webnovel

ไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด แต่พ่อสอนให้เปิดตั้งแต่เด็ก

อวี้หรูเหยียน ชื่อนี้มากด้วยเสน่ห์ที่ยากจะหาใดเปรียบ อีกทั้งยังแทนรูปโฉมที่สุดยอดในหล้าอีกด้วย

ในเมืองหลวงฉางอันใครบ้างที่ไม่รู้จักอวี้หรูเหยียน? ในฐานะคณิกาอันดับหนึ่ง ในฐานะรูปโฉมที่ไร้จุดติเตียน นางจึงมีรัศมีความนิยมชมชอบที่แทบจะไม่มีใครสามารถทาบรัศมีได้ในต้าเจิ้ง!

แม้อวี้หรูเหยียนจะเป็นนางคณิกาในหอนางโลม แต่ทว่านางหาใช่คณิกาประเภทขายเรือนร่าง แต่เป็นประเภทขายศิลปะและความบันเทิง กระทั่งมีคำเล่าลือว่า บุรุษคนใดที่สามารถพิชิตใจนางได้ จะได้นางไปครอบครอง!

แต่ว่า จนมาถึงบัดนี้ ยังมิมีผู้ใดที่สามารถทำได้เลย แม้แต่บรรดาผู้ที่มีความหวังสูงอย่างเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง องค์ชายจากแคว้นต่างๆ หรือคุณชายผู้เพียบพร้อมจากตระกูลมีชื่อ หรือจะเป็นบัณฑิตหนุ่มมากความสามารถ สุดท้ายพวกเขาเหล่านี้ก็ได้แต่คว้าน้ำเหลวกันไปถ้วนหน้า

อวี้หรูเหยียนจะเป็นโฉมตรูอันดับหนึ่งของต้าเจิ้งหรือไม่นั้นยังน่าจะต้องได้รับการ แต่ว่าภายในเขตของเมืองหลวงฉางอัน หากนับเรื่องรูปโฉมและความสามารถ เกรงว่าในกลุ่มคนรุ่นใหม่คงยากที่หาใครมาเทียบเทียมนางได้อีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ในเขตเมืองหลวงฉางอัน ชื่อของอวี้หรูเหยียนจึงเต็มไปด้วยเสน่ห์ ไม่รู้ว่านางเป็นนางในฝันในทัศนะของบุรุษจำนวนเท่าไหร่

"แม่นางอวี้มาด้วยตนเอง ในที่สุดก็มีโอกาสเชยชมความงามของคณิกาอันดับหนึ่ง" เมื่อเหล่าบุรุษในเมืองได้ยินข่าวการแสดงของอวี้หรูเหยียนแล้ว พลันเป็นที่คลั่งไคล้ยิ่งนัก ถึงกับมีจิตใจที่หวั่นไหว ต่างทยอยกันรุดมาที่หอเซี่ยงอี้ในเวลานี้

ถ้าเกิดว่านี้เป็นระบบกดบัตรคอนเสิร์ตบนเว็บไซต์เกรงว่าตอนนี้ server คงจะล่มไปแล้ว!

"หากมีโอกาสได้รับชมการแสดงของนางสักครั้ง ชีวิตนี้ไม่เสียดายแล้ว" กลุ่มชายหนุ่มที่มีเงินไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่าเข้าชม ก็ได้แต่เซ็งไปตามๆ กัน

ชายหนุ่มคนใดที่เคยได้พบอวี้หรูเหยียนมาแล้ว เรียกได้ว่ารักแรกพบจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว พวกเขาได้แต่หลงใหลกับบุคลิกลักษณะอันมีเสน่ห์ของนาง ถึงกับมีจิตใจที่เคลิบเคลิ้มจนโงหัวไม่ขึ้น

เมื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกดีใจของทุกคนแล้ว กลุ่มของอดีตฮ่องเต้ทั้งสามกลับรู้สึกกังวลยิ่ง หากเป็นช่วงเวลาปกติ แน่นอนว่าพวกเขาไม่แม้แต่จะแยแสคณิกาอันดับหนึ่งเลยแม้แต่น้อย แค่ฮองเฮาที่อยู่ข้างกายก็แทบจะทำให้พวกเขาเจียนตายแล้ว จะเห็นได้ว่าแม้แต่นางสนมในวังยังไม่มีสักคน บุรุษของตระกูลฟู่นั้นเป็นประเภทรักเดียวใจเดียวกัน เมื่อได้สมรสกันแล้วพวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันไปจวบจนสิ้นลมหายใจ ไม่มีความคิดที่จะรับอนุใดเพิ่มอีก ซึ่งมันเป็นแนวความคิดแบบเดียวกับโลกเดิมของหนิงหลง

