webnovel

ดุดัน ไม่เกรงใจใคร!

เวลานี้ภายในใจผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสั่นเทา มองเห็นแม่ทัพใหญ่ถูกสังหารเหมือนผักปลา กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลบนอากาศ เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างเหม่อลอยไปชั่วขณะ

"เวลานี้ให้โอกาสพวกเจ้า ใครที่รู้ตัวว่าเป็นพวกกบฏขายชาติบ้านเมือง ให้รีบไสหัวออกมาเพื่อขอความเมตตาเผื่อว่าเจิ้นจะใจอ่อน ไม่ฆ่าล้างโคตรตระกูลของพวกเจ้า" หนิงหลงมองดูทุกคนด้วยท่าทางที่เหนื่อยหน่าย

เมื่อเหล่าขุนนางที่ได้ยินเช่นนี้แล้ว พวกเขาต่างรู้สึกลังเลใจไม่น้อยว่าจะก้าวออกไปดีหรือไม่

"ฮ่องเต้องค์ใหม่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม ก่อกรรมใต้หล้า เที่ยวหอคณิกา ทำร้ายผู้ภักดี ฝักใฝ่ในสงคราม ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทำร้ายราษฎร!" ในเวลานี้มองเห็นขุนนางผู้หนึ่งลุกขึ้นแผดเสียงก้องท้องพระโรง "ในฐานะที่เป็นข้าราชบริพารผู้จงรักภักดี ทุกๆ คน ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ปกป้องรักษาแผ่นดิน จะไม่ยอมให้ฮ่องเต้โหดที่เป็นทรราชมาทำร้ายใต้หล้าเด็ดขาด!"

พลันที่เห็นขุนนางวัยกลางคนผู้นี้พูดออกมา ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ เวลานี้ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า เขาต้องการต่อต้านฮ่องเต้องค์ใหม่!

ขุนนางวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่ชุดแพร ใบหน้าหนักแน่นจริงจัง เยือกเย็นไร้ความปรานี ผู้คนที่มองเห็นเขาแล้วต้องสั่นเทา ทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

"เสนาบดีมู่!" มีผู้ที่ร้องเสียงแหลมออกมา เมื่อเห็นขุนนางวัยกลางคนผู้นี้ลุกขึ้นท้วง

ไม่รู้ว่ามีขุนนางจำนวนเท่าไรตกใจจนหน้าขาวซีดและเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินชื่อนี้ ต่อให้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังต้องหลบเลี่ยงไปให้ไกลเมื่อมองเห็นเสนาบดีมู่แต่ไกล

ถ้าหากจะกล่าวว่าความรู้สึกที่มีต่อฮ่องเต้คือยำเกรงด้วยความเคารพ เช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อเสนาบดีมู่คือความเกรงกลัวที่มาจากความหวาดกลัว

ตระกูลมู่คือหนึ่งในสี่ตระกูลผู้มีอำนาจของเมืองหลวง พวกเขามีกองกำลังที่สามารถทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัว และส่วนที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากที่สุดคือพฤติกรรมของตระกูลมู่

ขอเพียงตระกูลของบุคคลผู้นั้น หรือส่วนบุคคลถูกตระกูลมู่หมายหัวเอาไว้ พวกเขามักจะไม่พูดพร่ำทำเพลงลอบสังหารกำจัดทิ้งทันที ถึงแม้บุคคลผู้นั้นจะมีฐานะสูงต่ำเพียงใด ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกลอบโจมตีในฉับพลัน เล่นงานครั้งเดียวถึงตาย

เมื่อจบงานก็ฆ่าคนปิดปาก ไม่มีละเว้นแม้แต่คนเดียวไม่ว่าเด็กหรือคนแก่ สตรีมีครรภ์ก็ไม่เว้น พวกเขาจะทำลายศพและทำลายหลักฐานต่างๆ แม้กระทั่งฆ่าล้างครอบครัวเพื่อไม่ให้ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ เสมือนหนึ่งตระกูลนั้นระเหิดไปจากโลกนี้อย่างนั้น

