webnovel

สุดยอดเคล็ดวิชา

สายลมพัดผ่านมาเบาๆ หนิงหลงยังคงนอนอย่างสบายใจอยู่ภายในศาลาริมสระน้ำ

เหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น กระทั่งเป็นไปได้ว่านี่เป็นเพียงความฝันของหนิงหลงเท่านั้นเอง

แต่..มันไม่ใช่ฝันกลางวัน มันเป็นเรื่องที่ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

ในเวลานี้เอง เจี่ยกงกงได้เดินมาอย่างรีบเร่ง โค้งคำนับกุมมือแสดงคารวะต่อหนิงหลง กล่าวว่า "ฝ่าบาท อดีตฮ่องเต้ต้องการพบท่าน เวลานี้"

"คราวนี้เป็นอะไรอีกละ ครั้งที่แล้วก็มอบตำแหน่งฮ่องเต้ให้ มาคราวนี้คงมิใช่บอกว่าตัวเองกำลังจะตายหรอกนะ?" หนิงหลงหัวเราะและเอ่ยขึ้นมา

"..." เจี่ยกงกงพลันอึ้งไปทันที ไม่มีคำพูดใดๆ อย่างสิ้นเชิง เขาไม่รู้ว่าควรจะสรรหาคำพูดใดมาเปรียบเปรยกับสภาพจิตใจในเวลานี้แล้ว

เจี่ยกงกงได้แต่หลบสายตาและกล่าวว่า "กระหม่อมมิทราบ เชิญฝ่าเสด็จออกเดินทาง"

"เป็นเหมือนดั่งเช่นที่นางกล่าวไว้มิผิด" หนิงหลงหัวเราะส่ายหน้าด้วยท่าทีสุดจะเอือม "เป็นถึงผู้ชายอกสามศอกจะมัวแต่สนใจเรื่องหยุมหยิมไปทำไมกัน"

เจี่ยกงกงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เจอะเจอคนบ้าเป็นเจ้านายเช่นนี้ ได้แต่อธิษฐานขอให้ตนเองนั้นโชคดี ได้แต่ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดแล้ว

ภายใต้การนำทางของเจี่ยกงกง หนิงหลงได้เดินทางมาถึงสถานที่พักของฟู่เทียนซา

เวลานี้ พี่ชายใหญ่ของเขามิได้สวมอาภรณ์ที่หรูหราเหมือนยามที่เป็นฮ่องเต้ สภาพของฟู่เทียนซาเวลานี้ไม่ต่างไปจากคราแรกที่ได้ภพเจอกับหนิงหลงแม้แต่น้อย เป็นสภาพขอทานสวมชุดผ้าป่านธรรมดาที่ซีดเซียว ยังดีที่ชุดนี้ไม่มีรอยฉีกขาด จะพบก็แค่รอยเย็บปะเท่านั้น

ภายในห้องนอกเหนือจากฟู่เทียนซา ยังมีผู้เฒ่าที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่อีกสองคน เพียงแค่มองด้วยตาเปล่าก็รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งสามคนนั้นคืออริยะบุคคล ล้วนแล้วแต่เป็นระดับยอดฝีมือทั้งสิ้น นอกจากพลังสะเทือนเลื่อนลั่นที่เก็บซ่อนอยู่บนตัว พวกเขาทั้งสามนั้นช่างดูคลับคล้ายคลับคลากันเหลือเกิน ราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นคนคนเดียวกันอย่างนั้น

จะกล่าวว่าเป็นบุคคลเดียวกันก็มิผิด เพราะทั้งสามนั้นเสมือนว่าเป็นภาพจำลองของฟู่เทียนซาที่อยู่ในช่วงวัยหนุ่ม วัยกลางคน และวัยชรา ซึ่งแน่นอนว่าฟู่เทียนซาพี่ชายของเขาย่อมเป็นร่างของวัยหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลาง

