webnovel

อยากเป็นจอโทรศัพท์ที่เธอใช้ ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ในใจ แต่ก็ยังอยู่ในสายตา

ข่าวการเดินดงของสี่กษัตราได้ถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด มิมีผู้ใดที่ล่วงรู้ว่าทั้งสี่บุรุษและหนึ่งกึ่งบุรุษได้ออกท่องหอนางโลมในยามค่ำคืนนี้

ทว่า ต่อให้ข่าวนี้จะถูกปิดเงียบไว้แค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีหนึ่งคนที่ล่วงรู้ นั่นก็คือหลานสาวของฟู่เหรินเสียน บุตรสาวของฟู่หมิงหยาง และพี่สาวของฟู่เทียนซา พระเชษฐภคินีฟู่เยว่เทียนนั่นเอง

"เมื่อกี้เจ้ากล่าวเช่นใดรึ" ท่าทีของพระเชษฐภคินีเย็นยะเยือกกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

องครักษ์สาวรีบกล่าวว่า "อดีตฮ่องเต้ทั้งสามและขันทีเจี่ย ถูกฮ่องเต้องค์ใหม่หนิงหลงพาไปหอนางโลมเพค่ะ!"

"หนิงหลง..." ท่าทีเย็นชาของพระเชษฐภคินีพลันปลิวหาย ดูอ่อนโยนงามหยาดย้อยเมื่อได้ยินนามหนิงหลง

การที่พระนางแสดงท่าทีอ่อนโยนออกมาเช่นนี้ ย่อมทำให้เป็นที่ตกตะลึงของผู้คนทั่วหล้าแล้ว พระเชษฐภคินีฟู่เยว่เทียน ชื่อนี้ไม่เพียงแทนอำนาจอิทธิพลที่สูงส่ง ยังแทนรูปโฉมที่สุดยอดเป็นหนึ่งในหล้าอีกด้วย

มีใครบ้างที่ไม่รู้จักพระเชษฐภคินีฟู่เยว่เทียน? ในฐานะที่เป็นพี่สาวของฮ่องเต้เจิ้งหยวนช่าง ในฐานะยอดฝีมือระดับสิบปลาย! และการที่นางยังเป็นอิสตรีด้วยแล้ว นางจึงมีรัศมีที่เจิดจรัสจนไม่มีใครสามารถทาบรัศมีได้ในต้าเจิ้ง! แม้กระทั่งน้องชายของนางที่เป็นถึงฮ่องเต้ยังสลดอับแสงเมื่ออยู่ต่อหน้านาง

ถ้าจะให้กล่าวว่าตระกูลฟู่เป็นตระกูลของผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในยุทธภพก็ไม่ผิดนัก และไม่มีใครสามารถเถียงได้ ผลงานรุ่นต่อรุ่นที่แสดงให้เห็นออกมาประจักษ์ชัดแล้ว บรรพชนผู้ก่อตั้งฟู่เหรินเสียนก็เป็นถึงระดับกึ่งปรมาจารย์ ฟู่หมิงหยางบุตรชายที่สืบต่อลงมาก็อยู่ระดับกึ่งปรมาจารย์เช่นเดียวกัน อีกทั้งล่าสุดรุ่นสามอย่างฟู่เทียนซาก็พึ่งก้าวขึ้นมายังตำแหน่งกึ่งปรมาจารย์เฉกเช่นเดียวกัน

ฟู่เยว่เทียนนางหาใช่ประเภทคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด นางมิใช่เพียงแค่ไม้ประดับเท่านั้น ด้วยสายเลือดชาติกำเนิดจากตระกูลฟู่ที่เป็นพวกคลั่งวิทยายุทธ์ ทำให้ตัวนางที่แม้ว่าจะเป็นสตรีก็ยังสามารถเป็นถึงยอดฝีมือระดับสิบได้ไม่ยากเย็น

