webnovel

บารมีเมีย

เมืองหลวงฉางอันคือเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของราชวงศ์เจิ้ง ณ ที่ตรงนี้ ท่ามกลางพื้นที่ที่กว้างขวางเป็นร้อยลี้ มีร้านค้าตั้งเรียงรายกันอย่างหนาแน่น เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าจากทั่วทุกที่ กระทั่งมีคำพูดหนึ่งในต้าเจิ้งที่กล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีสินค้าใดๆ ที่ซื้อหาไม่ได้ภายในเมืองหลวงฉางอัน อยู่ที่ว่าตำลึงในกระเป๋าจะมีเพียงพอหรือไม่!

เมืองหลวงฉางอันที่เป็นศูนย์รวมสินค้าจากทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรที่อยู่รอบด้าน จนกระทั่งสินค้าจากแดนอาหรับที่ห่างไกลโพ้นออกไป ก็สามารถหาซื้อได้จากเมืองหลวงฉางอัน ขอเพียงเงินถึง คิดอยากจะซื้ออะไรก็สามารถหาซื้อได้

ไม่แปลกเลยที่จะถูกกล่าวขานว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด เงินทองที่หมุนเวียนในเมืองหลวงแห่งนี้มากจนน่าตกใจ เงินที่อยู่ในท้องพระคลังเหลือกินเหลือใช้ไปยันชาติหน้า

ประชาชนภายในอาณาจักรต้าเจิ้งล้วนแต่อยู่ดีกินดีอิ่มหมีพีมัน แม้แต่พสกนิกรชาวไร่ชาวนาตามท้องชนบทที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่รกร้างก็ยังเป็นเจ้าสัวผู้มั่งคั่ง ทรัพย์สินส่วนตัวกล่าวได้ว่าร่ำรวยกว่าบรรดาขุนนางหรือราชวงศ์จากแคว้นโดยรอบเสียอีก

มีคำกล่าวจากแคว้นที่อยู่รอบๆ ว่า ลองโยนขอทานจากต้าเจิ้งสักคนไปทิ้งที่แคว้นสักแคว้นหนึ่ง ขอทานคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากเศรษฐีผู้มั่งคั่ง!

เมื่อเดินเข้าไปภายในเมืองหลวงฉางอัน พ่อค้าเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากแคว้นอื่นไม่รู้จำนวนเท่าไรก็ต้องรู้สึกละลานตา สำหรับผู้คนธรรมดายิ่งต้องปากค้าง ยากจะได้สติกลับมา

ขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์จากแคว้นอื่นเมื่อได้เห็นธาตุแท้ภายในของต้าเจิ้งแล้ว จึงเข้าใจอย่างท่องแท้จริงว่า อาณาจักรของตนนั้นช่างยากจนอะไรอย่างนั้น พูดได้อย่างเต็มปากว่า สินค้าที่มีอยู่ในร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเมืองฉางอัน มีจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของขุนนางระดับสูงหรือแม้แต่ราชวงศ์ของพวกเขาอีก

ลองคิดดู แคว้นบางแคว้นยังมีตำลึงในคลังไม่ถึงแสนตำลึงทองไว้ในครอบครอง เวลานี้ ภายในเมืองหลวงฉางอันกลับมีร้านค้าที่มีเงินหมุนเวียนมากกว่าแสนตำลึงทอง

"น้องชายพี่เจ้าจะพาพวกเราไปที่ใดกันรึ?" ฟู่เทียนซาเอ่ยถามหนิงหลงด้วยความงุนงง

ในเวลานี้ หนิงหลงและคณะของเขา ที่ประกอบไปด้วยอดีตฮ่องเต้ทั้งสามและเจี่ยกงกงกำลังเดินเตร่อยู่ภายในเมืองหลวงฉางอัน แน่นอนว่าย่อมมิมีผู้ใดที่จดจำพวกเขาได้ สภาพของพวกเขายามนี้ไม่ต่างไปจากปุถุชนคนธรรมดาที่พบเห็นได้ตามท้องถนน

