webnovel

0163 มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิง

ตอนที่ 163 มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิง 

เหนือขึ้นไปบนเมฆหนาทึบ 

ปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดเขียวมรกต ปกเสื้อของเธอถูกถักทอไปด้วยขนนกหลากสี ทั้งคนทั้งร่างลอยนิ่งอยู่เงียบๆ 

ชุดคลุมกระพือไปตามกระแสลมที่พัดผ่าน ปลายแขนเสื้อถกขึ้นเผยให้เห็นแขนคอดกิ่วราวกิ่งต้นหลิว ส่งผลให้อดไม่ได้ที่จะชวนจินตนาการถึงสัดส่วนอื่นๆ ที่ยังมิถูกเปิดเผย 

บนใบหน้าของเธอถูกปกคลุมด้วยผ้าโปร่ง บดบังเครื่องหน้า ปรากฏให้เห็นแค่เพียงคู่ดวงตาที่กระจ่างชัดราวกับหยาดน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ที่บางครั้งก็ฉายแววปราดเปรื่องราวกับกำลังขบคิดเรื่องบางอย่างอยู่ 

ทันใดนั้นเอง เธอก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่ง ริมฝีปากเผยอขึ้นทีละน้อยจน ขยายออกจนแลดูเป็นเส้นโค้ง 

“มิคาดคิดเลย ว่านอกเหนือไปจากเทคนิคดาบ ยังสามารถคิดอุบายอันปราดเปรื่องเช่นนี้ออกมาได้…” 

เธอยิ้ม เอียงศีรษะเล็กน้อย เอ่ยพึมพำกับตนเองอย่างแผ่วเบา 

มองไปยังท่าทีของเธอ ดูก็รู้ว่าแม้กระทั่งตนเองก็ยังมิอาจเชื่อในสิ่งที่เห็นได้ 

พลังศักดิ์สิทธิ์ อวตารหมื่นอนันต์ ที่เธอมักจะใช้มันในการละเล่นเพื่อเรียกร้องความสนใจซะส่วนใหญ่ กลับกลายเป็นตัวแปรสำคัญเช่นนี้ 

ไม่คาดคิดเลยว่าในครั้งนี้ ภายใต้คำแนะนำของศิษย์ฝึกหัด จะบังเกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ได้ 

เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่พึ่งปรากฏนี้ เพียงพอแล้วที่จะตัดสินความอยู่รอดของมนุษยชาติ 

นางเซียนไป่ฮั่วที่รับรู้ได้ถึงสถานการณ์เบื้องล่าง และพบว่านี่มันก็เกือบจะได้เวลาแล้ว จึงโบกสะบัดแขนเสื้อคลุมยาวออกไปเบาๆ 

ทันใดนั้นนักบวชเต๋าหน้าแดงและนักพรตชราก็ปรากฏตัวขึ้น 

“คิดเห็นเช่นไร กับอุบายของศิษย์ข้า ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหม?” นางเซียนไป่ฮั่วเชิดคางขึ้น เอ่ยถามด้วยความปีติ 

นักพรตเป่ยหยวนถอนหายใจยาว เอ่ยปากกล่าว “เหนี่ยวนำหกมารนักปราชญ์ให้ออกไปจากโลกใบนี้ ฆ่าสังหารอสูรวิญญาณนับพันหมื่นจนตกตายไปในครั้งเดียว แม้กระทั่งมารนับหมื่นแสนก็ยังพลอยตกตาย ทั้งๆ ที่ฝั่งเรามิได้สูญเสียทหารคนใดเลย ตราบชั่วชีวิตของเราผู้ชรานี้ นับว่าพึ่งเคยพบเคยเห็นเป็นครั้งแรก” 

“ทว่าด้วยกลยุทธ์นี้ กลับทำให้มันเป็นไปได้” ซวนหยวนกล่าวชื่นชม

“เช่นนั้น เรื่องที่ศิษย์ข้ากระทำลงไปก่อนหน้านี้ล่ะ?” เซี่ยเต๋าหลิงมองไปยังซวนหยวนด้วยสายตากระตุ้นเตือน 

ซวนหยวนนิ่งงันไป ก่อนจะเอ่ยด้วยดวงตาขุ่นเขียว “ไว้หลังจากสิ้นสุดสงคราม พวกเราค่อยกลับมาพูดคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งในภายหลัง” 

เซี่ยเต๋าหลิงยิ้ม ทว่ามิได้เอ่ยอันใดอีก 

ไตรภาคีกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังสถานการณ์เบื้องล่าง 

“พวกเราก็เริ่มกันเถอะ” นักพรตเป่ยหยวนกล่าว 

“ต่อจากนี้ไปทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว” ซวนหยวนพยักหน้า 