เปรียบเทียบกับน้องชายของนางฟู่เทียนซาที่มีขั้นระดับสูงกว่า ทว่า พรสวรรค์และกำลังความสามารถกลับนำไปไกลเหนือน้องชายของนางจนเทียบไม่ติด แม้ว่านางจะเข้าสู่ยุทธภพช้ากว่าเย่ฉุ่ยเหยาไปถึงสองยุค แต่เรื่องฝีมือแล้ว พวกนางสามารถยืนข้างกันได้อย่างไร้ข้อกังขา ทำให้นางถูกจัดให้อยู่ในหมวดจำพวกสัตว์ประหลาดเฉกเช่นเดียวกัน กลุ่มของพวกผิดปกติที่มีระดับขั้นพลังไม่สอดคล้องกับความสามารถจริง กลุ่มคนที่ไม่สามารถนำคำว่าอัจฉริยะมาใช้กับปีศาจได้

นอกจากตำแหน่งพระเชษฐภคินีแล้ว นางยังกุมอำนาจวังหลังไว้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ต่อให้เป็นถึงฮองเฮามารดาแผ่นดินก็ต้องยอมนางเต็มสิบส่วน!

"พวกเราควรทำเช่นไรดีเพค่ะฝ่าบาท ถ้าเรื่องนี้หลุดไปเกรงว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของต้าเจิ้งเราเสื่อมเสียได้..." เวลานี้องครักษ์สาวกล่าวด้วยท่าทีร้อนรน

ฟู่เยว่เทียนครุ่นคิดสักครู่ ก่อนที่จะโบกมือเบาๆ กล่าวอย่างช้าๆ ว่า "ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ถ้าพวกเขาอยากทำสิ่งใดก็ปล่อยไป แสร้งทำเป็นว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่"

"นี่..." องครักษ์สาวบังเกิดความรู้สึกงุนงงไม่น้อยที่นายของนางตัดสินใจเช่นนี้

"ถ้างั้นเอาเช่นนี้ เจ้านำเรื่องนี้ไปบอกกับเสด็จแม่และเสด็จย่าแล้วกัน" ฟู่เยว่เทียนยิ้มกรุ้มกริ่มทีหนึ่ง พลางคิดในใจว่า ถ้าเรื่องนี้ถึงหูเสด็จแม่และเสด็จย่าของนางเมื่อไหร่ เวลานั้น ฟ้าดินกำสรวลเป็นแน่แท้

"เพค่ะ!" องครักษ์สาวยิ้มแป้นภายใต้หน้ากากสีดำที่ปิดคลุมไว้ จางหายไปความมืดทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง

"ชีวิตคนเรามันสั้น สนุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน สำหรับเรื่องอื่นๆ น่ะ ไยจะต้องไปใส่ใจมันมากเกินไป" ฟู่เยว่เทียนแหงนหน้ามองดูพระจันทร์ที่สุกสกาวบนท้องฟ้ายามรัตติกาล พลางหัวเราะเบาๆ กล่าวขึ้นว่า "เจ้าคนน่าชังกะล่อนปลิ้นปล้อน..."

...

ตัดภาพกลับมาที่หอเซี่ยงอี้ ในขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้ารอเพื่อรับชมการแสดงของคณิกาอันดับหนึ่ง ทันใดนั้นได้ปรากฏเงาของกลุ่มดรุณีนางขึ้นหลังม่านบนเวที

พริบตาเดียวกันนี้เอง ทันใดนั้นได้มีดอกไม้โปรยปรายลงมาทั่วห้องจนทำให้กลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวล พร้อมกับเสียงดนตรีที่ใสไพเราะเสนาะหูดังขึ้นไม่ขาด เสมือนนางเซียนสวรรค์กำลังขับขานบรรเลงเพลง

"แม่นางอวี้มาแล้ว!!!" ในขณะนี้ปรากฏร่างเงาหญิงสาวร่างหนึ่งขึ้นเบื้องหลังม่าน แต่ทว่า ม่านกั้นบางๆ ไม่สามารถที่จะปิดบังซ่อนเร้นรูปโฉมงดงามสุดยอดของนางเอาไว้ได้

ทันทีที่ม่านถูกเปิดออก ร่างของโฉมสะคราญแห่งยุคได้ถูกเผยต่อหน้าผู้คน ดวงพักตร์งามตระการพลันปรากฏตรงเบื้องหน้าฝูงชน เรือนผมสลวยมัดมวยสูง ใบหน้าขาวนวลเนียนแก้มอมชมพู ปากรูปกระจับ ชุดผ้าแพรสีเขียวอ่อนตัดขาวบนตัว แลดูโบราณแต่งดงามยิ่งนัก ยากจะบรรยายนางได้ด้วยตัวอักษร