ยามนี้ แม้แต่เจี่ยกงกงที่อยู่ระดับปรมาจารย์ยุทธ์ ยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้มเหมือนเห็นพวกเขาทั้งสาม ห้องนี้นับว่ามีขนาดกว้างใหญ่โตมากพอแล้ว แต่ว่าเมื่อพวกเขาทั้งสามคนนั่งอยู่ด้วยกันทำให้ผู้คนรู้สึกแออัดเบียดเสียดเหลือเกิน ทำให้ผู้คนหายใจได้ไม่เต็มปอด

ทั้งสามต่างก็เป็นยอดฝีมือครึ่งก้าวปรมาจารย์ยุทธ์ แม้ว่าพวกเขาเทียบไม่ได้กับเจี่ยกงกงที่เป็นปรมาจารย์ยุทธ์แท้จริง แต่กับนับว่าน่ากลัวยิ่งนัก พลังที่พวกเขามีอยู่นั้นขาดอีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้นถึงจะเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ์

"น้องชายพี่ มาๆ ข้าจะแนะนำพวกเขาให้เจ้ารู้จัก" ครั้นที่หนิงหลงมาถึงแล้ว ฟู่เทียนซาได้กวักมือต่อหนิงหลง และกล่าวด้วยความร่าเริง "นี่คือ ปู่ของข้า บรรพชนผู้ก่อตั้งราชวงศ์แห่งนี้ขึ้นมา ฟู่เหรินเสียน และนี่คือบิดาของข้า ฟู่หมิงหยาง"

หนิงหลงยกมือคารวะทักทาย จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ ด้วยท่าทีที่ไม่เกรงใจใคร หนิงหลงที่นั่งอยู่ตรงนั้นในเวลานี้คล้ายเป็นเจ้าถิ่นอันธพาลคนหนึ่งอย่างนั้น ไม่ดูเหมือนฮ่องเต้เจ้าเหนือหัวแผ่นดินผู้สูงศักดิ์แม้แต่น้อย

ท่าทีลักษณะเช่นนี้ของหนิงหลงทำให้สองผู้เฒ่าอดที่จะมองตากันและกันไม่ได้ แต่พวกเขาทั้งคู่ก็หาได้ถือสากับท่าทีของหนิงหลง พวกเขาต่างรู้มาจากปากฟู่เทียนซาแล้ว หนิงหลงก็เป็นคนเช่นนี้แหละ ต่อให้เบื้องหน้าเป็นเง็กเซียนเกรงว่าคงไม่พ้นโดนเขาตบหัวกบาลทิ่ม พวกเขาที่เป็นอดีตฮ่องเต้นับเป็นตัวอันใด?

เวลานี้สายตาของพวกเขาทั้งคู่ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ได้ตกไปอยู่บนตัวของหนิงหลง เหมือนต้องการมองหนิงหลงให้ขาดอย่างนั้น

ในสายตาของพวกเขามองว่า ทักษะยุทธ์ของหนิงหลงนั้นไม่คู่ควรจะกล่าวถึงเลย ร่างกายไร้ซึ่งลมปราณอย่างที่จอมยุทธ์ควรจะมี ไม่ต่างอะไรไปจากปุถุชนคนธรรมดา ซึ่งเป็นการบ่งบอกได้เลยว่าการฝึกยุทธ์บำเพ็ญเพียรของหนิงหลงสามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิงไปเลย หยิบสุ่มอันธพาลตามตรอกซอกซอยมาคนหนึ่งยังแข็งแกร่งมากกว่าเขาเสียอีก

พวกเขาชักเริ่มสงสัยแล้วว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานของฟู่เทียนซาจริงหรือไม่? คงมิใช่ว่าหนิงหลงคือบุตรนอกสมรสหรอกนะ

สุดท้าย พวกเขาทั้งคู่ละสายตากลับมา ในเวลานี้พวกเขาตระหนักได้ว่าหนิงหลงไม่ใช่บุตรชายที่ฟู่เทียนซาเก็บซ่อนตัวเอาไว้ ถ้าหากหนิงหลงเป็นบุตรนอกสมรสจริงๆ คงสัมผัสได้ถึงสายเลือดเชื้อไขที่สืบทอดต่อมาจากพวกเขาแล้ว

