webnovel

0140 ความสำเร็จทางกองทัพ

ตอนที่ 140 ความสำเร็จทางกองทัพ 

“อาจารย์ นี่ท่านมาตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ฉินเซี่ยวโหลวเอ่ยถาม 

“สักพักแล้ว” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว 

“ยินดีที่ได้พบกับนักปราชญ์” สามอสูรวิญญาณเร่งโค้งหัวคำนับ

“อืม” นางเซียนไป่ฮั่วเอื้อมมือจี้ไปยังอากาศที่ว่างเปล่า ฉับพลันนั้น สองในสามบัตรอสูรวิญญาณ ก็แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที 

“อาชาเขาเดียวลายจุด เสือดาวมณีแสงจันทร์ นับจากนี้ไปพวกเจ้ามิอาจย่างกรายเข้ามาใกล้อาณาจักรร้อยบุปผาในระยะพันลี้ มิได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อของข้าไปกระทำการใดอีก หากละเมิด เจ้าจักต้องได้รับการลงทัณฑ์จากนักปราชญ์อย่างแน่นอน” 

“นับแต่นี้ไปในอนาคต กระเรียนเมฆาเพลิงค้นฟ้าคือสัตว์ขี่ของกู่ฉิงซาน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกยุทธ เทคนิคฝึกยุทธ เม็ดยารักษา และอาหารวิญญาณ ทั้งหมดที่ถูกทิ้งไว้โดยข้าภายในนิกายร้อยบุปผา เจ้าสามารถเลือกสรรได้ตามใจนึก” 

“ขอรับ” สามอสูรวิญญาณลดศีรษะลง แต่ละตัวบังเกิดความคิดไปต่างๆ นานา

ณ ค่ำคืน 

ภายในวังหลานเฉา 

ห่านขาวโยนใบหยกไปให้กู่ฉิงซานและกล่าว “จงตั้งใจฝึกฝนให้ดี” 

กู่ฉิงซานถือใบหยกไว้ในมือ กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป ทันใดนั้นจิตใจของเขาก็พลันเบิกบาน 

เพราะใบหยกชิ้นนี้ บรรจุเทคนิคฝึกยุทธเอาไว้ 

“เทคนิคลับ รังสรรค์แก่นแท้แห่งปราชญ์ร้อยบุปผา” 

นี่คือวิชาฝึกยุทธของนักปราชญ์ร้อยบุปผา 

ในชีวิตก่อนหน้า เทคนิคฝึกยุทธดังกล่าวนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก เล่าลือกันว่าในบรรดาเทคนิคฝึกยุทธขั้นก่อตั้งทั้งหมด วิชานี้นับว่าแข็งแกร่งที่สุด 

ผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนเทคนิคนี้ ปริมาณพลังวิญญาณของเขา หากเทียบเคียงกับเทคนิคอื่นๆ ในระดับเดียวกัน กลับพบว่าสามารถครอบครองพลังวิญญาณได้มากกว่าถึงสองในสิบส่วน ยิ่งไปกว่านั้น ยามที่จะตัดผ่านไปยังขอบเขตใหม่ ยังสามารถตัดผ่านได้ง่ายดายยิ่ง 

ผู้เล่นทุกคนทราบถึงตัวตนของเทคนิคฝึกยุทธนี้  แต่เนื่องจากไม่เคยมีใครได้กลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของนางเซียนไป่ฮั่วมาก่อน จึงมิมีผู้ใดได้รับการสอนสั่งมัน 

ห่านข่าวกล่าว “เมื่อเจ้าเดินทางไปยังแนวหน้า เป็นไปได้สูงว่าเจ้าจะไม่สามารถกลับมายังนิกายได้ชั่วเวลาหนึ่ง ท่านอาจารย์จึงเลือกเทคนิคฝึกยุทธขั้นก่อตั้งนับร้อยนับพันที่มี สุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกเทคนิคที่นางเคยฝึกฝนมาก่อนให้แก่เจ้า” 