“อืม” เซี่ยเต๋าหลิงขานรับ 

เธอจ้องมองลงไปยังที่ราบสูง ครุ่นคิดเล็กน้อย 

ที่ราบสูงที่ว่านี้ สูงกว่าระดับภูมิประเทศโดยรอบ มันง่ายต่อการป้องกัน และยากต่อการถูกโจมตี เป็นตำแหน่งที่ทั้งสามได้เพ่งเล็งมานานแล้ว 

แขนเสื้อคลุมยาวของเธอโบกสะบัดอีกครั้ง 

สกิลเทวะ โอบกอดฟ้าดิน! 

และเหล่ามวลผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติก็ปรากฏขึ้นบนที่ราบสูง 

พวกเขาเริ่มต้นทำการตระเตรียมทันที ตั้งแต่ที่สองเท้าเริ่มย่ำลงกับพื้น ค่ายกลถูกจัดวางอย่างรวดเร็ว ยันต์และเม็ดยามากมายถูกแจกจ่าย ขบวนรบเริ่มก่อตั้งเป็นรูปเป็นร่าง บริเวณโดยรอบวุ่นวายไปทั่ว 

นายพลติงหยวน กงซุนซี และหมิงฮุ่ยร่วมกันสั่งการผู้ฝึกยุทธนำค่ายกลไปจัดวางในสถานที่ต่างๆ ด้วยตนเองเลยโดยตรง 

ทว่ากลับไม่เห็นวี่แววของนายพลติงหยวน หวู่สิงเหวิน 

ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่นานนักค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ก็ถูกจัดวางเสร็จสมบูรณ์ ปรากฏแสงสาดสะท้อนกว้างไกลขึ้นไปจนถึงชั้นฟ้า ทะยานสูงขึ้นจากตำแหน่งของมัน 

ตามต่อด้วยรัศมีแสงสดใสที่ส่องประกายระยิบระยับตลอดเวลา ค่ายกลโจมตีขนาดใหญ่นับสิบถูกจัดวางและพร้อมใช้งานแล้วอย่างต่อเนื่อง 

และคราวนี้ ค่ายกลโจมตี จัดวางทิศทางเป้าหมายออกไปยังเบื้องนอก 

กองทัพพันธมิตรผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติ ตระเตรียมสรรพาวุธ พร้อมรบแล้ว! 

หนึ่งในมารนักปราชญ์ ทะยานออกมายังเบื้องหน้าเพื่อหมายจะทำการทดสอบด้วยตนเอง ทว่าเมื่อถึงระยะ ค่ายกลโจมตีอันทรงพลานุภาพนับสิบก็ทำงานทันที 

ปรากฏเสาแสงสีสันงดงามนับไม่ถ้วนระดมยิงเข้าใส่ ระเบิดใส่มารนักปราชญ์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนมันต้องหวีดร้องออกมา 

อย่างไรก็ตาม การกระทำของมันก็ส่งผลให้กองทัพมนุษยชาติเกิดความโกลาหล ส่งผลให้กองทัพมารที่ยังหลงเหลือสามารถกรีธาทัพล่าถอย เว้นระยะห่างออกไปได้ 

ทั่วทั้งร่างของมารนักปราชญ์ถูกระดมยิงจนเกิดความเจ็บปวดอันยากจะทานทน แม้ใจจะสู้ แต่มันมิอาจย่างกรายเข้าไปใกล้ค่ายกลต่อสู้ขนาดใหญ่ได้มากกว่านี้อีกต่อไป ภายในจิตใจของมันคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ ระเบิดการโจมตีสวนกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ มันก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เอียงคอเชิดหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า และสายตาของมันก็พบกับร่างของสามปราชญ์ที่กำลังร่อนลงมาอย่างช้าๆ 

ทั้งคนทั้งร่างของมารนักปราชญ์ตกตะลึง มันมิคิดฝ่าวงล้อมค่ายกลโจมตีอีกต่อไป ผินตัวกลับ บินหนีกลับไปยังกองทัพมารทันที 

สามปราชญ์มิได้ไล่ตาม เพียงมองหน้ากันและกันวูบหนึ่ง จึงค่อยร่อนลงบนพื้นที่ราบสูงของมนุษยชาติ 

“ช่างเป็นการเดิมพันต่อสู้ที่บันเทิงใจนัก สหายเต๋าซิน แต่ข้าเกรงว่า ด้วยสมองอันน้อยนิดยิ่งของเจ้า เดิมพันนี้อาจสมควรใช้เวลาคิดวางแผนมาเนิ่นนานสักหนึ่งพันเลยกระมัง” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวพลางหัวเราะคิกคัก 

ทั้งจมูกทั้งปากของซินจุนจีหลั่งเส้นสายโลหิตออกมา เขาเบิกตาจ้องมองไตรภาคีชนิดหัวชนฝา ปากอ้าพะงาบๆ มิกล้าเอ่ยคำใด 

ก่อนหน้านี้เขาได้รีดพลังใจทั้งหมดออกมาใช้จนเหนื่อยล้า นอกจากนี้ยังถึงขั้นยอมลากมารนักปราชญ์ทั้งหกให้ตกตายไปกับทั้งสามไตรภาคีด้วย ทว่าบัดนี้ทุกสิ่งที่ทำไปล้วนไร้ค่าไร้ความหมาย 

ในขณะนี้ ในจิตใจของซินจุนจีบังเกิดความปรารถนาที่หมายมั่นจะฆ่าสังหารคนทั้งสามเบื้องหน้าให้ตกตายจนแทบคลั่ง 

“พวกเจ้าทุกคนล่วงรู้ถึงกลอุบายของข้าได้อย่างไร?” 

ในที่สุดซินจุนจีก็เอ่ยปากถามออกมาอย่างไม่เต็มใจ 

“รู้ได้เพราะศิษย์ฝึกหัดของปราชญ์ผู้นี้อย่างไรเล่า” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวอย่างภาคภูมิ “รสชาติของความพ่ายแพ้ เป็นเช่นไรบ้าง? มันจะเป็นการดีกว่าไหมหากเจ้ายอมจำนนเสีย อย่างน้อยในเวลานี้ มันก็ยังเพียงพอที่จะสามารถรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้นะ”  

“อามิตตาพุทธ ยามนี้ฝั่งเจ้าสูญสิ้นมารนักปราชญ์ไปแล้วถึงหกตน อีกหกมารนักปราชญ์ที่หลงเหลืออยู่นี้ หากคิดจะใช้มันพิชิตชัยพวกเราโดยสมบูรณ์ ย่อมมิอาจทำได้” นักพรตเป่ยหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม 

ซวนหยวนขี้เกียจเกินไปที่จะเอ่ยปาก เขาเพียงตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบยันต์เทวะขึ้นมาในมือ 

ตอนนี้ เผ่ามารนับแสนตนก็ได้ตกตายลงไปแล้ว อสูรวิญญาณเกือบทั้งหมดถูกบดขยี้ลง มารนักปราชญ์ก็เหลือเพียงครึ่งเท่านั้น 

ไม่ว่าจะเป็นในด้านความได้เปรียบของจำนวนผู้ฝึกยุทธในสนามรบ หรือกระทั่งในด้านการเผชิญหน้ากันระหว่างตัวตนระดับสูงจากทั้งสองฝั่ง มนุษยชาติก็แทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะอยู่ในจุดที่สามารถคว้าชัยชนะเอาไว้ได้แล้ว 

ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ หากอีกฝ่ายยังไม่รู้จักปล่อยวางแล้วละก็... 

ซินจุนจีถอนหายใจยาวและกำลังจะเอ่ยปากพูด 

ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นบริเวณเบื้องล่างสายตาเขา! 

ซินจุนจีเบนสายตาลงไป ก่อนจะพบว่ามันเป็นมือที่เพรียวบาง แลดูคล่องแคล่ว แต่ที่สำคัญก็คือเจ้ามือที่ว่านั่นมันเสียบทะลุออกมาจากหน้าอกเขา! 

และภายในมือนั่น ก็ยังจับกุมหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ตลอดเวลา 

“อืมๆๆ…” ม่านตาของซินจุนจีเบิกกว้าง กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง 

ฉากที่ปรากฏนี้ส่งผลให้ทั้งทางฝั่งมารนักปราชญ์และไตรภาคีถึงกับตะลึงงัน 

เนื่องเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ พวกเขามิอาจแม้กระทั่งจะทันได้ตอบสนองเลย รู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็เป็นดั่งภาพที่เห็นแล้ว 

“มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิง นี่เจ้า…เพราะเหตุใด…” ซินจุนจีกัดฟันกรอดอย่างฝืนทน ปากเอ่ยกล่าวอย่างไม่เต็มใจ

เบื้องหลังเขา ปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดชาววัง กำลังเอ่ยเสียงเย็น “เนื่องเพราะเจ้าได้ทำให้เผ่ามารสูญเสียโอกาสทองไป ทำให้แผนการที่ท่านจอมมารได้วางเอาไว้หลายทศวรรษจำต้องพังทลายลง” 

