webnovel

0165 ไตรภาคี

ตอนที่ 165 ไตรภาคี (2) 

ภายในวิหาร มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงรีบร่ายคาถาอีกครั้ง 

“คลื่นเหลือคณาในยามค่ำ ผิวคลื่นเบื้องบนในยามเช้า เบื้องล่างในยามค่ำ พัดประสานสิบวันคืน เปิดใช้งานคลื่นมนตราสิบชั่วคืน!” 

สิ้นคาถา เหล่ามารสวรรค์อันทรงเสน่ห์ทั้งหมดที่เมื่อครู่แห้งเหี่ยวราวกุหลาบเฉา พลันกลับมาสดใสมีพละกำลังราวต้องหยาดน้ำค้างยามรุ่ง ร่างของพวกมันโบยบินโฉบไปมาอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง 

มารสวรรค์ล่องลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ร่างเงาของแต่ละตนวูบไหวแลคล้ายบุปผชาติลวงตานับไม่ถ้วน ราวกับนางสวรรค์ที่กำลังจุติลงมาบนผืนพิภพ 

ตนแล้วตนเล่าท่องนภา เริงระบำไปรอบกายนักพรตเป่ยหยวน เวียนว่ายเป็นวงจนค่อยๆ ก่อบังเกิดลมหมุนขนาดย่อม กักขังนักพรตเป่ยหยวนให้ติดอยู่ภายใน 

ทว่านักพรตเป่ยหยวนที่ยืนอยู่คนเดียวในอากาศที่ว่างเปล่า สองตาค่อยหุบลง มือพนม ปากเอ่ยขยับงึมงำสวดภาวนาถึงพุทธะ เพื่อปกปักตนเอง 

ทันใดนั้นเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายร่ายบทสวด มารสวรรค์นับพันที่รายล้อมก็เริ่มขยับปาก ร่ายคาถาสวนกลับไปบ้าง 

“เตลิซี โหรวเจี่ย โหรวเยว่” 

มารสวรรค์ร่ายคาถาก้องสนั่น จงใจขัดจังหวะท่วงทำนองบทสวดของเป่ยหยวนอย่างชัดเจน 

เนื่องด้วยตำแหน่งแนวทัพมนุษยชาตินั้นอยู่ห่างไกลมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถได้ยินมารสวรรค์ขับขานคาถาได้อย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบมากมายนัก 

ทว่าสำหรับเผ่ามารดูจะไม่โชคดีเช่นนั้น พวกมันที่อยู่ใกล้กับฝั่งธารเมฆามาร เมื่อได้ยินได้ฟังเสียงบทสวดของนักพรต ตนแล้วตนเล่าก็ทรุดตัวลงกับพื้น ดิ้นเร่าๆ หวีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากส่วนลึกของจิตใจ 

พวกมันรู้สึกราวกับสมองตนถูกทุบด้วยมหาสรรพาวุธที่มองไม่เห็น ทำได้เพียงล้มกลิ้ง ดิ้นไปมาฝืนทนด้วยความเจ็บปวด ทว่ากลับมิอาจหลบเร้นไปจากมันได้ 

หลังจากนั้นไม่นาน เผ่ามารก็ค่อยๆ สูญเสียพลังชีวิตไป 

มองไปยังท่าทีของพวกมัน ที่แม้จะไร้ซึ่งบาดแผล ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงอาการเจ็บปวดเจียนตาย 

มารสวรรค์ยังคงขับขานร่ายมนตร์คาถาต่ออย่างต่อเนื่อง 

“คลื่นเหลือคณาในยามค่ำ พัดประสานสิบวันคืน เตลิซี โหรวเจี่ย โหรวเยว่!” 

บังเกิดปราณดำพวยพุ่งออกมาจากร่างของพวกเธอคนละเส้นสาย ก่อนจะไปหลอมรวมตัวกันในอากาศ 

กลุ่มก้อนปราณดำนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแก่นแท้ของมารสวรรค์ เมื่อปราณดำแยกออกจากร่าง สีหน้าของพวกเธอก็เผยถึงความอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด 

ปราณดำม้วนตัวเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า หลอมรวมตัวกัน แปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นเทพมารที่สูงกว่าสิบจั่ง 

เทพมารตนนี้มีสามเศียร แต่ละเศียรแสดงห้วงอารมณ์ที่แตกต่างกันไปตามลำดับ หนึ่งทุกข์ตรม หนึ่งเกลียดชัง และอีกหนึ่งเจ็บปวด 