ครั้นชายหนุ่มจำนวนมากที่ได้มองเห็นรูปโฉมตรูสุดงดงามในหล้าที่อยู่ตรงหน้า จึงได้เคลิบเคลิ้มหลงใหลถึงกับไม่เป็นอันจะกินสุราหรือกับแกล้มบนโต๊ะ

ผู้หญิงที่สุดยอดเช่นนี้ เกรงว่าผู้ชายจำนวนมากหลังจากเห็นนางแล้ว ก็ต่างรู้สึกหลงใหลดั่งเมาสุรา ตกหลุมรักนางจนถอนตัวไม่ขึ้น!

"ทำให้ทุกท่านต้องรอนานแล้ว" ยามอวี้หรูเหยียนเปิดปากแล้ว เสียงนั้นไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก

อวี้หรูเหยียนได้ก้าวเดินไปยังด้านหน้าเวทีช้าๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งลงอย่างนุ่มนวลด้านหลังพิณที่วางตั้งอยู่กลางเวที ท่วงท่าของนางช่างงดงามและมีความเป็นเลิศเหลือเกิน ทำให้ผู้คนมองดูไม่รู้จักเบื่อ

เสมือนหนึ่งว่านางคือเทพธิดาในโลกมนุษย์โลกีย์ ไม่ว่าใครก็ตามล้วนแล้วแต่ จิตใจหวั่นไหวเมื่อพบเห็นนางไปตามๆ กัน

อวี้หรูเหยียนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นที่จับตามองของผู้คนจำนวนมากมาย ภายในใจของทุกคนต่างมีสิ่งที่คาดหวังจะได้รับ บรรดาชายหนุ่มจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะกลุ่มคุณชายคุณท่านจากตระกูลต่างๆ พวกเขากระหายอย่างยิ่งที่จะรับนางไปเป็นอนุในตระกูล

ทันใดนั้นเสียงสตรีอันไพเราะเสนาะหูดังขึ้น กังวานแจ่มชัดมั่นคงแช่มช้า คล้ายกับกำลังพร่ำพรรณนาความในใจของหญิงสาวแรกรุ่นก็ไม่ปาน แผ่วเบาอ่อนโยน

สิบนิ้วเรียวกรีดลงบนสายพิณเบาๆ เสียงใสจากพิณที่ดังขึ้นนั้นคล้ายแฝงท่วงทำนองอันน่าอัศจรรย์ประหนึ่ง ดั่งหยาดพิรุณต้นวสันต์ที่พร่างพรมลง ลอยวนอยู่เหนือศีรษะ ทั้งประหนึ่งพร่ำรำพันอยู่ข้างใบหูทำให้คน ดื่มด่ำลุ่มหลง เวลานี้ บรรดาแขกเหรื่อภายในชั้นเจ็ดได้ตกเข้าสู่ห้วงภวังค์ แม้แต่อดีตฮ่องเต้ทั้งสามยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม

ท่ามกลางฝูงชน ผู้ที่มีสติแจ่มใสมากที่สุดคงต้องเป็นสารเลวน้อยแซ่หนิงผู้นี้แล้ว

การขับขานและบรรเลงดนตรีของอวี้หรูเหยียนคนนี้จะว่าไพเราะก็ไพเราะอยู่ แต่สำหรับวัยรุ่นเทสดีอย่างหนิงหลงกลับเบื่อหน่ายชวนจะง่วงอย่างเห็นได้ชัด

เหลียวซ้ายแลขวา เห็นสภาพเคลือบเคลิ้มเหม่อลอยของผู้คน ภายในใจนึกอยากอยากจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดเพลง 'Die for you X บุญผลา' ให้ผู้คนภายในหอเซี่ยงอี้แห่งนี้ได้ฟังให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว หนิงหลงจึงหยิบหูฟังขึ้นมาสวมและเปิดเพลงฟัง ไม่แม้แต่จะสนใจบทเพลงที่อวี้หรูเหยียนกำลังขับร้องอยู่ ณ ตอนนี้เลย

