่ยหยวนถ่ายทอดความคิดกลับมา “ตามบันทึกโบราณจากนิกายพุทธะของข้า สิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาคือ ‘เทคนิคเทพมาร’” 

“โดยปกติแล้ว มารสวรรค์จะไม่ใช้วิธีการที่นำไปสู่ความรุนแรงใดๆ ทว่ามันจะเรียกมารสวรรค์ตนอื่นๆ ออกมารับหน้าแทน” 

“เหตุเพราะ มารสวรรค์นั้นติดใจในรสละมุนของวิญญาณมนุษย์ แม้ว่ามันจะไม่สามารถฆ่าพวกเราได้ในจุดนั้นทันที แต่มันก็จะซ่อนอยู่อีกด้านหนึ่งของจิตใจ เฝ้ารอคอยโอกาสสังหารกัดกินจิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกยุทธ” 

“มารสวรรค์ในโลกใบนี้น่ะค่อยๆ ทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าผู้คนกลับมีแต่จะลดจำนวนถดถอยลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน เช่นนั้นหากรับมือกับมันด้วยความขลาดเขลาดั่งการกระทำที่ลดทอนอายุขัยของเจ้าลง พวกเราจะไปต่างอะไรกับคนบ้าเล่า?” 

นางเซียนไป่ฮั่วและซวนหยวนเมื่อได้ฟัง ก็เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ 

“มารสวรรค์น่ะเป็นอริโดยธรรมชาติของนิกายพุทธะแห่งข้า และมีเพียงความเมตตาแห่งพุทธะเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้มารตนนี้ยอมจำนนได้” 

“การศึกในครั้งนี้ ชะตากรรมได้ถูกกำหนดแล้ว ว่าข้าจะต้องเป็นคนที่ต่อสู้” 

ระหว่างกล่าว นักพรตเป่ยหยวนก็ก้าวเดินไปอย่างสงบ ข้ามผ่านธารเมฆามาร และตรงเข้าไปยังวิหารมาร 

“เจ้าภิกษุ…” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยพึมพำ 

ซวนหยวนกล่าว “นิกายพุทธะเชี่ยวชาญในด้านการต่อสู้กับมารสวรรค์ แม้เจ้าจะแข็งแกร่งกว่าเขา ทว่าในสถานการณ์นี้มันต่างออกไป” 

เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าอย่างช้าๆ และค่อยๆ ถอนมือออกจากผนึกมนตรา 

นักพรตเป่ยหยวนกำลังก้าวเดินไปได้เพียงครึ่งทาง ทันใดนั้นจู่ๆ ร่างอันทรงเสน่ห์นับไม่ถ้วนก็ล่องลอยออกมาจากวิหาร น้ำเสียงคิกคักดังกังวาน บินตรงมายังเขา 

พวกนางมิได้สวมใส่อาภรณ์ใดๆ คู่ดวงตาฉายแววรักใคร่ หมายมั่นที่จะกระตุ้นอารมณ์ของอีกฝ่าย 

ร่างทรงเสน่ห์ขับคลอเสียงหวานละเอียดอ่อน ขับขานร่ายมนตร์คาถา เคลื่อนกายเต้นระบำเร้าอารมณ์ อยู่รอบกายเป่ยหยวน 

มารสวรรค์แต่ละตนที่ถูกส่งมาในที่นี่ ล้วนงดงามมากพอที่จะสั่นคลอนจิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกยุทธ 

แสงหลากชนิดราวสิบห้าเส้นสาย สาดออกมาจากร่างของพวกนาง และเข้าปกคลุมรอบกายเป่ยหยวน 

ท่ามกลางแสงหลากชนิด ปรากฏซึ่งภาพอันแสนหยาบโลน ภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นทีละภาพ ทีละภาพในหมอกหนาทึบ มันราวกับมีชีวิต ผลักดันซึ่งกันและกัน หมายมั่นจะลากจูงนักพรตเป่ยหยวนให้หลุดเข้าไป 

คู่ดวงตาทั้งสองของเป่ยหยวนที่เดิมทีเต็มไปด้วยความเมตตาอ่อนโยน บัดนี้เบิกกว้าง ในปากเอ่ยลั่นจนบังเกิดระลอกคลื่นของทัณฑ์สวรรค์ 

“โอม…เจ้าและข้านั้นอยู่คนละปรภพ มิอาจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ขอจงกลับไปสถิตอยู่ในที่ที่เจ้าจากมา!” 

“โอม ฉิน เซี่ย ซา หง เหวิง รามานตรี ต้าซา ฮงปาซั่วฮ่าว!” 

นี่คือบทสวดของนิกายพุทธะ ที่มีไว้ใช้ควบคุมพันธนาการมารสวรรค์โดยเฉพาะ 

เมื่อบทสวดดังกล่าวนี้ถูกเปล่งออกมา มันราวกับค้อนยักษ์ที่ฟาดเข้าใส่อากาศที่ว่างเปล่า กำแพงที่มองไม่เห็นพังทลายลงมาอย่างฉับพลัน 

สวรรค์และโลกบังเกิดการสั่นสะท้าน เมฆหมอกทึบที่เต็มไปด้วยภาพหยาบโลนถูกกวาดหายออกไปโดยกระแสลม ปรากฏให้เห็นซึ่งดวงอาทิตย์ จันทรา และดาราน้อยใหญ่ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าสีคราม 

ร่างอันงดงามทรงเสน่ห์หวีดร้องลั่น ทั้งหมดร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า เร่งทยอยบินหนีกลับไปยังทิศทางที่จากมาในทันใด

........................................