webnovel

0139 อสูรวิญญาณ

ตอนที่ 139 อสูรวิญญาณ 

“เอ่อ ข้าเพียงต้องการให้เจ้าได้ยลโฉมมันจนลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวอย่างเชื่องช้า 

เขาเรียกเต่าเยือกทมิฬกลับคืน 

จากนั้นทั้งสองก็ตบๆ ปัดๆ เศษฝุ่นที่ฟุ่งกระจายและเกล็ดน้ำแข็งจากกระดองเต่าออกจากเสื้อผ้า 

เมื่อเริ่มเดินต่อไปได้สักพัก ฉินเซี่ยวโหลวก็ชี้ไปยังห้องโถงใหญ่และกล่าว “ที่นี่ล่ะ พวกเรามาถึงแล้ว” 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองไปยังสามตัวอักษรจีนขนาดใหญ่ที่ถูกสลักเอาไว้ ‘วังอสูรวิญญาณ’ 

ทั้งสองเดินเข้ามา ก่อนจะพบกับบัตรอสูรวิญญาณมากมายที่ถูกแขวนห้อยลงมาด้วยเชือกสีแดงจากบนเพดาน 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป และพบว่าบัตรแต่ละใบนั้น สลักไว้ด้วยตัวอักษรรูปทรงงดงาม ซึ่งน่าจะเป็นชื่อของอสูรวิญญาณแต่ละตน 

ทั่วทั้งห้องโถง มีบัตรอสูรวิญญาณแขวนอยู่เต็มไปหมด 

หากกะด้วยสายตาคร่าวๆ บัตรอสูรวิญญาณในที่ห้อยลงมาจากเพดานเหล่านี้ สมควรจะอยู่ที่ราวๆ พันกว่าตน 

“ความดีคือวิญญาณ ความชั่วร้ายคืออสูร” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย “แท้จริงแล้วมารอสูรก็คืออสูรวิญญาณ แท้จริงแล้วอสูรวิญญาณก็คือมารอสูร จะดีชั่วก็อยู่ตนทำ มิแตกต่างอันใดกับมนุษย์” 

“ท่านอาจารย์ชุบเลี้ยงอสูรวิญญาณเอาไว้มากมายขนาดนี้เลยกระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความรู้สึกทึ่ง 

“พวกเขาบางส่วนก็มิได้ถูกชุบเลี้ยง แต่รู้สึกสำนึกในน้ำใจที่ท่านอาจารย์เคยได้ช่วยเหลือ จึงเลือกที่จะนำบัตรอสูรวิญญาณของตนมาแขวนอยู่ที่นี่ด้วยตนเอง” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว 

“ท่านอาจารย์ทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม 

“มิใช่เรื่องยากเย็นอันใด เพียงให้ความช่วยเหลือพวกเขาในยามที่เกิดปัญหาก็เท่านั้น” 

“แล้วปัญหาของอสูรวิญญาณที่ว่านั่นคืออะไร?” 

“ก็พวกอาหารไม่เพียงพอเอย ถูกไล่ล่าบ้างเอย ธาตุไฟเข้าแทรกระหว่างฝึกฝนเอ่ย เม็ดยาฟื้นฟูวิญญาณที่เก็บรักษามากว่าพันปีถูกขโมยไปเอย อะไรประมาณนี้” 

“บัตรอสูรวิญญาณเหล่านี้คือ ‘ตัวแทนสัญญา’ที่ท่านอาจารย์ได้ทำเอาไว้ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็มีเพียงใช้มันอัญเชิญเท่านั้น และพวกอสูรวิญญาณก็จะตอบรับกลับมาอย่างแน่นอน” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว 

“ท่านอาจารย์ได้ช่วยเหลืออสูรวิญญาณไว้มากมายจริงๆ” กู่ฉิงซานมองไปยังบัตรอัญเชิญอสูรวิญญาณที่แขวนอยู่ทั่วทั้งห้องโถง เอ่ยปากกล่าวด้วยความนับถือ 

“เป็นเช่นนั้น ว่าแต่ศิษย์น้อง สัตว์ขี่แบบใดกันที่เจ้าต้องการ?” 

