webnovel

0138 สมญาเทพสงคราม

ตอนที่ 138 สมญาเทพสงคราม 

นางเซียนไป่ฮั่วจากไป ส่วนห่านขาวก็พาซิวซิวไปฝึกฝน ในห้องโถงหลักเวลานี้หลงเหลือเพียงกู่ฉิงซานและฉินเซี่ยวโหลวอยู่สองคนเท่านั้น 

“เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันเถอะศิษย์น้อง” เขาลุกขึ้น ก่อนชวนกู่ฉิงซาน 

“ขอรับ” 

กู่ฉิงซานยิ้มเล็กน้อย เอื้อมมือออกไปเก็บบัตรยืนยันตัวตนของเขา และเตรียมเดินออกไป 

ทว่าใครจะรู้ ยามที่มือของเขาสัมผัสลงบนบัตรยืนยันตัวตน จู่ๆ แววตาของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนไป 

เห็นเพียงแค่กระแสแสงหลั่งไหลออกมาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม ใจกลางกระแสแสงปรากฏตัวอักษรสีแดงร้อยเรียงเป็นประโยคหนึ่ง 

“ตรวจพบว่าผู้เล่นได้สร้างแรงดลใจในเนื้อเรื่องพิเศษ” 

“เงื่อนไขในปัจจุบันสอดคล้องกับหลักการที่จะเริ่มต้น” 

“เริ่มต้นภารกิจแห่งโชคชะตา” 

ภารกิจแห่งโชคชะตา! 

ครั้งก่อน ในช่วงเวลาที่เขาได้พบเจอกับกงซุนซีและหนิงเยว่ฉานที่ถูกเผ่ามารรุมล้อม ยามนั้นภารกิจแห่งโชคชะตาก็ได้ปรากฏขึ้น 

หลังจากข้ามผ่านภัยคุกคามอย่างยากลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงขั้นเกือบที่จะเสียชีวิต ในที่สุดภารกิจแสนอันตรายก็เสร็จสมบูรณ์ลงจนได้ และสามารถปลดล็อกหนึ่งในปุ่มเบื้องล่างระบบเทพสงคราม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ ขึ้นมาได้ 

แล้วคราวนี้ล่ะ? 

กู่ฉิงซานก้มลงมองอย่างรวดเร็ว 

“ภารกิจแห่งโชคชะตา การสู้รบขั้นแตกหักครึ่งแรก” 

“ทำลายโซ่ตรวนแห่งโชคชะตา เปลี่ยนทิศทางการปฏิรูปของโลก ผู้เล่นกู่ฉิงซานได้เข้าสู่ภารกิจแห่งโชคชะตา” 

“คำอธิบายภารกิจ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธตระเตรียมที่จะสู้รบกับเผ่ามารขั้นแตกหัก ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ทุกอย่างจะจบลงที่นี่ หากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธทำได้สำเร็จ พวกเขาก็มีหวังที่จะเดินทางไปยังโลกเทวะ หากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธล้มเหลว เผ่ามารที่กระจัดกระจายจะมารวมตัวและขยายอาณาเขตของตนอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้น มนุษยชาติและโลกใบนี้จะมีแนวโน้มสูงที่จะพังพินาศ” 

“เป้าหมายภารกิจ มีเพียงแค่ตัวตนระดับสูงเท่านั้นจึงจะมีอิทธิพลและเชิดหน้าชูตาได้ ในการสู้รบขั้นแตกหักช่วงครึ่งแรกนี้ คุณจะต้องเลื่อนยศทางกองทัพของตน ก้าวขึ้นไปสู่ขั้นนายทหารยศพันเอกให้จงได้” 

“เนื่องจากนี่เป็นสงครามที่เสี่ยงอันตรายและหนักหนาสาหัสเป็นอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เล่นจะไม่ตกตายเร็วเกินไป ดังนั้นระบบจึงทำการมอบรางวัลที่สมควรจะได้รับหลังจบภารกิจ ให้ก่อนล่วงหน้า” 