กู่ฉิงซานกล่าว “เข้าใจแล้ว ข้าจะมุ่งสมาธิทำการศึกษามันอย่างดี” 

‘แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้ฉันไม่มีแต้มพลังวิญญาณเพียงพอที่จะเรียนรู้มัน’ เขาพึมพำในใจอย่างเงียบๆ 

อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ยังสามารถที่จะแก้ไขได้ โดยการออกไปสู้รบ และเข่นฆ่าเผ่ามารตามปกติ 

นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังสามารถเริ่มต้นที่จะเรียนวิชาของมันผ่านการทำสมาธิ แต่จริงๆ แล้วเขายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องทำมากเกินไป และการอัปเลเวลโดยใช้แต้มพลังวิญญาณโดยตรงมันก็สะดวกสบายและรวดเร็วกว่า 

ซิวซิวยืนรออยู่ข้างๆ มาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อห่านข่าวกล่าวจบ เธอก็เดินเข้ามา สองมือที่ถือถุงสัมภาระยื่นออกไป ยกมันมอบให้แก่กู่ฉิงซาน 

“ศิษย์พี่ ภายในเต็มไปด้วยขนมขบเคี้ยวจำนวนมาก ข้าเลือกสรรมันอยู่นาน โปรดอย่าลืมนึกถึงมันในยามที่ท่านหิวโหย” ซิวซิวกล่าว 

“ซิวซิวของพวกเรายอดเยี่ยมที่สุด รอให้ศิษย์พี่เจ้ากลับมาก่อนเถอะ ข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่นภายนอกอีกครั้ง” กู่ฉิงซานรับถุงสัมภาระมา และลูบหัวของเธอ 

“ศิษย์น้อง!” 

ภายนอกวังหลานเฉา ปรากฏเสียงหนึ่งตะโกนลอดเข้ามา 

กู่ฉิงซานลุกขึ้นและเดินออกไปทักทายอย่างเร่งรีบ 

ไม่นานนัก ฉินเซี่ยวโหลวก็เข้ามาในวังหลานเฉาพร้อมกับเขา 

“เรื่องเตรียมตัวเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินเซี่ยวโหลวถาม 

“เตรียมตัวพร้อมแล้ว เหลือแค่เพียงเฝ้ารอให้ถึงวันพรุ่งนี้” กู่ฉิงซานกล่าว 

“ฮี่ฮี่” ฉินเซี่ยวโหลวตบหลังกู่ฉิงซาน “เรื่องอสูรวิญญาณที่เกิดขึ้นในวันนี้น่ะ ข้าเก็บไปคิดอยู่นาน สรุปแล้วว่าเป็นข้าเองที่ผิดพลั้ง ต้องทำให้เจ้าผิดหวัง” 

“จะดีจะร้ายข้าก็เป็นศิษย์น้อง ศิษย์พี่มิสมควรจะกล่าวเช่นนั้น” 

“อ่า ตามใจเจ้า อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะมอบวิชาดีๆ บางอย่างให้แก่เจ้า” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวอย่างลึกลับ 

“อะไรคือวิชาดีๆ ที่ท่านว่า?” 

“นี่เป็นวิชาที่ถูกปรับแต่งโดยข้า มันสามารถทำให้เจ้าดื่มด่ำเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพอันงดงามแห่งชีวิต” 

ระหว่างกล่าว เขาก็ตบลงไปในถุงสัมภาระ และหยิบเอาใบหยกออกมา 

กู่ฉิงซานมองไปยังใบหยก เริ่มคาดเดาไปถึงวิชาที่บรรจุอยู่ภายใน 

ครั้งล่าสุดที่ฉินเซี่ยวโหลวนำใบหยกออกมา มันก็ได้ถูกฉกไปโดยห่านขาวในทันที 

ณ เวลานั้น อีกฝ่ายคิดจะมอบเทคนิคหล่อเลี้ยงพลังวิญญาณจากสุญญากาศให้แก่เขา ซึ่งเป็นวิธีการที่ฉินเซี่ยวโหลวนำมาใช้กับเหล่าสาวน้อยผู้ฝึกยุทธโดยเฉพาะ 