"เป็นบุรุษอกสามศอกย่อมใฝ่หาความสำราญ" หนิงหลงยิ้มพลางเดินนำหน้าอย่างสบายอารมณ์

"ความสำราญ? ความสำราญอันใดกัน?" ฟู่เทียนซารีบเอ่ยถามขึ้นมา

"ท่องชมหอนางโลมน่ะสิ!" หนิงหลงหัวเราะอย่างเบิกบานกล่าวต่อว่า "ฟังเพลงพร้อมชมความงาม หยอกล้อพวกนางเล็กน้อย ถูกใจผู้ใดก็นำเงินฟาดพวกนางเสีย"

"ห้ะ?" คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหนิงหลงทำให้ฟู่เทียนซาพูดอะไรไม่ถูก หันไปมองทางด้านสองบรรพบุรุษ เวลานี้พวกเขามีสีหน้าซีดเซียว คำพูดของหนิงหลงได้ทำให้ทั้งคู่ช็อกหัวใจจะวายแล้ว!

ยิ่งเจี่ยกงกงแล้วใหญ่ ถึงแม้ว่าตัวมันจะเป็นถึงระดับปรมาจารย์ ทว่า ตอนนี้มันแข้งขาสั่นพั่บๆ แทบจะทรงตัวไม่อยู่

"บัดซบ! ไอ้สารเลวน้อย! สัตว์นรกอเวจีปอยเปตลงมาเกิด!" ฟู่หมิงหยางชี้หน้าหนิงหลงอ้าปากด่ากราด ไม่สนใจสายตาผู้คนโดยรอบแม้แต่น้อย

ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยสนทนากันในห้องประชุม หนิงหลงได้เอ่ยปากว่าจะพาพวกเขาสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งสถานที่ที่หนิงหลงจะพาไปนั้นมันยังช่วยทำให้แผนการลับของพวกเขาสำเร็จลุล่วงอย่างง่ายดาย พวกเขาไม่ได้คัดค้านอะไร จึงออกเดินทางตามหนิงหลงไปโดยไม่ได้คิดหรือนึกสงสัยสิ่งใดเลย

แต่พอมารู้ว่าหนิงหลงจะพาไปหอนางโลม พวกเขาแทบจะอยากวิ่งไปบีบคอหนิงหลงให้ตายคามือ ถึงฟู่หมิงหยางจะมีกำลังวังชาฟิตปั๋งไม่ต่างไปจากหนุ่มสาว แต่ตัวมันก็อายุปาไปร้อยกว่าปีแล้ว อีกทั้งภรรยาของเขาที่เป็นไทเฮาก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้เป็นพ่อหม้ายลูกติดแบบฟู่เทียนซาที่เป็นบุตรชาย

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือจอมยุทธ์ยังมีมนุษย์เมีย! ตอนให้เป็นถึงระดับกึ่งปรมาจารย์ แต่ต่อหน้าภรรยาผู้ยิ่งใหญ่แล้ว เขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลมสักแอะ ถ้าข่าวเรื่องที่เขาได้ไปหอนางโลมหลุดเข้าหูภรรยา รับรองว่าชะตาชีวิตของเขาได้ขาดสะบั้นแล้ว

แน่นอนว่าบิดาของเขาฟู่เหรินเสียนก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไรนัก ภรรยาของเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญตนเช่นเดียวกัน มีอายุยืนยาวนานเป็นร้อยๆ ปี

สำหรับบุรุษรักเดียวใจเดียวเช่นฟู่เทียนซาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการเข้าหอนางโลมเลย นอกจากเรื่องของภรรยาแล้ว ในหัวของชายผู้นี้มีเพียงแต่เรื่องการฝึกวิชาบำเพ็ญตนอย่างเดียว

ทางด้านเจี่ยกงกงไม่จำเป็นต้องพูดถึง นอกจากอายุขัยที่แก่งอมแล้ว ตรงส่วนนั้นของเขาก็ได้บอกลาไปตั้งแต่ช่วงที่เขาเดบิวต์เป็นขันทีแล้ว

"หลานชายหากต้องการสาวงามมาอุ่นเตียง ขอเพียงสั่งการออกไปก็ได้แล้ว ในผืนแผ่นดินต้าเจิ้งนี้จะต้องมีคุณหนูของตระกูลขุนนางจำนวนมากที่ยินดีโผเข้าอ้อมกอด ใยจะต้องไปหอนางโลมด้วยเล่า?" ฟู่เหรินเสียนอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเสมือนคุณปู่ที่เอ็นดูบุตรหลาน

