webnovel

เหล่าข้าราชบริพารไม่ไหว ฮ่องเต้องค์ใหม่ตึงจัด

เจ็ดวันนับตั้งแต่ที่ราชโองการถูกประกาศออกไป เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่หนิงหลงฮ่องเต้องค์ใหม่จะได้ขึ้นครองราชย์ เพราะคนเขียนกลัวว่าเรื่องมันจะยืดไปร้อยตอน

ในวันที่มีพิธีการขึ้นครองราชย์ของหนิงหลงนั้น ปรากฏเสียงฆ้องดังก้องไปทั่วทั้งเมืองหลวงฉางอัน บนท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยมวลหมู่เมฆามงคลเจ็ดสี

เมื่อได้เห็นนิมิตที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า ราษฎรไม่ว่าจะเป็นขุนนางชนชั้นสูงหรือชาวบ้านธรรมดาทั่วไปต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน

การขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ในวันนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงดูจะเดือดพล่านขึ้นมาราวกับอยู่ในคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง โดยเฉพาะภายในพระราชวัง เหล่าขุนนางและแม่ทัพตั้งแต่ยศเล็กไปใหญ่ที่มาจากทั่วทุกสารทิศของแผ่นดินล้วนแล้วแต่คุกเข่าอยู่ที่ตรงนั้น

ท่ามกลางพิธีขึ้นครองราชย์นี้ หนึ่งเดียวที่สามารถยืนอยู่ที่ตรงนั้นมีเพียงระดับปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งเท่านั้น จะอย่างไรเสีย ฐานะของพวกเขานั้นสูงส่งยิ่งนัก เป็นระดับที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรโดยแท้จริง ต่อให้เป็นเจ้าผู้ปกครองแคว้นหรือเจ้าสำนักลัทธิผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องยอมคุกเข่าหมอบกราบแต่โดยดี มีหรือที่พวกเขาจะกล้ายืนเทียบบารมีกับตัวตนระดับปรมาจารย์!

ในเวลานี้เอง มองเห็นขบวนราชองครักษ์จัดตั้งเป็นสองแถววิ่งตรงเข้ามาทำการคุ้มครองอยู่ซ้ายขวา ยืนเรียงเป็นแถวอยู่ด้านหน้าราชบัลลังก์ เพื่อกวาดล้างสิ่งกีดขวางให้กับฮ่องเต้องค์ใหม่ในการขึ้นครองราชย์

"ฝ่าบาทเสด็จแล้ว..." ในเวลานี้เอง เสียงของเจี่ยกงกงดังขึ้นดังก้องไปทั่วพระราชวัง บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ และแม่ทัพที่คุกเข่าอยู่ต่างทยอยกันเงยหน้าขึ้น ทุกคนต่างต้องการมองดูว่าฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นคนแบบไหนกัน

ในเวลานี้ ภายในพระราชวังเทียมฟ้ามีคนสามคนก้าวเดินเข้ามา ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าก็คือหนิงหลงสุดหล่อของเรานั่นเอง ด้านหลังหนิงหลงก็คือนางมารสวรรค์เย่ฉุ่ยเหยา กับฟู่เยว่เทียนพระเชษฐภคินีของฮ่องเต้รัชกาลก่อน พวกเขาสองคนติดตามอยู่ซ้ายขวา ก้าวเดินตามจังหวะดั่งเงาที่ไม่ยอมห่าง

ทุกคนถึงกับมองตากันและกันเมื่อเห็นฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เสด็จออกมา

มองเห็นหนิงหลงที่สวมชุดคลุมลายมังกร ทั้งยังสวมใส่ดูหลวมๆ แบบขอไปที มงกุฎบนศีรษะถูกสวมเอาไว้ในลักษณะเอียงกระเท่เร่ไม่เป็นระเบียบ ที่เอาเรื่องมากกว่านั้นก็คือท่าเดินของหนิงหลงเรียกได้ว่าเป็นผู้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ มือข้างซ้ายขวาโอบกอดเอวคอดบางของโฉมตรูทั้งสองนางเอาไว้ไม่ห่าง ลักษณะเหมือนพวกเสเพล ไม่มีอำนาจบารมีไร้ซึ่งพลังความเป็นฮ่องเต้

ที่ทำให้ผู้คนต้องงงงันยิ่งกว่านั้นก็คือ ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาที่เพิ่งจะเข้าสำนัก และไม่เคยฝึกยุทธ์มาก่อน หาใช่เป็นยอดฝีมืออะไรนั่น

มาคราวนี้พลันทำให้บรรดาขุนนาง และเหล่าแม่ทัพที่คุกเข่าอยู่ทยอยกันตะลึงงัน

"ลุกขึ้น!" หนิงหลงนอนตะแคงประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรลักษณะคล้ายดั่งนอนโซฟา ท่าทางเหนื่อยหน่าย เหมือนมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงอย่างนั้น อีกทั้งเพียงกวาดสายตามองดูทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แบบขอไปทีแล้วก็ขี้คร้านจะมองอีก