ต่อมาเมื่อได้ฟังซิวซิวเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดของเทคนิคฝึกยุทธนี้ กู่ฉิงซานก็ตกใจมาก และไม่รู้ว่าตนสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี 

มาคราวนี้ เขาจึงไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดมอบสิ่งใดออกมา 

ฉินเซี่ยวโหลวมอบใบหยกให้ด้วยความอิ่มเอมใจ 

กู่ฉิงซานจำใจเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา 

ใบหยกถูกคว้าจับ บนหน้าต่างระบบเทพสงครามปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยเรืองรอง ร้อยเรียงกันเป็นตัวอักษรใจความว่า 

“ค้นพบสุดยอดวิชาลับฉบับปรับปรุง ‘ยับยั้งลมหายใจ’ จ่ายสิบแต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้หรือไม่?” 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานจ้องมองมันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย 

วิชายับยั้งลมหายใจนับว่าเป็นวิชาสามัญยิ่ง เพียงแต่ในบางภารกิจที่จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปกับการปิดซ่อนตัวตน กระบวนท่านี้จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล 

แต่นี่คือ ‘สุดยอดวิชาลับรุ่นปรับปรุง แม้จะเป็นความจริงที่ว่ามันทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าแบบสามัญ แต่มันก็ต้องจ่ายออกด้วยพลังวิญญาณที่มากกว่าเช่นกัน ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิชาลับที่ได้รับการปรับแต่งมาแล้วจริงๆ’ 

อย่างไรก็ตาม แล้วเจ้าสิ่งนี้มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับสิ่งที่ฉินเซี่ยวโหลวอธิบายเมื่อครู่? 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “นี่มิใช่วิชาลับยับยั้งลมหายใจหรอกหรือ เหตุใดมันถึงกลายเป็นวิชาที่ใช้ดื่มด่ำและเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพได้เล่า” 

“นี่แสดงว่าเจ้ายังไม่เข้าใจ” ฉินเซี่ยวโหลวยังคงปล่อยให้เขาคาดเดา 

“เอ่อก็ใช่ ข้าไม่เข้าใจ” กู่ฉิงซานตอบรับตรงๆ ไหนๆ อีกฝ่ายก็ชงมาแล้ว เขาก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือเต็มที่ 

ฉินเซี่ยวโหลวหัวเราะ ทว่าจู่ๆ สีหน้าของเขาก็กลับกลายเป็นจริงจัง “ความหมายที่แท้จริงของวิชานี้ มีเพียงหกคำ” 

“หกคำนี้ ข้ามิเคยเปิดเผยให้ผู้ใดมากก่อน ดังนั้นศิษย์น้องสมควรตั้งใจฟังให้ดี” 

กู่ฉิงซานเห็นอีกฝ่ายจริงจัง ตนเลยเผลอจริงจังไปด้วยโดยไม่รู้ตัว “เข้าใจแล้ว ศิษย์พี่เชิญชี้แนะ” 

ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวอย่างเฉียบขาด “เล่นเป็นหมูแล้วกินเสือ” 

กู่ฉิงซานชะงักงัน 

ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวต่อ “หากว่างๆ จงไปยังถนนทางตอนใต้ของเมือง เจ้าจะพบกับผู้ฝึกยุทธในขอบเขตปราณปรับแต่ง จากนั้นก็ใช้ออกด้วยวิชาลับนี้ ปลอมเป็นหมู หากมีผู้ใดก็ตามล่วงเกินเจ้า ก็ขอให้เจ้าถอนวิชาลับยับยั้งลมหายใจนี้ออกเสีย เปิดเผยถึงขอบเขตพื้นฐานวรยุทธที่แท้จริง จากนั้นก็ทุบตีข่มขู่พวกมันให้ร้องขอความเมตตา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้ดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพเบื้องหน้า” 

“แต่จุดที่สำคัญก็คือ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้นต่อหน้าเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิง จากนั้นก็ใช้ออกด้วยเทคนิคหล่อเลี้ยงพลังวิญญาณจากสุญญากาศ เพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่พวกนาง เพิ่มความประทับใจที่มีต่อตัวเจ้าให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม” 

“แต่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ถ้าอีกฝ่ายเป็นมีอาจารย์หรือศิษย์พี่คนอื่นๆ ติดตามมาด้วยเล่า ข้าจะต้องทำเช่นไรดี?” 