บนร่างของมันปรากฏหกกร แต่ละกรถืออาวุธที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป และดูเหมือนว่ามันจะสลับสับเปลี่ยนไปมาได้ตลอดเวลา เช่น บ้างถือค้อน ทว่าจู่ๆ ก็กลับเปลี่ยนไปเป็นหอกแทน 

เทพมารที่ครอบครองอาวุธนับไม่ถ้วน สายตาจับจ้องมายังนักพรตเป่ยหยวน สองเท้าก้าวยาวๆ ตรงเข้ามา 

“อามิตตาพุทธ ยามพระพุทธเจ้าแสวงธรรม แม้จักต้องผจญกับมารร้ายที่เปรียบดั่งเส้นทางที่ทอดยาวไปด้วยเปลวเพลิงเบื้องหน้า ทว่าทุกย่างก้าวของท่านกลับยังคงนิ่งสงบเหมือนดั่งจิตใจ ฉะนั้นตัวเจ้าในยามนี้แม้จะน่าหวาดหวั่น ทว่าแท้จริงแล้วเป็นกิเลสรูปแบบหนึ่งเท่านั้น” เป่ยหยวนส่ายหัวช้าๆ 

สองตาหุบต่ำลง สองมือประกบพนม ปากขยับทันใด “ตัวอาตมาประสงค์ที่จะเป็นแสงสว่างนำทางแห่งชีวิต ให้แก่ผู้คนทั้งโลก เมื่อใดก็ตามที่อาตมาได้ตรัสรู้ในชีวิตหลังความตาย ร่างกายที่ครบสามสิบสองกระดูกยามแรกเกิดที่ครบทั้งแปดสิบชิ้นยึดเหนี่ยวก่อตัวให้เกิดรูปลักษณ์ของมนุษย์ ห้วงอารมณ์ทั้งหมด ของทุกผู้คนมิแตกต่างกัน” 

เสียงยังไม่ทันจะสิ้นสุดลง นักพรตเป่ยหยวนทั้งคนทั้งร่างก็พลันเปล่งประกายสีทองอร่าม ขจรขจายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด ฉากนี้ดูราวกับพระพุทธเจ้ากำลังเอ่ยสอนพุทธวจน จากความว่างเปล่า 

น้อมสวรรค์ซวนหยวนจ้องมองไปยังฉากนี้ ปากอ้าถอนหายใจออกมาและกล่าว “ดูเหมือนว่าเวลานี้ นักพรตเฒ่าของพวกเราจะเอาจริงซะแล้ว” 

เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าเห็นด้วย 

มองไปยังเทพมารสามเศียรหกกรที่กำลังย่างสามขุมข้ามธารเมฆามาร ในมือถือเหล่าสรรพาวุธตัดสะบั้นลงใส่ศีรษะของนักพรตเป่ยหยวน หวดเข้าเต็มแรง! 

แกร๊ง! 

สรรพาวุธกระเด้งออก เทพมารซวนเซจากแรงปะทะอันมหาศาลของอาวุธจนทั้งร่างสั่นสะท้าน จำต้องชักฝีเท้ากลับ  

สลับกลับมามองเป่ยหยวนอีกครั้ง ทั้งคนทั้งร่างยังคงเปล่งรัศมีสีทองอร่ามราวกับพวกมันกลายเป็นแก่นแท้หนึ่งเดียวกับชีวิต ปราศจากซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ แม้แต่น้อย 

“วัชระไร้ทำลาย” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยคำหนึ่ง 

นักพรตเป่ยหยวนหลับตาลง และเริ่มย่างฝีเท้าตรงไปยังเทพมารสามเศียรหกกรอย่างช้าๆ 

แม้จะดูเหมือนเป่ยหยวนเดินอย่างเชื่องช้าก็จริง ทว่าความว่องไวของเขา เกือบจะพริบตาเดียวก็เดินวนรอบกายเทพมารไปรอบหนึ่งแล้ว 

ทุกย่างก้าวในอากาศที่ว่างเปล่าที่นักพรตเป่ยหยวนย่ำผ่าน จะปรากฏดอกบัวทองวิจิตรงดงาม ผุดขึ้นเรียงรายเป็นทิวแถว 

หลังจากนั้นเป่ยหยวนก็ก้าวถอยฉากออกมาเล็กน้อย 

เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดขึ้นและหยดย้ายลงมาจากหัวของเขา ทั้งคนทั้งร่างเผยท่าทีอ่อนล้าและสั่นสะท้านเล็กน้อย 

เขายื่นมาออกไปเพื่อบีบผนึกมนตรา เอ่ยคำรามคำหนึ่ง “จงบานสะพรั่ง!” 