สิ้นคำกล่าว หนึ่งมือที่ถือจับหัวใจก็พลันเกร็งแน่น รอยเล็บจิกลึกลงไปในหัวใจ เตรียมที่จะบดขยี้ 

“เจ้ามันโง่เง่าเกินไป มิคู่ควรที่จะเอ่ยบัญชากองทัพมารเข้าต่อสู้ ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะติดตามท่านจอมมาร” ผู้หญิงคนนั้นวาดมือออกมา และวางมันลงบนหัวของซินจุนจีอย่างแผ่วเบา 

“ขอโอกาสอีกครั้ง ข้าจะพยายามให้ดีที่” ซินจุนจีเผยให้เห็นถึงความไม่ยินยอมในแววตา 

“การลงทัณฑ์สำหรับความล้มเหลวในครั้งนี้ก็คือการปล้นวิญญาณ นับจากนี้ตลอดชั่วอายุขัย เจ้าจะกลายเป็น ‘ทาสเลือด’ มิอาจหวนคืนกลับมายืนหยัดได้อีกต่อไป” ผู้หญิงคนนั้นกล่าว 

และมือของเธอก็ตบลงบนหน้าผากของซินจุนจีเบาๆ 

ปัง! หัวของซินจุนจีระเบิดออก ปรากฏรัศมีแสงสีแดง ขาว ฟ้า เขียว สาดกระจายออกมาเป็นหมอกเลือด ก่อนจะสลายหายไป 

ร่างไร้ศีรษะค่อยๆ ทิ้งตัวลงกับพื้น และไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไป 

ซินจุนจี ราชามารในขอบเขตประทับเทพ ด้วยการลงมือแค่เพียงผิวเผิน กลับถึงขั้นถูกสังหารจนตกตายลงในสถานที่แห่งนี้! 

ทุกสิ่งอย่าง ทั้งหมดเกิดจากน้ำมือของผู้หญิงเบื้องหน้าโดยสมบูรณ์ ทั้งหมดจ้องมองลงไปยังร่างกายของเธอ 

แต่กลับพบว่าบนร่างกายของเธอ กลับปรากฏให้เห็นเพียงภาพลวงตาจางๆ เท่านั้น 

มารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงได้โบกมือไปทางเบื้องหลัง 

อีกด้านหนึ่งของธารเมฆามาร ณ ภายในวังมาร สรรพเสียงมนต์ตราที่ขับร้องโดยมารสวรรค์อันทรงเสน่ห์ก็ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ 

สำหรับในช่วงเวลานี้ ราวกับสรรพเสียงของหญิงสาวนับล้านๆ ขับขานขึ้นโดยพร้อมเพรียง “เซ่า ซี่ ซา ซา โซว ซี ลู่ โม่ ลู โม่หลี่ ซีโหลว รั่ว โซวปา!” 

ท่ามกลางเสียงร่ายคาถานี้ ร่างกายของมารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงที่เลือนรางราวภาพลวงก็ค่อยๆ กลับมาคงตัว ก่อร่างคล้ายกับสิ่งมีชีวิตจริงๆ ขึ้นอีกครั้ง 

เธอหัวเราะคิกคักด้วยรอยยิ้ม “นี่มันน่าผิดหวังจริงๆ แผนการทั้งหมดต้องถูกทำลายลงเพราะตัวโง่งมตนเดียว แม้กระทั่งห้วงเวลาของข้าในโลกใบนี้ก็ยังหดสั้นลงเป็นอย่างมาก” 

สามปราชญ์เฝ้ามองเธอ ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป 

พวกเขาจ้องมองไปยังมารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิง ราวกับว่ากำลังเฝ้าดูถึงสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์อยู่ 

“เจ้าก็สังเกตเห็นแล้วเหมือนกันใช่ไหม?” ซวนหยวนตะโกนต่ำ 

“ใช่ ความผันผวนทางพลังวิญญาณของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า แม้ว่าจะไม่มากมายนัก แต่แท้จริงแล้วมันมิได้อยู่ในขอบเขตประทับเทพ” เซี่ยเต๋าหลิงเงยกวาดสายตาขึ้นๆ ลงไปยังมารสวรรค์นักปราชญ์หวู๋เซิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและกล่าว 

“อามิตตาพุทธ หากเหนือยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพจริงๆ เช่นนั้นเกรงว่าสวรรค์คงบังเกิดรูรั่วที่มิอาจอุดมันได้อีกต่อไปแล้ว” คู่ดวงตาที่นิ่งสงบเสมอมาของนักพรตเป่ยหยวนเผยให้เห็นถึงแววเคร่งเครียดเป็นครั้งแรก

........................................