“รวดเร็ว ฉับไว” กู่ฉิงซานขบคิดและกล่าว 

แม้ว่าความว่องไวในการต่อสู้ของเขามันจะเพียงพอแล้วก็ตาม 

ทว่า ในการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ จากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง บางครั้งชั่วเวลาในระดับวินาที อาจจะทำให้สถานการณ์แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง 

“มุ่งเน้นไปเพียงแค่ความรวดเร็วฉับไวกระนั้นหรือ?” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว 

“ถูกต้อง” กู่ฉิงซานตอบ 

ฉินเซี่ยวโหลวเผยท่าทีเข้าอกเข้าใจออกมา 

“พวกเรานี่เหมาะสมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน” เขากล่าวกระซิบ “ข้ามุ่งเน้นที่จะหลบซ่อน ขณะที่เจ้าดูเหมือนว่าจะมุ่งเน้นไปที่การหลบหนี เช่นนี้ท่านอาจารย์คงไม่จำเป็นต้องใส่ใจความปลอดภัยของพวกเราอีกแล้วกระมัง” 

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไป 

ฉินเซี่ยวโหลวถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และกล่าว “ออกไปข้างนอกคราวนี้นับว่าอันตรายยิ่ง และท่านอาจารย์ก็ไม่จำกัดให้พวกเราห้ามใช้สัตว์ขี่ แถมยังสั่งให้เจ้ามาเลือกอสูรวิญญาณที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดได้เลยโดยตรง” 

เขาขบคิดอย่างลึกซึ้ง “ความรวดเร็ว รวดเร็วฉับไว…เช่นนั้นอาชาเขาเดียวลายจุด เสือดาวมณีแสงจันทร์ทร์ และกระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้า น่าจะเหมาะสมที่สุด” 

ขณะกล่าว มือของฉินเซี่ยวโหลวก็วูบไหว บัตรอัญเชิญอสูรวิญญาณสามใบก็ค่อยๆ ลอยมายังเบื้องหน้าเขา 

“จงคิดและระมัดระวังในสิ่งที่เจ้าพูด อสูรวิญญาณทั้งสามตนนี้มีจิตนึกคิดและห้วงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้พวกมันทั้งหมดยังอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำอีกด้วย” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวอย่างสงบ 

“ข้าทราบแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ 

พอได้ฟังเช่นนั้น ฉินเซี่ยวโหลวก็ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในบัตรอสูรวิญญาณทีละใบ ทีละใบ 

ฮู้ม!ๆๆ

สามร่างอสูรปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของทั้งสอง

 อาชาเขาเดียวที่มีรูปโฉมทระนงสง่างาม เสือดาวที่สาดประกายแสงเรืองรองราวกับหิมะออกมาจากร่างกาย และสุดท้ายคือกระเรียนที่มีแผงคอสีแดงเข้มรอบคอของมัน 

อสูรวิญญาณเชิดหน้าขึ้น หันไปสาดสายตาใส่กันและกัน ก่อนจะมองมายังชายทั้งสอง 

“มีเรื่องอะไร?” อาชาเขาเดียวเอ่ยปากออกมาเป็นตัวแรก 

น้ำเสียงของมันช่างรวดเร็วและดุดัน เอ่ยออกเป็นเชิงคำถาม 

“อาวุโสทั้งสาม พวกเราจำต้องไปรบในแนวหน้า ศิษย์น้องของข้าต้องการสัตว์ขี่ มีพวกท่านตนใดยินดีที่จะมาช่วยเหลือเขาบ้างหรือไม่?” ทั้งวาจาและท่าทีของฉินเซี่ยวโหลวสุภาพมากในยามนี้ 

“รบ? เจ้าหมายถึงสงคราม?” อาชาเขาเดียว พ่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความหงุดหงิด “ที่ที่มีศพมนุษย์กองเรียงรายอยู่ทั่วทุกหนแห่งน่ะหรือ หากเป็นเจ้า เจ้าจะชอบสถานที่เช่นนั้นหรือไม่เล่าเจ้ามนุษย์?” 

“ฮ่าๆๆ ท่านอาวุโสอย่าได้เข้าใจผิดไป เป็นพวกเผ่ามารต่างหากที่จะต้องทิ้งศพไว้นอนเรียงราย ส่วนพวกเราจะต้องมีชีวิตรอด” ฉินเซี่ยวโหลวรีบกล่าวประโลม 

เสือดาวที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงระยับเอ่ยปากกล่าว “เรื่องสงครามสำหรับข้าน่ะไม่ใช่ปัญหา แต่หากข้าต้องไปยังสถานที่นั่น พร้อมกับต้องดูแลเจ้าหนูที่อยู่เพียงขอบเขตก่อตั้งไปด้วยมันจะลำบากเกินไปหรือไม่?” 