คำพูดของฟู่เหรินเสียนนับว่าไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยฐานะฮ่องเต้เจ้าเหนือหัวของแผ่นดินมันช่างสูงส่งเพียงใด และมีอำนาจบารมีเช่นใด? นี่คือผู้ที่สามารถกุมอำนาจทั้งหมดของอาณาจักร ขอเพียงฮ่องเต้ตรัสกล่าว ไม่รู้ว่ามีตระกูลขุนนางจำนวนเท่าไรที่ยินดีส่งคุณหนูของตนเข้าวังเป็นสนม

"ท่านไม่เข้าใจแล้วล่ะ" หนิงหลงส่ายหน้าและกล่าวว่า "ของที่ได้มาง่ายดายมันดูจะไม่มีความหมายเหลือเกิน ไร้ซึ่งเรื่องราวความหมาย ช่างดูจืดชืดและไม่มีความโรแมนติกเลยแม้แต่น้อย"

ฟู่เทียนซาพลันยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวว่า "การที่เจ้าจ่ายเงินเพื่อขอร่วมรักกับพวกนาง พอเช้าวันถัดไปสุดท้ายก็ต้องแยกทางกัน มันโรแมนติกตรงไหนกันละ?"

"โว้ว โว้ว โว้วๆ ที่นี่เราไม่ทำกันแบบนั้นพี่ชาย" หนิงหลงหัวเราะและกว่าวว่า "ท่านอย่าพูดจาเยี่ยงบุรุษที่ยังบริสุทธิ์อยู่ได้หรือไม่? ท่านก็มีภรรยาและบุตรีตั้งสองคนแล้วหนา"

"ข้าพูดอะไรผิดไป? ไม่ใช่ว่าสถานที่แบบนี้คือสถานที่ที่เหล่าบุรุษมาปลดปล่อยความใคร่กันหรอกหรือ?" ฟู่เทียนซาเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย ทางด้านสองบรรพบุรุษเฒ่าต่างพยักหน้าเห็นด้วย

"ดูเหมือนว่าพวกท่านจะเข้าใจบางสิ่งผิดไปแล้วล่ะ!" หนิงหลงส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า "นางคณิกาในหอนางโลมนั้น พวกนางมิได้ขายเรือนร่างเพียงอย่างเดียว ยังมีบางส่วนที่ขายศิลปะความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นการขับร้อง, เล่นดนตรี, ร่ายรำ, เล่นเกม หรือแม้กระทั่งสนทนาพูดคุยเรื่องจิปาถะทั่วไป บทกลอนกวี ศิลปะแขนงต่างๆ เศรษฐกิจ การเมือง เรื่อยไปจนถึงข่าวสารต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กข่าวซุบซิบหรือเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้า ยิ่งข่าวนั้นลับมากเท่าใด ต้องจ่ายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น!"

สามอดีตฮ่องเต้หนึ่งขันทีในเวลานี้ถึงกับอึ้ง พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหอนางโลมจะมีบริการเช่นนี้ด้วย การที่สามารถหาข่าวสารต่างๆ ได้จากหอนางโลม นี่ไม่ต่างอะไรไปจากหน่วยข่าวกรองเลย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ หนิงหลงรู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไรกัน?

"เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องราวพวกนี้ได้กัน?" ฟู่เทียนซาอดคิดไม่ตก น้องชายเขาเหมือนหลุดออกมาจากป่าเขา อีกทั้งยังพึ่งเคยมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก แต่ทำไมถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ราวกับฝ่ามือของตัวเอง

"แล้วท่านคิดว่าภรรยาข้าเป็นใคร?" หนิงหลงยิ้มอย่างเฉยเมยราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา

ฟู่เทียนซาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับกระจ่าง ทว่า ทางด้านยอดฝีมือทั้งสามได้แต่สงสัยว่าภรรยาของเจ้าสาวเลวน้อยคือผู้ใดกัน?

เมื่อฟู่เทียนซาเห็นเช่นนั้นจึงได้ส่งเสียงผ่านลมปราณไปยังยอดฝีมือทั้งสาม เพราะเขากลัวผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะได้ยิน "ภรรยาของน้องชายข้าก็คือ...เย่ฉุ่ยเหยา!"

