webnovel

ไม่รู้! ไม่รู้! ไม่รู้!

หลังจากราชโองการสะเทือนฟ้าเกี่ยวกับการขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าเจิ้งได้แพร่ออกมา ทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคเดือดพล่าน บรรดาแว่นแคว้นโดยรอบได้แต่งุนงง อีกทั้งยังยากจะคาดเดาว่าฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นเช่นใด เพราะไม่มีข่าวขาวในราชสำนักหลุดเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย

ในระหว่างที่ทุกขุมกำลังวิ่งวุ่นสืบเสาะเกี่ยวกับสถานการณ์ของต้าเจิ้ง ทางด้านศิษย์ผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนของลัทธิมารที่ควรจะเป็นกลุ่มแรกที่ออกมากระโดดโลดเต้น ทว่า พวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับคำเตือนจากทางสำนักของตน ห้ามมีการก่อเรื่องราวนอกสำนักขึ้นมา ดังนั้น สายสำนักฝ่ายมารจำนวนไม่น้อยต่างทยอยปิดสำนักของตน ไม่อนุญาตให้ศิษย์ของตนออกนอกสำนัก

อย่างไรก็ตามที่ปิดสำนักใช่จะมีเพียงสายสำนักฝ่ายมารเท่านั้น แม้แต่หนึ่งในขุมกำลังชั้นยอดของฝ่ายธรรมะอย่างสำนักหัวซานก็ปิดสำนักของตนเช่นกัน มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ศิษย์คนใดออกไปบำเพ็ญเพียรภายนอกสำนัก อีกทั้งคำสั่งนี้ยังเป็นการถ่ายทอดมาจากเจ้ายุทธภพอวิ๋นซางโดยตรง

หลังจากที่อวิ๋นซางถ่ายทอดคำสั่งปิดสำนักของตนแล้ว เขายังได้ลงจากตำแหน่งเจ้ายุทธภพและมอบมันให้กับจางฉานเซิน เจ้าสำนักบู๊ตึ้ง

กล่าวได้ว่า การกระทำในลักษณะเช่นนี้ของอวิ๋นซาง นับว่าสร้างความฉงนให้กับบรรดากองกำลังฝ่ายธรรมะจำนวนไม่น้อย

ผู้คนต่างคิดกันไปกันต่างๆ นานาว่า ทุกสิ่งอาจจะเกี่ยวโยงไปกับการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ก็เป็นได้

...

ลึกเข้าไปด้านในจวนยวี ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลผู้มีอำนาจในเมืองหลวง ด้านหน้าห้องที่แคบและทรุดโทรมมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังยืนจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เวลานี้ ต่อหน้าประตูไม้เบื้องหน้าเขาไม่กล้าที่จะไม่ให้ความเคารพแม้แต่น้อย

หลังจากจัดแจงตัวเรียบร้อย บุรุษวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เปิดประตูไม้เบื้องหน้าออก เดินเข้าไปภายในห้องแคบและทรุดโทรม ห้องที่แคบและทรุดโทรมมีความเรียบง่ายมาก นอกจากหนังสือจำนวนมากที่อยู่ในชั้นแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก

"หลานคารวะท่านปู่" บุรุษวัยกลางคนแสดงคารวะไปทางผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่นั่งหลับตาบนเก้าอี้โยกเสมือนว่าหลับอยู่

ผู้เฒ่าผู้นี้มีรูปร่างที่สูงใหญ่ สวมชุดป่านที่เรียบง่าย บนตัวไร้ซึ่งสิ่งประดับประดา แม้จะอยู่ในห้องที่มืดมิดแต่เส้นผมสีเงินบนหัวมองเห็นเป็นประกายสีเงิน

"ปัญหาโลกแตกอันใดกันถึงทำให้เจ้าที่เป็นเสนาบดีต้องถ่อมาหาข้า ต้าเจิ้งล่มสลายแล้วรึยังไง?" เมื่อเสียงของผู้เฒ่าท่านนี้ดังกังวานขึ้นมา ทำให้หัวใจของบุรุษวัยกลางคนสั่นสะท้าน

ถึงแม้ว่าบุรุษวัยกลางคนจะมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงเสนาบดี แต่ผู้เฒ่าเบื้องหน้าของเขาคือบรรพบุรุษของตระกูลยวีและยังเป็นถึงมหาเสนาจารย์!