“ทว่าหากภารกิจล้มเหลว รางวัลจะถูกถอดถอนออก และผู้เล่นจะไม่สามารถยกระดับพื้นฐานวรยุทธได้เป็นเวลาสามปี” 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก ในสมองของเขาทั้งประหลาดใจและไม่อาจเอ่ยอธิบายออกมาได้ 

ชื่อของภารกิจเขียนเอาไว้ว่า ‘การสู้รบขั้นแตกหักครึ่งแรก’ นี้หมายความว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น 

นั่นหมายความว่า เมื่อคุณสามารถบรรลุภารกิจในส่วนนี้ได้ คุณก็จะมีสิทธิ์ที่จะริเริ่มทำภารกิจในส่วนหลัง 

และในเวลานี้ รางวัลที่ได้จากการบรรลุภารกิจก็ยังถูกมอบให้ก่อนล่วงหน้า 

กู่ฉิงซานตอนนี้ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจใดๆ ทว่ากลับบังเกิดความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นในจิตใจเข้ามาแทนที่ 

ก่อนหน้านี้ที่ช่วยชีวิตกงซุนซีและหนิงเยว่ฉาน ในสถานการณ์ที่แสนจะอันตรายขนาดนั้น กลับไม่มีการประกาศถึงรางวัลภารกิจล่วงหน้าเลย 

แต่คราวนี้ ระบบกับเอ่ยปากบอกโดยตรงว่านี่จะเป็นการรบที่อันตรายและสาหัส แถมนอกจากนี้ยังได้รับรางวัลล่วงหน้า 

ในประวัติศาสตร์ของเกม ไม่เคยมีภารกิจใดๆ ที่จะได้รับรางวัลตอบแทนล่วงหน้าปรากฏขึ้นมาก่อนเลย 

เห็นได้ชัดว่าระบบได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่า ผู้เล่นมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะตกตายในระหว่างสู้รบ 

ไม่ต้องกล่าวถึงหากภารกิจล้มเหลว ผู้เล่นจะไม่ได้สามารถยกระดับพื้นฐานวรยุทธ์ได้เป็นเวลาสามปี! 

ถ้าเป็นในกรณีนี้ มันก็เปรียบได้กับการที่ คุณจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป ทว่าคงทำได้เพียงแค่เฝ้ารอความตายอย่างเงียบๆ เท่านั้น 

กล่าวได้ว่าตายๆ ไปซะยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องกระทำการใดๆ หรือพบเจอกับเรื่องใดๆ ที่จะทำให้ลำบากใจ และไร้หนทางจะแก้ไข 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านคำอธิบายภารกิจ และลอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ 

เขารู้สึกเพียงว่า ตนกำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน หากพลาดพลั้งเพียงก้าว เขาจะร่วงตกลงไปไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้เลยอีก 

เขาเลื่อนหน้าต่างสถานะ และเลือกเข้าไปในส่วนไอค่อนปฏิบัติการ 

ติ๊ง! 

“รางวัลสำหรับสงครามแห่งโชคชะตาได้ถูกเปิดออกแล้ว” 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏไอค่อนสีทองใหม่เอี่ยมร่วงตกลงไปอยู่เคียงข้างกับ ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ และ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’  

หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม ชัดเจนแล้วว่าภารกิจแห่งโชคชะตานี่แหละคือกุญแจสำคัญในการปลดล็อกปุ่มไอค่อนเบื้องล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม! 