ฉินเซี่ยวโหลวหัวเราะและกล่าว “ขอบเขตก่อตั้งนี้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราว ไม่นานมานี้เหล่ามนุษยชาติมากมายกำลังเร่งฝึกปรือพื้นฐานวรยุทธของตน บางทีเมื่อถึงยามนั้น ศิษย์น้องของข้าอาจตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตต่อไปแล้วก็เป็นได้‘ 

“เอาล่ะ ศิษย์น้อง เจ้าก็มาทำความรู้จักกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งสามซะสิ” เขาลากกู่ฉิงซานออกมาข้างหน้า 

“ผู้น้อยขอคารวะเหล่าอาวุโส” กู่ฉิงซานกล่าว 

สามอสูรวิญญาณจดจ้องเขาชนิดหัวชนฝา เพ่งพินิจอย่างรอบคอบ 

“เจ้าอายุได้กี่ขวบปีแล้ว?” กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพอสมควร 

“ยามนี้สิบแปดขวบปี ไม่นานก็จะย่างเข้าสิบเก้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว 

“ไปยังแนวหน้า ทว่าอยู่ด้วยกันกับฉินเซี่ยวโหลว?” กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้าเอ่ยถามอีกครั้ง 

“มิใช่เช่นนั้น ข้าจะอยู่ในแนวหน้า ทัพหน้า ทุ่มกำลังสู้รบเข่นฆ่าศัตรู” 

อาชาเขาเดียวลายจุดและเสือดาวมณีแสงจันทร์ทร์พอได้ฟัง ก็เหลือบมองกันครู่หนึ่ง 

“ช่างหาญกล้านัก เอาล่ะ พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?” กระเรียนเมฆาเพลิง หันไปเอ่ยถามอสูรวิญญาณทั้งสอง 

“อายุเจ้ายังเยาว์เกินไป สมควรที่จะยังไม่เคยได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของสงครามมาก่อนเป็นแน่น” เสือดาวมณีแสงจันทร์ทร์กล่าว 

“ใช่แล้ว เด็กเหลือขออย่างเจ้า หากข้าไปร่วมรบด้วย ข้ามิกลายเป็นพี่เลี้ยงของเจ้าหรอกหรือ?” อาชาเขาเดียวลายจุดเริ่มที่จะหงุดหงิด 

เสือดาวมณีแสงจันทร์ทร์ส่ายหัวและกล่าว “นี่มันตัวปัญหา ตัวปัญหา!” 

“ฮ่าๆๆ อาวุโสทั้งสองนี่ละก็...” ฉินเซี่ยวโหลวเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าเขากลับต้องหุบปากลง 

เนื่องเพราะกู่ฉิงซานได้วางมือลงบนไหล่เขา ส่งสัญญาณว่าเจ้ามิเป็นต้องเอ่ยอันใดอีก 

กู่ฉิงซานมองไปยังสองอสูรวิญญาณและกล่าว “เกรงว่าบางทีพวกท่านคงจะเข้าใจบางเรื่องผิดไป” 

สองอสูรวิญญาณชะงักงัน จ้องมองมายังเขา 

“ข้อแรก นี่คือสงครามครั้งสุดท้ายของมนุษยชาติเพื่อความอยู่รอดของโลกใบนี้ และพวกเราไม่ลังเลเลยที่จะทุ่มทั้งชีวิต มันไม่ใช่เรื่องที่พวกท่านสมควรจะทำท่าทีเบื่อหน่ายเช่นนี้” 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “หากโลกใบนี้ถูกทำลายลง มิใช่เพียงข้า แต่ท่านก็จะต้องตกตายเช่นกัน” 

“เจ้าเด็กเหลือขอนี่…” เสือดาวมณีแสงจันทร์จดจ้องเขา เริ่มคำรามเสียงต่ำ 

ฉินเซี่ยวโหลวพยายามกะพริบตาส่งสัญญาณห้ามกู่ฉิงซาน แต่ทว่ากู่ฉิงซานกลับทำเป็นไม่เห็นเขา และยังคงเอ่ยต่อว่า “ข้อสอง ข้ามิได้ขอให้พวกท่านมาเป็นสัตว์ขี่ของข้า ข้าเพียงแค่เลือกอัญเชิญพวกท่านเพียงเพราะพวกท่านตรงกับความต้องการของข้าต่างหาก” 

“ดังนั้นหากท่านไม่ต้องการ ก็สามารถจากไปได้เลย เพียงแต่ต้องนำบัตรอัญเชิญจากไปด้วย อย่านำมันมาแขวนไว้ที่นิกายร้อยบุปผาอีก เพราะพวกท่านไม่อาจบรรลุคำมั่นสัญญาที่มอบไว้ให้กับนางเซียนไป่ได้!” 