มหาเสนาจารย์ , มหาราชครู และมหาองครักษ์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อสามมหาเสนาบดีแห่งราชสำนัก และผู้นำของทั้งสองนี้ก็คือ มหาเสนาจารย์

มหาเสนาจารย์ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอย่างสูงในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งราชวงศ์เจิ้งแห่งนี้ขึ้นมา ทำให้แม้แต่ฮ่องเต้ ก็ยังปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ

ด้วยสถานะที่สูงส่งและความเคารพจากทุกคน ทำให้มหาเสนาจารย์สามารถนั่งบนที่ประทับข้างบัลลังก์มังกรได้ มหาเสนาจารย์มีอายุมากแล้ว เพราะเขาเป็นคนในยุคเดียวกับฟู่เหรินเสียนที่เป็นปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้ง จึงไม่ค่อยเข้ามาแทรกแซงการประชุมของราชสำนัก เพียงแค่รับฟังจากด้านบนเท่านั้น

"เอ่อ...ไม่เชิงว่าล่มสลาย เพียงแต่ไม่เห็นอนาคตข้างหน้า" เสนาบดียวีกล่าวกับผู้เป็นปู่ด้วยความเคารพ

"ก็ล่มสลายนั่นแหละ!" มหาเสนาจารย์ยวีพยักหน้าและกล่าวช้าๆ ว่า "จะพิรี้พิไรกล่าววาจาอ้อมค้อมไปทำไมกัน"

เสนาบดียวีได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ คงมีแต่ปู่ของเขานี่แหละที่กล้ากล่าววาจาเช่นนี้ ทำอย่างกับว่าอาณาจักรแห่งนี้เป็นปราสาททรายอย่างนั้น พอน้ำทะเลซัดมาก็พังครืน และพอน้ำลดก็ค่อยสร้างขึ้นมาใหม่ ทำอย่างกับว่านี่เป็นเกมสร้างอาณาจักร แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะบรรพบุรุษตระกูลยวีผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่ร่วมก่อตั้งอาณาจักรนี่ขึ้นมา

แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เสนาบดียวียังไม่ทราบ คนที่กล้าพูดจากโผงผางเช่นนี้หาได้มีแค่มหาเสนาจรย์เท่านั้น แต่มันยังมีคนบ้าอีกคนหนึ่ง ซึ่งคนประเภทนี้บ้ายิ่งกว่าบรรพบุรุษเฒ่ายวีคนนี้เสียอีก

"อย่างนั้นแล้วทางตระกูลยวีของพวกเราควรจะทำเช่นไร" เวลานี้เสนาบดียวีต้องจนด้วยเกล้า ครุ่นคิดหาหนทางไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ได้แต่หวังพึ่งปู่ของตนที่เป็นมหาเสนาจารย์แล้วละ

มหาเสนาจารย์ที่ได้ยินเช่นนี้ เพียงโบกมือเบาๆ กล่าวเรียบเฉยว่า "ไม่รู้ ไม่รู้ จะไปรู้ได้ยังไง!"

"เอ่อ..." เสนาบาดียวีถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เขารู้สึกเหนือความคิดอยู่บ้างที่ท่านปู่ของเขาไม่ออกหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ว่า เขาไม่กล้ากล่าวมากความ เนื่องจากความรู้ประสบการณ์ของปู่มีมากกว่าเขา และยังมีวิสัยทัศน์มากกว่า การที่ปู่ของเขาพูดเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา

"หากว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงปรีชา มีความสามารถ ย่อมเป็นการดีต่อบ้านเมือง แต่ถ้าเกิดตรงกันข้าม นอกจากเป็นภัยต่อบ้านเมืองแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นภัยต่อบ้านตระกูลยวีเรายิ่งนัก หากเป็นจริงดังว่า จำเป็นต้องกำจัดเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง" เสนาบดียวีกล่าวด้วยความกังวล

มหาเสนาจารย์ไตร่ตรองนิดหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า "ไม่รู้! ก็บอกว่าไม่รู้! โลกหล้ามีเรื่องแปลกมากมาย ข้าจะไปรู้ทุกเรื่องได้ยังไง?"

เสนาบดียวีอ้าปากจะพูด แต่ สุดท้ายแล้วได้แต่หุบปากลงแต่โดยดี

"การกระทำของพวกชนชั้นกษัตริย์ไหนเลยสามารถอาศัยความคิดของมนุษย์ปุถุชนไปศึกษาและคาดเดาได้โดยง่าย" มหาเสนาจารย์ส่ายหน้า และกล่าวว่า "ถ้าผู้คนสามารถคาดเดาได้ง่าย เช่นนั้นผู้คนบนโลกนี้ คงขึ้นเป็นจักรพรรดิกันเกลื่อนกลาดเหมือนหัวผักกาดตามตลาดแล้ว"

เสนาบาดียวีถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อเขาได้สติกลับมา อดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า "เช่นนั้นตระกูลยวีจะเก็บตัวจากโลกภายนอกชั่วคราว รอวันที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์"

"ไปเถอะ จะทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าทำให้ตระกูลยวีถึงคราวล่มสลายขึ้นมา บอกให้พวกเจ้ารู้ไว้เลยว่า ข้านี่แหละที่จะหนีไปคนแรก หนีไปยังสุดขอบโลก ไปยังสุดขอบหล้าฟ้าเขียว ปล่อยให้พวกลูกหลานที่โง่เขลารับเคราะห์กรรมกันไป" มหาเสนาจารย์ไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความอีก เพียงโบกไม้โบกมือ

เสนาบดียวีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ลุกขึ้นยืนแสดงคารวะ จากนั้นหันหลังจากไปทันที