แต่วันนี้พวกเขาทั้งสามกลับรู้สึกกังวลยิ่งนัก หลายๆ เรื่องได้ผุดขึ้นมากลางใจ ในใจของพวกเขามีความรู้สึกที่ไม่เป็นมงคล ลางสังหรณ์บอกกับพวกเขาว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่อง ไม่ถูกฮูหยินสุดที่รักจับได้ มันก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่สักเรื่องหนึ่งแน่

ในขณะที่กลุ่มของหนิงหลงกำลังจะจ่ายเงินเพื่อขึ้นไปยังชั้นเจ็ด พวกเขาได้ถูกคุณชายลูกผู้ดีกลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้

"ชั้นเจ็ดนี้เป็นชั้นที่ที่ของทานอย่างพวกเจ้าขึ้นมาได้อย่างนั้นรึ?" ชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาผู้เป็นหัวกลุ่มเอ่ยขึ้น พร้อมส่งสายตารังเกียจไปทางสามพ่อลูกตระกูลฟู่ที่กำลังปลอมตัวเป็นปุถุชน "ไสหัวลงไปและคุกเข่าอยู่ตรงนั้นแต่โดยดี มิฉะนั้นล่ะก็จะลงโทษด้วยกฎ!"

ชายหนุ่มแสดงออกต้องการวางอำนาย แม้ว่าจะมีผู้คนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครก็ขี้คร้านจะยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะชายหนุ่มคนนี้หาใช่คุณชายธรรมดาสามัญที่ไหน

"ที่นี่มีกฎห้ามขอทานขึ้นไปยังชั้นเจ็ดด้วยหรือ?" เวลานี้ หนิงหลงยิ้มเยาะ ยืนกอดตรงบันไดด้วยท่าทีอวดดียิ่งราวกับอันธพาล

"เหอะ! ถึงแม้ว่าจะไม่มีกฎเช่นนั้น แต่เจ้าคิดว่าจะมีเงินจ่า-"

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบ หนิงหลงโยนปึกบัตรทองให้กับคนเฝ้าทางสิบปึก อีกทั้งภายในกองปึกบัตรทองนั้นมองดวงตาจะพบว่ามันมีอยู่ราวๆ หนึ่งร้อยใบ เท่ากับว่าหนิงหลงได้โยนเงินให้กับคนเฝ้าทางไปหนึ่งแสนบัตรทอง

"วันนี้บิดารู้สึกปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ค่าเข้าชมการแสดงวันนี้ข้าเลี้ยงเอง!" หนิงหลงหัวเราะเสียงดัง เดินตรงขึ้นไปยังชั้นเจ็ดในทันที

"เจ้า!" ชายหนุ่มถึงกับขบเคี้ยวฟันเมื่อมองเห็นท่าทีอวดดีของหนิงหลง

"สุนัขดีย่อมไม่ขวางทาง ไสหัวไปให้พ้นๆ เสีย" หนิงหลงยกมือขึ้นตบเข้าที่แก้มขวาชายหนุ่มอย่างแรง จนเลือดกลบปากฟันหลุดกระเด็นออกมาสามซี่

"เจ้าคนที่ไม่รู้จักคำว่าตาย! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อข้าเป็นใคร?" ชายหนุ่มโกรธเคืองยิ่งนัก เวลานี้หนิงหลงทำให้เขาต้องขายหน้าต่อผู้คนมากมาย อีกทั้งยังถูกตบจนเลือดกบปาก แล้วจะให้เขาทนได้อย่างไร?

ไม่รอช้าหนิงหลงก็ยกมือตบเข้าไปอีกครั้งที่แก้มซ้าย กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า "แล้วพ่อเจ้าเป็นใคร?"

หลังถูกหนิงหลงตบเข้าถึงสองครา ใบหน้าของชายหนุ่มดูเหมือนหมูยิ่งนัก เมื่อถูกหนิงหลงบีบจนไม่มีทางที่จะถอยได้อีก อดไม่ได้ที่จะร้องกล่าวเสียงดังออกมาว่า "จำใส่หัวของเจ้าไว้! พ่อข้าคือเสนาบดีกรมกลาโหม มู่เฉิน!"