เมื่อเพลงจบลง อวี้หรูเหยียนเผยรอยยิ้มออกมา เนตรงามทอดสายตามองไปทั่ว ดวงตาของนางคล้ายกับมีเวทมนตร์บางอย่าง ทําให้เมื่อคนมองนางแล้วจะอดมองครั้งที่สอง มองครั้งที่สองแล้วยังต้องมองครั้งที่สาม ภายในชั้นเจ็ดนี้ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนแต่มองนางอย่างเลื่อนลอย ประหนึ่งว่าได้ถูกนางช่วงชิงจิตวิญญาณไป

เวลานี้สายตาของนางหยุดลงบนร่างของหนิงหลงที่ตอนนี้กำลังนั่งฟังเพลงผ่านหูฟังไร้สายพร้อมเหม่อมองท้องฟ้า ท่าทีดูเย้ยหยันไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้าง ต่อให้โง่แค่ไหนก็ต้องดูออกว่าหนิงหลงไม่แม้แต่จะสนใจบทเพลงที่อวี้หรูเหยียนขับร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย

อวี้หรูเหยียนรู้สึกหงุดหงิดโมโหอยู่ในใจ ถึงกระนั้นแสร้งปั้นยิ้มบนใบหน้าแล้วเอ่ยกล่าวกับหนิงหลงว่า "ได้เห็นท่วงท่าที่ดูโดดเด่นกว่าผู้ใดของคุณชาย ไม่ทราบว่าผู้น้อยอวี้หรูเหยียนควรเรียกท่านว่ากระไร?"

คราแรกบรรดาแขกคนต่างๆ ยังรู้สึกสงสัยว่าเทพธิดาของพวกเขาเอ่ยกล่าวกับผู้ใด แต่พอพวกเขาได้รับรู้แล้วว่าคนที่นางหมายถึงคือหนิงหลง พลันสร้างความตระหนกให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ หลายคนในเวลานี้ถึงกับอ้าปากค้าง และทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง

อย่างไรก็ตามหนิงหลงกลับไม่มีปฏิกิริยากับการกล่าวทักทายของอวี้หรูเหยียน กระทั่งไม่เคยละสายตามองดูนางสักครั้งหนึ่ง สายตาของหนิงหลงในขณะนี้ ยังคงพุ่งเป้าไปที่ท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาว สายตาของเขาเหม่อมองดูดวงดาวและก้อนเมฆที่ลอยเอื่อยๆ อยู่บนท้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า

สิ่งที่หนิงหลงทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องตกใจและตะลึงอย่างแท้จริงก็คือ การที่หนิงหลงขี้คร้านจะให้ความสนใจ เป็นที่ทราบกันดีว่าพฤติกรรมเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ไร้มารยาทอย่างยิ่ง!

ภาพนี้ทำให้บรรดาแขกเหรื่อที่อยู่บนชั้นเจ็ดต่างหวั่นไหวจนอ้าปากค้าง นาทีต่อมา กระทั่งมีโอตะของอวี้หรูเหยียนจำนวนไม่น้อยที่บังเกิดความโกรธแค้นขึ้นภายในใจ อวี้หรูเหยียนที่เปรียบดั่งนางในฝันของพวกเขา! เวลานี้หนิงหลงที่มีโอกาสได้พูดคุยสนทนากับนาง กลับไม่แยแสและไม่สนใจนางเลย

การที่หนิงหลงมีพฤติกรรมเช่นนี้ สำหรับบรรดาแฟนคลับเดนตายของอวี้หรูเหยียนแบบพวกเขาแล้ว สิ่งนี้ไม่สามารถให้อภัยอย่างเด็ดขาด!

แม้แต่พวกของฟู่เทียนซาก็ต้องงงงันกับภาพที่ได้เห็น เมื่อพวกเขาได้สติคืนกลับมาแล้ว ฟู่เทียนซาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปสะกิดหนิงหลง 'ชั่วดีอย่างไรก็พูดออกมาสักคำเถอะนะน้องชายพี่!'