“เด็กเหลือขอ! เจ้ากล้า!” อาชาเขาเดียวลายจุดขึ้นเสียง 

“ที่นี่คือนิกายร้อยบุปผา แต่ท่านกลับเอ่ยถามว่า ข้ากล้า?” ดวงตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง 

กลิ่นอายสังหารเริ่มปะทุออกมา เอ่อล้นไปในอากาศที่ว่างเปล่า พร้อมกับดาบพิภพที่ตกลงในมือของเขา 

ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ คล้ายกำลังจะสื่อถึงเจตต่อสู้ของตน 

ฮู้ม! 

รังสีดาบสีขาวนวลราวแสงจันทร์ปกคลุมไปทั่วทั้งตัวดาบ 

“หากแน่จริง ช่วยกล่าวคำเมื่อครู่ออกมาอีกครั้งจะได้หรือไม่? ท่านอาวุโส?” กู่ฉิงซานจับจ้องไปยังอาชาเขาเดียวลายจุด เอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 

สามอสูรวิญญาณ ถอยหลังหลบฉากมาหนึ่งก้าว 

ขนทั่วทั้งร่างของพวกเขาลุกตั้งชูชัน ตลอดหลายปีในห้วงชีวิต พวกมันได้ผ่านพ้นการต่อสู้และล่าสังหารที่โหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน จึงมีสัมผัสที่ฉับไวต่อสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนฉับพลันเช่นนี้ 

ผู้ฝึกดาบ 

ทว่ามิใช่ผู้ฝึกดาบธรรมดา แต่เป็นผู้ฝึกดาบที่บ้าคลั่ง! 

มองจากสายตาของเจ้าเด็กนี่ บ่งบอกว่ามันคิดจะเอาจริง! 

มันต้องกล้าที่จะทำจริงๆ แน่ แม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้แต่ก็ยังเลือกที่จะโจมตี! 

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของอสูรวิญญาณโดยพร้อมเพรียง 

อาชาเขาเดียวลายจุดจ้องมองเขา แต่มิได้เคลื่อนไหวใดๆ  

“เจ้าเด็กเหลือขอนี่…” เสือดาวมณีแสงจันทร์ทร์เอ่ยงึมงำ ทว่าหลังจากนั้นเขาก็มิได้เอ่ยอะไรออกมาอีก 

“น่าสนใจดีนี่ เอาล่ะ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเป็นสัตว์ขี่ของเจ้าเอง” กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้าเอ่ยปากกล่าว 

กู่ฉิงซานชะงักงัน 

“เพราะเหตุใด?” เขาถาม 

“เพราะข้าคิดว่าเจ้าหาญกล้าไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้น ยังเยาว์วัยนักทว่ากลับได้เป็นถึงศิษย์ของนักปราชญ์ พรสวรรค์โดยธรรมชาติแน่นอนว่าต้องยอดเยี่ยม” กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้ากล่าวต่อ “และที่สำคัญ ข้าติดอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำมาเนิ่นนานกว่าร้อยปีมาแล้ว หากข้าได้เป็นสัตว์ขี่ของเจ้า บางทีสักวันหนึ่ง ยามเจ้าได้ทะยานขึ้นเป็นผู้ฝึกยุทธที่ยิ่งใหญ่ เจ้าอาจจะสามารถช่วยให้ข้าสามารถทะลวงด่านก็เป็นได้” 

“นี่นับว่าเป็นโอกาสที่ดี และนับว่าเป็นสิ่งที่ดีด้วยเช่นกัน” กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้า กล่าว 

“ท่านมิเกรงว่าจะตกตายไปพร้อมกับข้าในแนวหน้าหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“หากรุ่นเยาว์ที่อยู่เพียงขั้นก่อตั้งยังมิเกรงกลัวความตาย ข้าที่เป็นมารอสูรในขอบเขตแก่นทองคำจะไปหวาดเกรงได้อย่างไร” กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้ากล่าว 

“ยอดเยี่ยมนัก” เสียงของหญิงสาวดังกึกก้อง 

เมื่อทุกชีวิตหันไปมองตามเสียง กลับพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่นางเซียนไป่ฮั่วกำลังยืนอยู่กลางเวหา เฝ้ามองลงมายังพวกเขา

...................................................