พฤติกรรมของชายหนุ่มเป็นที่ดถูกเหยียดหยามของผู้คน แต่เมื่อเขายกเอาผู้หนุนหลังของเขาขึ้นมา ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องสะท้านในใจ

เสนาบดีกรมกลาโหม มู่เฉิน ชื่อของเขาเมื่อถูกเอ่ยถึงในฉางอัน กระทั่งทางกองทัพของต้าเจิ้งก็สามารถเป็นที่หวาดหวั่นของผู้คนได้

"โอ้? ไม่รู้จัก นายหมูนายหมาจากไหนกัน?" หนิงหลงไม่ใส่ใจ เตะซ้ำเข้าไปที่ระหว่างขาตรงส่วนที่เป็นกล่องดวงใจคุณชายมู่เต็มแรง

ท่าทีเช่นนี้ของหนิงหลงทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องงงงัน ในต้าเจิ้งมีสักกี่คนที่หาญกล้าไม่เห็นเสนาบดีมู่อยู่ในสายตา กระทั่งลบหลู่ต่อหน้าธารกำนัล

"กล่าวเหยียดหยามลบหลู่พ่อข้าแบบนี้ เจ้าไม่ตายดีแน่ ฮ่าๆ" คุณชายมู่ที่ถูกทำลายกล่องดวงใจลงไปนอนโอดครวญพร้อมหัวเราะสะใจเหมือนคนเสียสติ

"ลบหลู่ก็ลบหลู่สิ ไอ้ลูกเต่ามู่เฉินมันนับเป็นตัวอะไร?" หนิงหลงง้างเท้าเตะอัดเข้าที่ใบหน้าของคุณชายมู่ กล่าวไปตามอารมณ์ว่า "แล้วไอ้เสนาบดีกรมกลาโหมนี่ ยศถามันใหญ่เท่าฮ่องเต้อะเปล่า?"

"เจ้า เจ้าพูดอะไร? ฝ่าบาทเป็นดั่งดวงตะวันที่เจิดจรัสอยู่บนท้องนภาชั่วนิจนิรันดร์ เจ้าหาญกล้านำพระองค์มาเปรียบเทียบได้เช่นไร!?" พลันที่ได้ยินคำพูดของหนิงหลง คุณชายมู่รู้ตกใจแทบจะวิญญาณหลุดออกจากร่าง ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนรอบข้างที่พากันหนีตีตัวออกหาก แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

การที่กล่าวพาดพิงถึงฮ่องเต้เจ้าเหนือหัวเช่นนี้ ถ้าเกิดว่ามันไปเข้าถึงหูของพระองค์แล้วล่ะก็ เกรงว่าจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เก้าชั่วโคตร!

"คำพูดเจ้าดูสวยดีนิ ดี! ข้าชอบ! โทษตายละเว้นให้ แต่โทษเป็น ไม่! " หนิงหลงกล่าวอย่างสบายเป็นไปตามอารมณ์ว่า "โยนไอ้ลูกอีช่างฟ้องนี่มันทิ้งลงไปเสีย!"

สิ้นเสียงของหนิงหลง เจี่ยกงกงขยับเข้าไปใกล้กับคุณชายมู่ ยกร่างของเขาขึ้นแล้วเหวี่ยงออกไปจากชั้นเจ็ดของหอเซี่ยงอี้ ร่างกายของคุณชายมู่ที่ถูกทุ่มตกลงมาจากหอคอยชั้นเจ็ด พลันทำให้กระดูกทั้งตัวดังคร๊าก แม้จะไม่ตายแต่กระดูกทั่วทั้งร่างแตกแหลกละเอียด ตกอยู่ในสภาพกึ่งตาย

"จะ...เจ้าเป็นใครกัน?" กลุ่มคุณชายที่มาพร้อมกับคุณชายมู่ถึงกับตะลึงพรึงเพริดที่เห็นบุตรชายของเสนาบดีถูกโยนลงไปจากหอเหมือนทิ้งขยะอย่างนั้น คนที่กล้าทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นคนประเภทใดกัน?