สองมือของฉินเซี่ยวโหลวหนึ่งหุบเข้า หนึ่งกางออก ก่อนจะเหวี่ยงมันเข้าประสานกัน “ข้า ฉินเซี่ยวโหลว ศิษย์ที่แท้จริงภายใต้นักปราชญ์ไป่ฮั่ว แห่งนิกายร้อยบุปผา  ขอเอ่ยถามพวกเจ้าหน่อยจะได้ไหมว่าพวกเจ้ามาจากนิกายใดกัน” 

“…ที่แท้พอสู้ไม่ได้ ท่านก็เล่นใช้ชื่อของอาจารย์มาบังหน้าอย่างนี้นี่เอง…” 

“อย่าพูดเช่นนั้น” ฉินเซี่ยวโหลวรีบโบกมือไปมาอย่างรวดเร็ว “หากใช้วิชานี้ มันจะช่วยให้เจ้าบรรเทาความเบื่อหน่ายในแนวหน้าได้ไม่น้อยเลย” 

“นี่คือวิชาลับที่ข้ามักจะใช้เพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย และบัดนี้ก็ได้ส่งต่อมันให้แก่เจ้าแล้ว” 

“ศิษย์พี่สามเป็นพวกขี้เบื่อหน่ายกระนั้นหรือ” 

“...เปล่า” 

“ศิษย์พี่สามมีข้าซิวซิวอยู่ด้วยทั้งคนแล้วยังเบื่อหน่ายอีกกระนั้นหรือ?” 

“…เปล่า” 

ฉินเซี่ยวโหลวมองห่านขาวกับซิวซิว และกล่าว “เอาล่ะๆ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องสาว ในเมื่อพวกเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว ก็ห้ามไปบอกกล่าวกับผู้ใดล่ะโดยเฉพาะท่านอาจารย์ เช่นนั้นมันจะไม่เป็นการดีต่อทั้งข้าฉิงซาน” 

ซิวซิวกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “เห็นแก่ที่ท่านหวังดีต่อศิษย์พี่สาม ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” 

“ศิษย์พี่ใหญ่ ฮี่ฮี่ ข้าหวังว่าท่านคงไม่เก็บเรื่องนี้ไปถือสาเช่นกัน” ฉินเซี่ยวโหลวโค้งคารวะ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม 

สองตาของห่านขาวหรี่แคบลง กล่าวอย่างเย็นชา “มิต้องกังวลไป ข้าจะไม่เอ่ยกล่าวอันใดแก่ท่านอาจารย์” 

ฉินเซี่ยวโหลวได้ฟังก็โล่งใจ 

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ในฐานะที่ตนเป็นศิษย์พี่ เขาพลันรู้สึกว่าตนช่างมีน้ำใจต่อศิษย์น้องจริงๆ 

เมื่อผู้คนได้จากไป วังหลานเฉาจึงหลงเหลืออยู่แค่เพียงกู่ฉิงซาน 

กู่ฉิงซานก้มมองใบหยกในมือ ก่อนจะเก็บมันลงในถุงสัมภาระ 

เอาเถอะ อย่างไรเสียฉินเซี่ยวโหลวก็มีเจตนาดีล่ะนะ 

ทันใดนั้นเอง เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ก็ลอยเข้ามา 

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปรับ และเขาก็ต้องพบกับความประหลาดใจ 

นี่คือยันต์สื่อสาร และผู้ที่ส่งมันมาคือกงซุนซี 

เขาถ่ายเทจิตสัมผัสเทวะลงไป 

ไม่กี่คำก็ได้ถูกส่งผ่านออกมา 

“ข้ามีเรื่องดีๆ มานำเสนอ ตอนนี้เจ้าต้องการที่จะได้รับความสำเร็จทางกองทัพหรือไม่?” 