ทันใดนั้นเอง เหนือขึ้นไปบนดอกบัวทอง พลันปรากฏเกล็ดบุปผาบางเบางดงามสดใสสาดประกายแสงสดใสระยิบทันที 

เทพมารคำรามก้อง มันต้องการที่จะหลบหนี เหวี่ยงหมัดตอบโต้ ทว่าหมัดที่เหวี่ยงออกไปพลันกระดอนกลับมา ราวกับปะทะเข้าใส่กำแพงใสที่มองไม่เห็นในอากาศที่ว่างเปล่า 

มันรีบพุ่งเข้าปะทะไปยังเบื้องหน้าอีกครั้ง แต่ก็ยังถูกความว่างเปล่าสะท้อนกลับมา ชักฝีเท้าถอยกรูดไปหลายก้าวจึงหยุดลง 

เทพมารหันไปรอบๆ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปอีกฟากหนึ่งแทน 

ทว่าไปได้เพียงแค่ครึ่งก้าว มันก็ต้องปะทะเข้ากับความว่างเปล่าอีกครั้ง 

มันวิ่งวนไปทั่วทุกทิศทาง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สองเท้าของมันก็มิอาจก้าวข้ามพ้นดอกบัวทองที่ผุดขึ้นมารายล้อมได้เลย 

“คุกพิภพ” น้อมสวรรค์ซวนหยวนเอ่ยสรรเสริญคำหนึ่ง 

มองไปยังนักพรตเป่ยหยวนที่กำลังบีบออกด้วยผนึกมนตรา ปากเอ่ยกล่าวท่องบทสวด “นะโม…มารร้ายเอ๊ย จงไปสู่สุคติ แบ่งจิตขัดเกลาใจตนเพื่อให้ชาติหน้าเจ้าจักได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีด้วยเถิด” 

ดอกบัวสีทองที่รายล้อมศัตรูค่อยๆ ผลิบาน พร้อมกับรัศมีแสงสีทองที่ลอยล่องขึ้นสู่สรวงสวรรค์อย่างต่อเนื่องมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย 

“อ๊าก!” เทพมารระเบิดเสียงหวีดคำรามด้วยความเจ็บปวด 

ภายใต้รังสีแสงสีทองอร่าม เทพมารสามเศียรหกกร ค่อยๆ มลายหายไปดั่งน้ำแข็งที่ต้องแสงตะวัน ระเหยกระจัดกระจายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว 

เมื่อเทพมารสามเศียรได้หายตัวไป  ทันใดนั้นมารสวรรค์นับพันก็หวีดร้องขึ้นพร้อมกัน ควันสีดำค่อยๆ พวยพุ่งออกจากร่างกายพวกเธอ 

ในเสี้ยววินาที ทรวดทรงอันงดงามน่าหลงใหล ต่างหลงเหลือเพียงเลือดเนื้อแห้งกรังบนชั้นผ้าคลุม จากนั้นก็บุบสลายลง หลงเหลือทิ้งไว้เพียงโครงกระดูกสีขาว 

โครงกระดูกเหล่านี้ร่วงหล่นลงกันพื้น ก่อนที่พวกมันจะผุดลุกขึ้น และวิ่งหนีหายไปเข้าไปวิหารดำ 

“ให้ช้าช่วยเถอะ เจ้าภิกษุ” ซวนหยวนเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะมีปัญหาแล้ว เขาจึงคว้าจับยันต์แผ่นเหลืองขึ้นมา และส่ายมันในมือ 

ยันต์สีเหลืองพลันถูกเผาไหม้ 

เปลวเพลิงลุกโชนขึ้น คำรามคำรนเริ่มก่อรูปร่างเป็นอสูรเทวะหงส์เพลิง มันหวีดเสียงต่ำ สยายปีกที่ลุกไหม้ โบกสะบัดมันจนบังเกิดเปลวไฟโปรยปรายออกมา 

“ยังไม่พอเท่านี้หรอก” 

น้อมสวรรค์ซวนหยวนจ้องมองไปยังวิหารดำ และเริ่มเผาไหม้ยันต์สีเหลืองอีกแผ่น 

ท่ามกลางยันต์ที่ลุกไหม้ บังเกิดอสูรเทวะ กิเลนเขาเดียว ค่อยๆ ก่อร่างขึ้นจากเปลวเพลิง เดินออกมาจากท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าอย่างช้าๆ 

“จงไปเสีย!” 