เขารีบไปดูไอค่อนใหม่ที่พึ่งปรากฏ 

เส้นแสงหิ่งห้อยแสดงถึงคำอธิบายบนไอค่อน 

“สมญาเทพสงคราม” 

“สมญาแห่งเทพสงคราม สะท้อนก้องไกลไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก แพร่กระจายออกไปยังโลกทั้งสิบ และนี่คือสมญาในปัจจุบันที่ท่านกำลังครอบครอง” 

“ผู้เล่นกู่ฉิงซาน สมญาปัจจุบันที่ครอบครอง สอง” 

“โปรดทราบว่า ท่านจะสามารถใส่สมญาได้ครั้งละ หนึ่งสมญาเท่านั้น” 

‘อ้าว ก่อนหน้านี้ฉันมีสมญาอยู่แล้วอย่างงั้นเหรอ?’ 

กู่ฉิงซานเผยท่าทีประประหลาดใจ 

สมญาที่ หนึ่งต่อสิบห้าดาบ สมญาพิเศษรายบุคคล

“คำอธิบาย ในวันที่มีการทดสอบประจำปี ท่านได้ใช้กระบวนท่าดาบโถมโจมตีเข้าใส่ฝูง สิบห้าผู้ฝึกยุทธ ในยี่สิบอันดับแรกจนแตกกระเจิง ดังนั้น เหล่ามือใหม่และนิกายน้อยใหญ่จึงต่างตั้งสมญาให้แก่ท่านว่าสิบห้าดาบ” 

“ต้องการสวมใส่สมญานี้หรือไม่ หากสวมใส่ ท่านจะได้รับสกิลพิเศษ คลื่นสั่นสะเทือนขั้นต้น” 

“คลื่นสั่นสะเทือนขั้นต้น ในระหว่างกระบวนการโจมตี ท่านจะสามารถสร้างความเสียหายแก่จิตเทวะของศัตรูได้เล็กน้อย” 

“สมญาที่ สอง นายทหารยศพันตรี” 

“คำอธิบาย นี่คือยศนายทหารอันดับที่สามประจำกองทัพพันธมิตรแห่งมนุษยชาติ” 

“ต้องการจะสวมใส่สมญานี้หรือไม่ หากสวมใส่ ท่านจะได้รับสกิลพิเศษ โจมตีฉับไวขั้นต้น” 

“โจมตีฉับไวขั้นต้น ช่วยเพิ่มความว่องไวในการโจมตีของผู้เล่น สิบเปอร์เซ็นต์” 

พอได้เห็นกู่ฉิงซานก็สูดหายใจลึก ระบบเทพสมครามช่างเหมาะสมกับชื่อเทพสงครามของมันจริงๆ ไอค่อนเทพสงคราม ทุกอันล้วนแล้วแต่ทรงพลังยิ่ง 

สองสมญาที่ได้รับมาในปัจจุบันนี้ เป็นเพียงแค่สมญาขั้นต้นเท่านั้น 

แม้พลังของมันจะดูธรรมดา มิได้ทรงพลังใดๆ 

ทว่าตัวอักษรเบื้องหลังที่เขียนว่าขั้นต้น นี่ต่างหากที่สำคัญ มันบ่งบอกว่าสกิลเหล่านี้คือสกิลวิวัฒ! 

สกิลวิวัฒ ยิ่งพัฒนายิ่งทรงประสิทธิภาพ ระบำผันผวนนับได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดี 

กู่ฉิงซานสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลยว่า หากเขาสามารถเลือกปรับเปลี่ยนสมญาได้ถูกจังหวะตามสถานการณ์ สกิลพิเศษของมันจะต้องมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน 

ถ้าหากวันหนึ่งเขาสามารถไปถึงระดับเดียวกันกับไตรภาคีได้ ระบบสมญานี้จะไม่มอบสกิลพิเศษที่ไม่ว่าศัตรูตนใดพบเจอจะต้องสยองเกล้าหรอกหรือ? 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมระบบถึงได้ให้รางวัลนี้ล่วงหน้า มันช่วยเรียกความฮึกเหิมของกู่ฉิงซานออกมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว 

ผู้ที่ไร้จุดหมาย สุดท้ายย่อมต้องทำได้เพียงหลบซ่อนตัว สภาพจิตใจไม่คงที่ ทว่าหากมีสิ่งดึงดูดใจเช่นนี้ ประโยคเบื้องต้นที่กล่าวมาย่อมพลิกผัน 