"เวลานี้เจ้าฝึกยุทธ์ไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ" ฟู่หมิงหยางกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย ไม่ว่าจะทำเช่นไรตัวเขาก็ไม่สามารถมองผ่านระดับของหนิงหลงออกเลย

เขาไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าหนิงหลงจะเป็นคนธรรมดา มิเช่นนั้นบุตรชายของมันคงไม่มอบแผ่นดินที่เหมือนเผือกร้อนให้เป็นแน่

"ระดับที่สิบสาม" หนิงหลงพูดออกมาอย่างสบายๆ

ผู้คนในห้องได้ฟังคำเช่นนี้แล้วแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา แค่ระดับสิบเอ็ดยังแทบเป็นพวกมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ส่วนระดับสิบสองนี่ไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า ยิ่งเป็นระดับสิบสามด้วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปพูดถึงมันเลย

ฟู่หมิงหยางถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง จากนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นด้วยความมึนงง "ไม่มีขั้นสิบสาม! ในโลกของผู้บำเพ็ญตนพวกเราสูงสุดแค่ระดับสิบเอ็ดเท่านั้น นั้นก็คือเจี่ยกงกงที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้า"

ถ้าไม่ใช่เพราะฟู่เทียนซาเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนิงหลงให้ฟังแล้ว พวกเขาจะต้องกระทืบไอ้เด็กเวรตรงหน้าให้ตายคาเท้าแน่นอน

แม้แต่ยอดฝีมือไร้ชื่อ พวกตัวประกอบ A ก็ต้องเยาะเย้ยหนิงหลง ความรู้ที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการฝึกยุทธ์ยังไม่รู้จัก คนประเภทนี้ยังบังอาจกล่าวคำโอ้อวดไม่ละอายว่าตนเองเคยฝึกยุทธ์มาก่อน นี่มันไม่ได้เริ่มต้นฝึกเสียด้วยซ้ำ

"อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นั่นเอง" หนิงหลงหัวเราะและกล่าวว่า "แต่ในเมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ระดับสิบสาม เช่นนั้นข้าจะกล่าวว่าอยู่ระดับสิบสามก็ไม่ผิดอันใด แถมฟังดูแล้วยังเท่ไม่หยอก ยอดฝีมือระดับสิบสามเพียงหนึ่งเดียวใต้หล้า"

"แกเอาตึงเลยไงน้องชายพี่!" ฟู่เทียนซาหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ คราแรกที่เขาได้พบสารเลวน้อยผู้นี้ มันก็แสร้งว่าเป็นยอดฝีมือ อีกทั้งยังอ้างว่ามีอาจารย์เป็นถึงเซียน

แต่จากประสบการณ์ที่ได้อยู่ร่วมกันทำให้ฟู่เทียนซาพบว่าน้องชายของเขาเป็นประเภทปากตอแหล ทุกคำพูดที่ออกมาไม่รู้เลยว่าสิ่งใดเป็นจริงสิ่งใดเป็นเท็จ

"หากเจ้าสนใจ อยากจะลองฝึกเคล็ดวิชา ภายในราชสำนักมีเคล็ดวิชาสะท้านฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนให้เจ้าได้เลือกฝึก" ฟู่เหรินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเมตตาและอ่อนโยน

"ข้าสนใจวิชาฟิสิกส์ วิชาเคมีและวิชาชีวะไม่น้อย พวกท่านมีเคล็ดวิชาเหล่านี้หรือไม่?" หนิงหลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

ในโลกที่ล้าหลังเช่นนี้ ถ้าเขาสามารถเรียนรู้วิชาพวกนี้ได้สักเศษเสี้ยวหนึ่ง อาจจะพลิกฟ้าพลิกปฐพีได้เลย

วรยุทธ์ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่กระบวนท่า แต่กระบี่ขึ้นอยู่ที่ความไว ทว่ากระบี่ท่านจะไวเท่ากระสุนปืนในมือข้าหรือเปล่าละ?