ในเวลานี้เอง กลุ่มขุนนางและแม่ทัพต่างทยอยกันลุกขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่แลกสายตากันทีหนึ่ง เวลานี้บรรยากาศที่แปลกประหลาดชวนอึดอัดยิ่งได้ตลบอบอวลไปทั่วพระราชวัง

ถ้าหากฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์มีอำนาจบารมีอยู่บ้าง บรรดาขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์ชั่วดีอย่างไรก็ต้องร้องกล่าวว่า 'ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี'

เวลานี้ปรากฏฮ่องเต้ที่ไม่เหมือนฮ่องเต้โผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง ภายใต้คำว่า 'ลุกขึ้น' ทุกคนต่างลุกขึ้น แต่ไม่มีใครร้องกล่าวว่าทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีอีกแล้ว

เนื่องจากภายในใจของทุกคนต่างรู้สึกงงงัน และส่วนใหญ่จะบังเกิดความสบประมาทในใจ คนแบบนี้น่ะหรือสามารถเป็นฮ่องเต้ได้ สามารถปกครองต้าเจิ้งได้ นี่เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลจริงๆ

โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นท่าทางหนิงหลงที่ลักษณะประมาทและมีนิสัยไม่ดี เหมือนพวกคุณชายเจ้าสำราญอย่างนั้น ยิ่งทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยดูแคลนฮ่องเต้องค์ใหม่มากขึ้น คนเสเพลเช่นนี้ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ

สมควรทราบว่า บรรดาขุนนางและแม่ทัพที่อยู่ในเหตุการณ์มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่เจ้าถิ่นคนหนึ่ง? คนไหนบ้างที่ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ของสถานที่ที่หนึ่ง มาวันนี้ถึงกับต้องให้พวกเขามาคุกเข่าให้กับคนเสเพลเช่นนี้ ย่อมทำให้ในใจของพวกเขารู้สึกไม่สบอารมณ์

"เอาล่ะ ขุนนางทั้งหลาย เหล่าแม่ทัพและตัวแทนจากแคว้นต่างๆ มีอะไรจะรายงานหรือไม่?" หนิงหลงอ้าปากหาว นอนประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง

ทุกคนที่เห็นท่าทางเช่นนี้ของหนิงหลงต่างมองหน้ากันและกันแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี?

"นี่เป็นการแต่งตั้งของฮ่องเต้องค์ก่อนจริงหรือ?" ในเวลานี้เอง ท่ามกลางเหล่าขุนนางได้มีชายฉกรรจ์ก้าวออกมาคนหนึ่ง ชายฉกรรจ์ผู้นี้มีท่าทีที่สร้างความกดดันให้กับผู้คน พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง อีกทั้งเป็นยอดฝีมือที่ความแข็งแกร่งยิ่ง

"พวกเราต้องการดูพระราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อน" เวลานี้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่า "จะอย่างไรเสีย เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรม เกี่ยวพันถึงการความอยู่รอดของราชวงศ์เจิ้งของพวกเรา"

"แล้ว?" หนิงหลงยิ้มกล่าว และยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย

แม่ทัพใหญ่ผู้นี้นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง หันหลังมองไปที่บรรดารองแม่ทัพที่อยู่ด้านหลังทีหนึ่ง รองแม่ทัพสิบกว่านายที่อยู่ด้านหลังเขาต่างพยักหน้าแข็งขันต่อเขา

"แต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวพันถึงชีวิตและอนาคตของผู้คนทั้งแผ่นดิน ดังนั้น ราชสำนักควรหารือร่วมกัน" แม่ทัพใหญ่ผู้นี้กัดฟันกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

แม่ทัพใหญ่ผู้นี้มีชาติกำเนิดมาจากราชวงศ์เจิ้ง ตระกูลของเขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งมีอิทธิพลสูงมาก เป็นผู้บัญชาการป้อมปราการทางเหนือ

ในราชวงศ์เจิ้งนั้น นอกเหนือจากกองทัพเรือของเจี้ยนเฉินที่แยกตัวเป็นอิสระขึ้นตรงกับฮ่องเต้อย่างเดียวแล้ว ยังมีกองทัพพิทักษ์เมืองหลวง กองทหารองครักษ์หลวง และกองทัพบกที่ปกป้องปราการทั้งแปดทิศของต้าเจิ้ง

"เห็นพูดตั้งนานนึกว่าจะมีอะไร ไอ้กบฏโม่ไป่หลี เด็กเดินองค์ชายของพวกเกาลี่" หนิงหลงหัวเราะและกล่าวว่า "ประหารมันเสีย สังหารพวกกบฏให้หมดทั้งตระกูล"