"ยังมี คนของตระกูลยวีอย่าได้ใกล้ชิดกับแคว้นซูให้มากนัก อย่าได้ลืมตระกูลยวีของพวกเราเป็นคนของราชวงศ์เจิ้ง"

เสนาบดีอดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ ผู้เฒ่าเบื้องหน้าที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง กลับสามารถรู้ทุกการเคลื่อนไหวภายในตระกูลได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ความจริงแล้ว เรื่องที่องค์รัชทายาทแคว้นซูชอบพอบุตรีของเสนาบดียวี ผู้อาวุโสของตระกูลยวีก็รู้เรื่องดี และพวกเขายินดีที่จะได้เห็นเรื่องนี้สำเร็จด้วยดี เสนาบดียวียินดีที่ได้เห็นบุตรีได้แต่งเข้าแคว้นซู

แผ่นดินที่อยู่ติดกับต้าเจิ้งทางเหนือ คืออาณาจักรต้าอู๋ ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกว่าต้าอู๋ก็ตาม แต่ภายในต้าอู๋กลับถูกแบ่งออกเป็นห้าแคว้น ซึ่งก็คือ แคว้นซู เหลียง เหยียน อู๋ จิน

สาเหตุที่ทั้งห้าแคว้นถูกเรียกรวมว่าต้าอู๋ นั้นก็เพราะว่า เวลานี้ แคว้นอู๋คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้าเกิดมีแคว้นใดที่สามารถปราชัยเหนือแคว้นอู๋ได้ ชื่อเรียกก็ต้องถูกเปลี่ยนไปเป็นแคว้นนั้นแทน

ด้วยความที่ขุมกำลังโดยรวม และความไม่ยอมใครของทั้งห้าแคว้น จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถรวมชาติเป็นหนึ่งแบบเดียวกับต้าเจิ้งได้

และการที่เสนาบดียวีเห็นชอบที่จะเกี่ยวดองกับแคว้นซู ซึ่งนั่นก็เพราะว่ายามนี้สถานการณ์ภายในของแคว้นอู๋ไม่สู้ดีนัก อีกทั้งกองกำลังความสามารถโดยรวมยังตกต่ำลงจากอดีตไปมากโข

ทำให้เวลานี้แคว้นซูคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่แคว้นซูจะชิงตำแหน่งมาจากแคว้นอู๋

เสนาบดียวีพยายามอธิบายให้ปู่ของตนฟังว่า "แคว้นซูตั้งใจคบหากับตระกูลยวีเรา หากว่าตระกูลยวีจะมีพันธมิตรเช่นแคว้นซู นับว่ามีประโยชน์ยิ่งนัก"

"โง่เขลา!" มหาเสนาจารย์ตะคอกใส่ด้วยความฉุนเฉียว "ในสายตาแคว้นซู ตระกูลยวีเป็นเพียงเครื่องมือที่สามารถหลอกใช้เท่านั้นเอง อาศัยผู้เยาว์ที่ตื้นเขินเหล่านั้นของเจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะคุยเรื่องพันธมิตรกับแคว้นซูได้อย่างนั้นรึ? ฮึ หากเป็นพันธมิตรกับแคว้นซูล่ะก็ ช้าเร็วต้องนำมาซึ่งภัยถูกฆ่าล้างยกตระกูล!"

"เรื่องนี้..." เสนาบดียวีทำท่าลังเลนิดหนึ่งกับคำของผู้เป็นปู่ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี ความจริงแล้ว ลึกๆ ในใจของเขาคาดหวังได้เป็นพันธมิตรกับแคว้นซู

ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ของต้าเจิ้งด้วยแล้ว ถ้าเกิดว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรกับแคว้นซูแล้ว เมื่อถึงเวลาที่แคว้นซูขึ้นเป็นผู้นำเหนืออีกสี่แว่นแคว้นที่เหลือ จะทำให้ตระกูลยวีได้ผลประโยชน์ไม่น้อย

เมื่อถึงคราวที่ต้าเจิ้งล่มสลาย พวกเขาสามารถไปหลบหลีกพึ่งพิงอยู่ในแคว้นซูได้ อีกทั้งยังมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแคว้นซูรวมประเทศอีก นับว่าตระกูลยวีของพวกเขามีแต่ได้กับได้

"เจ้าจำคำให้มั่นก็พอ ไม่จำเป็นต้องสืบสาว" มหาเสนาจารย์กล่าวเสียงทุ้มต่ำ "วันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง อาศัยลูกหลานไม่เอาไหนเหล่านั้น ไม่สามารถทำการใหญ่ได้ เข้าใจหรือยัง?"

เสนาบดียวีแสดงคารวะอย่างลึกซึ้ง กล่าวว่า "หลานจะจดจำให้มั่น"

แม้ว่าเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับมุมมองลักษณะเช่นนี้ แต่ทว่า เขายังคงให้ความเคารพนับถือในท่านปู่ของตนยิ่ง รู้ว่าการที่ท่านปู่เลือกเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของท่าน