"เย่ฉุ่ยเหยา..." ในคราแรกทั้งสามยังคงครุ่นคิดว่าเย่ฉุ่ยเหยาคือใคร แต่พอเวลาผ่านไปได้สักครู่หนึ่ง พวกเขาถึงกับแทบลมจับ เมื่อรู้ว่าสตรีนามเย่ฉุ่ยเหยาคือผู้ใด

"เจ้า เจ้า เจ้าพูดจริงรึ?" ฟู่หมิงหยางเขย่าบุตรชายมันด้วยท่าทีสั่นเทา

"มันคือความจริง!" ฟู่เทียนซาพยักหน้าจริงจัง

เมื่อได้รับคำยืนยันแล้ว ทั้งสามถึงกับขนลุกซู่ โดยเฉพาะฟู่หมิงหยางที่เคยร่อนเร่อยู่ในยุคเดียวกับนางถึงกับจับไข้อกสั่นขวัญหาย

นางมารสวรรค์เย่ฉุ่ยเหยาหาใช่พวกชื่อเสียงจอมปลอม ยามที่นางพึ่งขึ้นมาถึงระดับสิบนั้น ก็สามารถต่อกรกับปรมาจารย์ได้ซึ่งหน้าแล้ว ปลพเวลานี้นางได้มาถึงระดับกึ่งปรมาจารย์ อีกทั้งยังห่างจากปรมาจารย์เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น ต่อให้ปรมาจารย์ทั้งสี่ท่านรุมปิดล้อมนางดแาไว้ เกรงว่าพวกก็มิสามารถเอาชีวิตนางไปได้

พลังที่แท้จริงของนางหาใช่ระดับวรยุทธ์ที่ปราศจากคู่ต่อกรเพียงอย่างเดียว แต่มันยังรวมไปถึงลัทธิมารที่อยู่กระจัดกระจายไปทั่วทุกแว่นแคว้น

ยังไม่มีผู้ใดสามารถระบุจำนวนสมาชิกที่แท้จริงของลัทธิมารได้เลย เหล่าสมาชิกจากลัทธิมารอยู่กระจัดกระจายและแทรกซึมไปทั่วทุกขุมกำลัง ธาตุแท้ภายในของลัทธิมารนั้นยากจะหยั่งถึง พวกเขาอยู่กันมาอย่างยาวนานทุกยุคทุกสมัยไม่รู้ว่าผ่านมากี่ราชวงศ์แล้ว เป็นขุมกำลังที่เกือบจะเอ่ยได้ว่าเป็นนิรันดร์อย่างแท้จริง!

"สะ..แสดงว่านะ นางจะต้องอยู่แถวนี้!" ฟู่หมิงหยางหันไปมองรอบๆ ด้วยท่าทีกระสับกระส่ายหวาดระแวง สองมือคว้าตัวเจี่ยกงกงและกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า "เทียนเออร์! ใช่ๆ ท่านรีบไปตามที่เทียนเออร์มาเร็ว! บอกกับนางว่า บิดาของนางกำลังจะตายแล้ว ขอให้นางรีบมาโดยเร็ว!"

สมัยที่ฟู่หมิงหยางยังหนุ่มเขาเคยได้ออกท่องยุทธภพ เหมือนวัยรุ่นเจียงหูทั่วๆ ไป และตัวเขานับได้ว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญคนหนึ่งเช่นกันในสมัยนั้น

เมื่อยามที่เขาได้พบกับเย่ฉุ่ยเหยาจึงได้ตกหลุมรักในความงามของนางหัวปักหัวปำ ทว่า นางเมื่อสมัยนั้นเสมือนดั่งนางผีบ้า เป็นจำพวกที่สามวันดีสี่วันไข้ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็บ้า พูดจาไม่เข้าหู ระวังเบ้าหน้าไม่เข้าที่ ทำให้ไม่สามารถทราบได้เลยว่ามีบุรุษกี่คนแล้วที่ตกตายลงภายใต้เงื้อมมือของนาง

ถ้าไม่ใช่เพราะบิดาของเขาฟู่เหรินเสียนออกหน้าให้ เกรงว่าเวลานี้ฟู่หมิงหยางคงได้ไปเกิดใหม่ต่างโลกแล้ว แต่มันก็ได้กลายมาเป็นฝันร้ายที่ติดตัวฟู่หมิงหยางมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้