ซวนหยวนตะคอกคำหนึ่ง 

หงส์เพลิงและกิเลนกระทืบเท้าทะยานตัวขึ้นไปในอากาศเล็กน้อย มุ่งบินตรงไปยังวิหารดำ 

“เจ้าเล่นปล่อยของมามากมายขนาดนี้ แล้วจักให้ข้าอยู่เฉยได้อย่างไรเล่า” นางเซียนไป่ฮั่วยิ้ม 

ด้วยวิสัยทัศน์ของเธอ สามารถตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง  นักพรตเป่ยหยวนที่ยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าแน่นิ่งไม่ไหวติง เห็นได้ชัดว่าสูญเสียพลังงานไปอักโข ไม่น่าจะลุยต่อได้แล้ว 

บทสวดนิกายพุทธะนั้นก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ ทว่าพลังงานที่ต้องสูญเสียไปกับการใช้งานมัน มิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปจะแบกรับไหว 

และในขณะนี้ ทางเราไม่สมควรที่จะผ่อนคลายและหละหลวม เนื่องเพราะช่วงเวลาที่จะตัดสินว่าสำเร็จหรือล้มเหลวได้มาถึงแล้ว 

นางเซียนไป่ฮั่วจีบมือ เตรียมใช้ออกด้วยวิชาลับอย่างรวดเร็ว 

เบื้องบนชั้นอากาศ บังเกิดร่างเงาลวงตาที่ทอดยาวไกลออกไปบดบังผืนฟ้าและดวงอาทิตย์ขึ้นทันใด 

นั่นคือมังกรขด! (ฝานหลง) ฝานหลงที่นับจากหัวมังกรลากยาวไปถึงหาง ร่างกายของมันลากยาวต่อเนื่องไปหลายลี้ 

ธาตุทองจากธาตุทั้งห้า ฝานหลง! 

“พวกเราก็ไปกันเถอะ” นางเซียนไป่กล่าว 

ฝานหลงส่ายหางของมันไปมา โจนทะยานเหินอากาศขึ้นไปบนชั้นฟ้าเหนือเมฆหมอกเมฆามาร มุ่งตรงไปยังวิหารดำ 

ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ขณะที่สามอสูรเทวะได้มาหยุดอยู่เหนือวิหารดำ แรงกดดันอันมหาศาลก็กดทับพวกมันลงมา 

“เหลือคณาในยามค่ำ สงบเงียบในยามเช้า ล้างบางชั่วข้ามคืน!” 

จากภายในวิหาร พลันบังเกิดเสียงสวดคาถาของมารสวรรค์ดังสะท้อนออกมา 

ด้วยคาถานี้ สรรพาวุธมากมายภายในวิหารดำก็ส่งเสียงหึ่งๆ ทันใด ไม่ว่าจะเป็นมีด ดาบ คันธนู หน้าไม้ ตะขอ ชุดเกราะ หอก เคียว ค้อน ขวาน กงล้อ แส้ ฯลฯ มากมายนับไม่ถ้วน เริ่มเรืองแสงสีเขียวที่ดูโหดร้าย 

สรรพาวุธทั้งหมดราวกับมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง มันพุ่งฉวัดเฉวียนออกไปนอกวิหาร ตัดสะบั้นห้ำหั่นกับสามอสูรเทวะโดยสมัครใจ 

หงส์เพลิง กิเลน และฝานหลงดูราวกับว่าจะหวาดกลัวอาวุธเหล่านี้เป็นอย่างมาก พวกมันหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงและเลือกที่จะพ่นไฟและฉวยจังหวะโจมตีลงไปยังวิหารดำแทน 

ทว่าราวกับมีจิตนึกคิด ตะขอยาวที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีเขียว ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายปลดปล่อยเปลวเพลิงบดบังวิสัยทัศน์ตนเอง วูบไปเบื้องล่าง สับสะบั้นอุ้งเท้ากิเลน จนแหว่งไปครึ่งหนึ่ง

........................................