"เรียกบิดาสิ ลูกชายข้า!" หนิงหลงเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะอย่างสะใจ เดินผ่านกลุ่มของพวกคุณชายไปอย่างไม่แยแส

พวกเขาได้เห็นแล้วว่า หนิงหลงกล้าที่จะทำร้ายแม้กระทั่งบุตรชายของเสนาบดี จึงไม่กล้าผลีผลามทำอะไร ได้แต่ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา และทิ้งคำพูดเอาไว้ว่า "เจ้ากล้าที่จะทำร้ายบุตรชายของท่านเสนาบดีมู่ ระวังตัวให้ดี!"

หนิงหลงไม่ให้ความนใจพวกของคุณชายเหล่านี้ เอ่ยปากกับพวกฟู่เทียนที่อยู่ข้างกายว่า "ไป พวกเราไปนั่งตรงริมหน้าต่างกันดีกว่า"

ในเวลานี้ พวกของฟู่เทียนซาต่างมองหน้ากันและกัน พวกเขาจนด้วยเกล้า สุดท้ายได้แต่เดินตามหนิงหลงไปต้อยๆ

บนชั้นเจ็ดบนหอเซี่ยงอี้เป็นสถานที่ที่มีการจัดเตรียมสำหรับการแสดงของอวี้หรูเหยียนอยู่แล้ว จึงมีโต๊ะเก้าอี้จำนวนไม่น้อยที่ตั้งวางอยู่ การที่พวกหนิงหลงยึดจองโต๊ะเก้าอี้ไปชุดหนึ่งใช่จะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร จึงไม่มีใครขัดขวางพวกของหนิงหลง

เพียงแต่ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกประหลาดตรงที่ว่า มนุษย์ปุถุชนธรรมดากลุ่มนี้มีความเป็นมาเช่นใดกันแน่ ทำให้ผู้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก

ถ้าหากจะบอกว่ามันคือหมาป่าสวมหนังแกะของมนุษย์ปุถุชน ทุกคนต่างรู้สึกว่าไม่เหมือน ดูยังไงคนกลุ่มนี้ก็เป็นคนธรรมดา ถึงแม้ว่าเจี่ยกงกงจะสามารถจับโยนคุณชายมู่ออกไปได้ด้วยมือข้างเดียว แต่ขอเป็นเพียงแค่ผู้มีวรยุทธ์นิดหน่อยก็ทำได้แล้ว เพราะคุณชายมู่เองก็หาใช่พวกมีวรยุทธ์อะไร เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น

หลายคนต่างพากันคาดเดาคาดคะเนกันไปต่างๆ นานา สุดท้ายแล้วคิดมากไปก็ได้แต่ปวดหัว เอาเวลาไปมุ่งสนใจกับการแสดงของคณิกาอันดับหนึ่งที่จะมาถึงดีกว่า

หนิงหลงนั่งอยู่ริมหน้าต่างเงียบๆ รอการแสดง สายตาของเขาจ้องไปที่บนท้องฟ้า ค่อยๆ จิบสุราที่ทางหอเซี่ยงอี้จัดเตรียมให้ พลางสังเกตดูดวงดาวไป

บรรดาแขกเหรื่อภายในงาน ต่างเหลือมองกลุ่มของหนิงหลงที่หมางเมินต่อเหล่าผู้คน ไม่ดูเหมือนว่าจะมารับชมการแสดงของคณิกาอันดับหนึ่งเลย เพียงแค่มาตั้งวงจิบสุราชมจันทราเท่านั้น

ทำให้ผู้คนได้แต่มองหน้ากันและกัน พวกเขาไม่เคยเห็นกลุ่มคนประหลาดเช่นนี้เลย มาหอนางโลมเพื่อจิบสุราพลางดูดวงดารา ดูจันทราบนท้องฟ้า ไม่ใช่มาเพื่อหาความสนุกกับเหล่านารี

พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากวิจารณ์กลุ่มของหนิงหลงให้มากความอันใด เพราะไม่อยากมีจุดจบเช่นเดียวกับคุณชายมู่ที่ถูกโยนลงไปจากชั้นเจ็ดของหอเซี่ยงอี้แห่งนี้ อีกทั้งหนิงหลงยังเป็นผู้จ่ายเงินให้พวกมันเข้ามารับชมการแสดงได้ฟรี แบบนี้แล้วพวกเขาจะกล่าวอะไรได้กันอีกละ...