แน่นอนว่าต้องการ! เนื่องเพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของชีวิตและความตายของเขานี่นา 

หากได้รับความสำเร็จทางกองทัพ เขาก็จะสามารถสะสมมันเพื่อเลื่อนยศได้ หากไม่สามารถเลื่อนยศไปถึงนายทหารยศพันเอก ย่อมหมายถึงความล้มเหลวในภารกิจแห่งโชคชะตา และเขาจะไม่อาจเพิ่มพูนพื้นฐานวรยุทธได้ภายในสามปี! 

กู่ฉิงซานตอบกลับอย่างรวดเร็ว 

“คิดว่าการที่ท่านนายพลกงซุนเอ่ยถามเช่นนี้ เพราะมีหนทางให้ข้าใช่หรือไม่?” 

ทันทีที่ใช้ยันต์สื่อสาร ยันต์สื่อสารก็พลันลุกไหม้ และบินหายลับไปสุดสายตา 

ไม่นานนัก ยันต์ที่ลุกไหม้ก็ลอยกลับมา กงซุนซีได้เอ่ยตอบคำถามเขาอีกครั้ง 

“ในสงครามแนวหน้าครั้งล่าสุด เจ้าเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากกองพันทหารม้า ทว่าเจ้าไม่เพียงรอดกลับมามือเปล่า ยังสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลของเหล่ามารที่ปรากฏตัวขึ้นในแนวหน้ากลับมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายชื่อ ลักษณะ รูปแบบการโจมตี และจุดอ่อน สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาแลกเป็นแต้มความสำเร็จทางทหารได้จำนวนมาก” 

จู่ๆ แผ่นหลังของกู่ฉิงซานก็ดีดขึ้นตั้งตรงอย่างฉับพลัน 

ช่วงเวลานี้ ยังเป็นช่วงหยั่งเชิงกันระหว่างเผ่ามารและมนุษยชาติ 

ข้อมูลที่ทางฝั่งมนุษยชาติมีนั้นจึงน้อยนิดยิ่ง 

หากไม่ใช่เพราะกงซุนซีและหนิงเยว่ฉานได้ค้นพบกับความลับของโลกเทวะ เผ่ามารหลากชนิดก็คงไม่ปรากฏตัวออกมา และไล่ล่าพวกเขาอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ 

ดูเหมือนว่าพวกมันก็ยังไม่ค่อยจะรับรู้ได้ถึงระดับชั้นพลังของโลกใบนี้ได้มากนัก 

ทางฝั่งมนุษยชาติก็เช่นเดียวกัน 

ดังนั้น ปัจจุบันนี้ ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับเผ่ามาร มนุษยชาติยังคงไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ 

ในเวลานี้ การที่กู่ฉิงซานมีข้อมูลของเผ่ามารอยู่ในมือ จึงช่วยให้เขาสร้างความสำเร็จทางกองทัพก้อนใหญ่ได้ 

ทว่าขณะเดียวกันก็ไม่สามารถส่งมอบข้อมูลทั้งหมดของเผ่ามารที่เขาเคยพบเจอในชีวิตก่อนหน้าออกไปได้เช่นกัน เนื่องเพราะบางตนยังคงหลบซ่อน ยังไม่ยอมปรากฏตัวขึ้น 

ในส่วนนี้จะต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง 

เมื่อคิดได้ก็ลงมือทำ กู่ฉิงซานหยิบแผ่นหยกออกมาทันที และถ่ายเทข้อมูลของเผ่ามารที่เคยปรากฏขึ้นในแนวหน้าลงไปทีละตน ทีละตน 

ไม่ว่าอะไรก็ตาม การสู้รบขั้นแตกหักยังคงไม่เริ่มต้นขึ้น หากเขาสามารถสั่งสมความสำเร็จทางกองทัพจำนวนหนึ่งก่อนล่วงหน้าได้ นี่คงนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

........................................