ฉินเซี่ยวโหลวกวักมือเรียกเขา นำทางเข้าไปในส่วนด้านหลังของวังร้อยบุปผา 

เขาเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ศิษย์น้อง เจ้าจะต้องได้สัตว์ขี่ที่ดีอย่างแน่นอน ไม่ต้องกังวลไป” 

ฉินเซี่ยวโหลวแม้จะสังเกตเห็นท่าทีแปลกไปของกู่ฉิงซาน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจมันผิดไป 

“ท่านอาจารย์น่ะครอบครองอสูรวิญญาณดีๆ ไว้มากมาย แต่นางมักจะเข้มงวดกับข้ามาก ไม่ยอมอนุญาตให้ข้าไปเล่นกับพวกมันเลย” 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “เช่นนั้นสัตว์ขี่ของศิษย์พี่คือตัวอะไร?” 

“ของข้าน่ะเหรอ?” ฉินเซี่ยวโหลวหัวเราะ เขาหยิบถุงอสูรวิญญาณออกมา 

“ศิษย์น้องเชิญดู!” 

เห็นเพียงแค่ฝ่ามือของฉินเซี่ยวโหลวตบลงเบาๆ บนถุงวิญญาณอสูร ทันใดนั้นพลันปรากฏเงาขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากชั้นเมฆ บดบังวิสัยทัศน์ของทั้งสอง 

ตู้ม! 

เต่ายักษ์ที่สูงราวกับตึกสองชั้นร่วงตกลงมาจนพื้นดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น 

นี่คือเต่าเยือกทมิฬ มันเป็นอสูรที่สามารถปลดผนึกพลังวิญญาณธาตุน้ำได้ และสามารถก้าวขึ้นสู่ธาตุน้ำขั้นสอง นับว่าเป็นอสูรที่มีความแข็งแกร่งไม่เลวเลย 

“ในด้านการต่อสู้นับว่าหาได้สำคัญไม่” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวอธิบาย “สิ่งสำคัญก็คือ กระดองเต่าของมันถูกหนุนเสริมด้วยน้ำแข็ง ส่งผลให้สามารถเบี่ยงวิถีการโจมตีทั่วๆ ไปได้อย่างง่ายดาย” 

“เจ้าลองมองดูที่กระดองเต่านี่ดีๆ สิ เห็นมันว่ามันหนามาก ดังนั้นพลังป้องกันของมันจึงเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง!” 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทว่าต่อให้พลังป้องกันสูงแล้วอย่างไร มันจะช่วยอะไรท่านได้เล่า?‘ 

“นี่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ” ฉินเซีย่วโหลวเอ่ยอย่างภาคภูมิ “ข้าน่ะได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด สร้างค่ายกลมิติกว่าสามค่ายลงในกระดองเต่า เผื่อในกรณีที่พบเจอกับเผ่ามาร หากพวกมันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าและโถมโจมตีข้า ข้าก็จะสามารถเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในกระดองเต่าได้อย่างไรเล่า” 

กู่ฉิงซานจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง จ้องชนิดหัวชนฝาจนเขาตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายมิได้ล้อเล่นเป็นแน่ 

ฉินเซี่ยวโหลวทำตัวบ้าบอเช่นนี้ ทำให้กู่ฉิงซานเผลอหันเหความสนใจไป ลืมเลือนเรื่องที่ตนกังวลไปโดยไม่รู้ตัว 

“เอาเถอะ นี่นับว่าเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม แต่ว่านะศิษย์พี่สอง ตอนนี้ท่านสมควรเก็บมันกลับคืนไปก่อนจะได้ไหม มันบดบังเส้นทางจนมิอาจก้าวเดินได้แล้ว...” กู่ฉิงซานกล่าว

........................................