"เจ้า!?" แม่ทัพโม่ไป่หลีผู้นี้พลันตวาดเสียงดังขึ้นมา "ข้าตามเสด็จฮ่องเต้องค์ก่อนยกทัพปราบปรามด้วยพระองค์เอง กวาดล้างพวกชนเผ่าทางเหนือ เฝ้ายืนหยัดต้านรับเกาลี่มาจนถึงทุกวันนี้ ผลงานการสู้รบเป็นที่ประจักษ์ ท่านเอาอะไรมาตัดสินว่าข้-"

"ข้ากล่าวว่าเจ้าเป็นกบฏ เจ้าก็ต้องเป็นกบฏไง? จะอวดอ้างบารมีขึ้นมายกตนเพื่อ?" หนิงหลงหัวเราะและเอ่ยขึ้น โบกมือสั่งการไปว่า "ประหารเสีย!"

ชวิ้ง! เย่ฉุ่ยเหยาไม่กล่าวมากความ ควักกระบี่ออกจากฝัก พลันปรากฏกลิ่นอายฆ่าฟันรุนแรง

พลันที่เย่ฉุ่ยเหยาลงมือ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เจี่ยกงกงที่ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดยังต้องหวั่นไหวในใจ นี้คือนางมารสวรรค์ เจ้าลัทธินิกายมาร! ตัวตนที่สามารถต่อกรกับระดับปรมาจารย์ได้ซึ่งหน้า

"เจ้ากล้ารึ!!!" สีหน้าของแม่ทัพใหญ่โม่เปลี่ยนไปมากทีเดียว คำรามเสียงยาวปลดปล่อยพลังลมปราณของตนออกมา เผยให้เห็นว่าแม่ทัพผู้นี้อยู่ระดับเก้าปลาย! โม่ไป่หลีชักดาบออกมาต้านรับการโจมตีของเย่ฉุ่ยเหยา บรรดารองแม่ทัพที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ลงมือพร้อมกัน กลายเป็นค่ายกลขึ้นมาเพื่อให้ความช่วยเหลือ

ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง กระบี่ของเย่ฉุ่ยเหยาได้โจมตีมาถึง โม่ไป่หลีแหงนหน้าขึ้นมอง โลกทัศน์ตรงหน้าของเขาล้วนแล้วแต่ถูกปราณกระบี่คลุมจนมิด ฉับพลันปราณกระบี่สายหนึ่งเจาะทำลายค่ายกลนั้นลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่โม่ไป่หลี ต่อให้เขาหลบหนีไปไกลพันลี้ก็ยากจะหลีกพ้น เพราะปราณกระบี่สายนี้ตามติดดั่งเงา

ได้ยินเสียง ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! แต่ละเสียงที่ดังขึ้น เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดไปทั่วท้องพระโรง มองเห็นศีรษะแต่ละหัวที่ลอยละลิ่วขึ้นฟ้า แม่ทัพใหญ่โม่พร้อมด้วยรองแม่ทัพที่อยู่ข้างกายของเขาถูกคมกระบี่ของนางมารสวรรค์เย่ฉุ่ยเหยาสังหารจนสิ้น

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วท้องพระโรง ทุกคนต่างอดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดนี้แล้ว

"น...นางมารสวรรค์!" เมื่อทุกคนได้สติ จึงพากันกรีดร้องดังต่อเนื่องออกมาไม่ขาด "เจ้าลัทธิมารมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร?"

'ฮ่องเต้องค์ใหม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกนิกายมาร?' เวลานี้พวกเขาหนังหัวชาหนึบ ในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจแล้วว่า การขึ้นครองราชย์ครั้งนี้หาได้ง่ายอย่างที่คิดแล้ว

เวลานี้ ต่อให้เป็นเหล่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม แม้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะเป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่นางมารสวรรค์เย่ฉุ่ยเหยามาเป็นผู้คุ้มครองให้กับฮ่องเต้องค์ใหม่ด้วยตนเอง ช่างเป็นเรื่องที่สะเทือนจิตใจผู้คนเหลือเกิน

และไม่ใช่แค่เพียงเย่ฉุ่ยเหยาคนเดียวที่ยืนคุมเชิงอยู่เท่านั้น ยังมีสตรีประหลาดอีกนางหนึ่งที่ถูกจัดให้เป็นตัวตนอยู่ในระดับเดียวกัน พระเชษฐภคินีขององค์ฮ่องเต้รัชกาลก่อน ฟู่เยว่เทียน!

ต่อให้เป็นสี่ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดหากคิดจะสู้กับพวกนางทั้งสอง ก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกต้องคิดให้รอบคอบ