ระดับปรมาจารย์ยุทธ์แล้วอย่างไร แข็งแกร่งพอจะต้านระเบิดนิวเคลียร์ได้หรือไม่?

กองทัพเรือนแสนนับเป็นตัวอันใด ต่อหน้าฝูงเครื่องบินรบที่พรมระเบิดลงมาเกรงว่าจะสิ้นราพณาสูรไม่กี่อึดใจ

ยอดฝีมือทั้งสี่ได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เคล็ดวิชาฟิสิกส์ วิชาเคมี และวิชาชีวะ มันคือสิ่งใดกัน?

"เอ่อ...เคล็ดวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ มันเป็นเคล็ดวิชาประเภทใดกัน?" ฟู่เหรินเสียนรู้สึกว่าเซ่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

"ขณะที่พวกเราแหงนหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้ามีความยาวไกลเท่าไรกันแน่เล่า โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใดกันเล่า การย่างก้าวของพวกเราสุดอยู่เพียงแค่ท้องทะเลตงไห่จริงๆ รึ?" หนิงหลงยิ้มและกล่าวว่า "โพ้นทะเลตงไห่ไปจะมีสิ่งใดเล่า?"

เมื่อหนิงหลงพูดออกมาเช่นนี้ พลันดึงดูดผู้คนทั้งหมดภายในห้องเอาไว้

"เคยมีคนบอกกับข้าว่า เมื่อข้ามโพ้นทะเลตงไห่ไป พวกเราจะตกขอบโลก" หนิงหลงมองเย้ยหยันฟู่เทียนซาทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า "ซึ่งนี้ก็ไม่ผิดที่เขาจะคิดเช่นนั้น เนื่องจากความรู้ของเขาถูกจำกัดแค่บริเวณรอบนี้ ไม่ต่างไปจากกบในกะลา!"

"หารู้ไม่ว่า อาณาจักรต้าเจิ้งไม่นับว่าเป็นอันใดเลย เป็นแค่เพียงพื้นที่ส่วนเล็กๆ แห่งหนึ่งบนโลกเท่านั้นเอง" เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ท่าทีของหนิงหลงดูหนักแน่นจริงจัง กล่าวต่อไปว่า "แต่ถ้าพวกท่านคิดว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลแล้ว เมื่อลองนำมันไปเทียบกับดาราจักร โลกเราเป็นเพียงแค่ดาวดวงเล็กๆ ดวงหนึ่ง ไม่ต่างไปจากมัจฉาในมหาสมุทร"

"ถ้าพวกท่านจะคิดว่าดาราจักรมีขนาดใหญ่กว้างขวางแล้ว แต่เมื่อท่านนำดาราจักรไปเทียบกับจักรวาลแล้ว มันไม่ต่างอะไรไปจากเศษฝุ่นเสียด้วยซ้ำ"

"หนทางยาวไกล หนทางของพวกเรายาวมาก เคล็ดวิชาของพวกท่าน บางทีอาจเป็นตัวตัดสินว่าท่านสามารถก้าวเดินไปได้ไกลแค่ไหน แต่ว่า ต่อหน้าเคล็ดวิชาฟิสิกส์ วิชาเคมี และวิชาชีวะ บรรดาเคล็ดวิชาสะเทือนฟ้าของพวกท่านไม่ต่างอะไรไปจากกระดาษชำระ..." หนิงหลงเอ่ยขึ้นช้าๆ "ด้วยเคล็ดวิชาของพวกท่านแล้ว พวกท่านสามารถใช้มันพาออกเดินทางไปจากโลกใบนี้ได้หรือไม่? สามารถท่องไปทั่วทั้งจักรวาลได้หรือไม่?"

สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในยุคนี้แล้ว ทุกๆ คำพูดของหนิงหลงที่เข้าไปในหูพวกเขาราวกับฟ้าที่ผ่าลงใส่กลางกระหม่อมตอนกลางวันแสกๆ เสมือนหนึ่งเป็นบัญชาจากสวรรค์อย่างนั้น