ตระกูลมู่นั้นมีความโหดเหี้ยมยิ่ง ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไร ตระกูลหรือสำนักจำนวนเท่าไรที่ต้องตายด้วยเงื้อมมือของเขาเงียบๆ ต่อให้เป็นผู้ที่เคยมีบุญคุณต่อพวกเขาก็ไม่เว้น

กล่าวสำหรับตระกูลมู่นั้น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่แค้นพวกเขาจนเข้ากระดูกดำ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ กองกำลังของพวกเขาแกร่งมากเกินไป มีธาตุแท้ภายในเป็นเช่นไรก็ไม่มีใครทราบ ต่อให้เป็นฮ่องเต้เจ้าเหนือหัวก็ยังต้องรู้สึกกดดันไม่น้อย

แต่ถ้าทางราชสำนักต้องการถอนรากถอนโคนทำลายตระกูลมู่จริงๆ ขึ้นอยู่กับเวลาว่าเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วแค่นั้น

"ตำแหน่งฮ่องเต้นั้นเกี่ยวพันถึงความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของประเทศชาติ เกี่ยวพันถึงการอยู่รอดหรือการล่มสลายของบ้านเมือง เกี่ยวพันถึงความสุขของราษฎรทั่วหล้า ดังนั้น หวังว่าฝ่าบาทจะไตร่ตรองให้รอบคอบ..."

"พูดจบยัง?" หนิงหลงกล่าวพลางอ้าปากหาวหนึ่งที โบกมือตามอารมณ์ไปทางเจี่ยกงกงทีหนึ่ง

เมื่อเห็นสัญญาณหนิงหลงแล้ว เจี่ยกงกงได้ยื่นมือตบเข้าไปที่ใบหน้าของเสนาบดีมู่อย่างแรง ต่อให้เสนาบดีมู่จะเป็นถึงระดับผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่ง คิดจะหลบเลี่ยงไป แต่ว่า หนึ่งฝ่ามือนี้เป็นของระดับปรมาจารย์ยุทธ์ ทำให้ไม่ว่าจะหลบไปอยู่ตำแหน่งไหนก็หนีไม่พ้น ซึ่งความเร็วเช่นนี้ตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าระดับปรมาจารย์ยุทธ์นั้นยากที่จะหลบ หรือต่อให้ยืนต้านไว้ สุดท้ายก็ไม่พ้นถูกตบจนเลือดกบปาก

ใบหน้าของเสนาบดีมู่นับว่าหนาพอทน ฝ่ามือของปรมาจารย์ยุทธ์ที่ปราศจากผู้เทียบเทียมยังไม่ทำให้เขาต้องฟันร่วง หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์อ่อนด้วยทั่วไป เกรงว่าหนึ่งฝ่ามือนี้คงตบจนศีรษะแหลกละเอียดไปแล้ว

"เสียเวลาพ่นเรื่องไร้สาระไปครึ่งค่อนวัน คิดว่าเจิ้นโง่มากมั้ง?" หนิงหลงถึงกับหัวเราะขึ้นมา กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า "เจ้าแค่ต้องการจะแก้แค้นให้ลูกชายที่ตกตายอนาถก็เท่านั้น ก็พูดออกมาตรงๆ ก็ได้ จะสุรวนไปหาสวรรค์วิมานอันใด?"

ตึง! ตึง! ตึง!

ขณะที่บรรยากาศภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความกดดันชวนอึดอัดใจ บรรยากาศด้านนอกเมืองหลวงฉางอันพลันปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

เสียงฝีเท้าจำนวนมากที่ดังสนั่นหวั่นไหวเป็นระลอกคลื่นได้วิ่งห้อตรงมายังทิศทางของเมืองหลวงฉางอัน จนสร้างความหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง จากนั้นติดตามด้วยเสียงเหล็กที่กระทบกระทั่งดังตึงตังขึ้นมาไม่ขาดสาย ทำให้ฟ้าดินสั่นไหว ภูเขาแม่น้ำโคลงเคลง อากาศธาตุถึงกับสั่นเทา

ด้วยกองทัพขนาดมหึมาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความอันธพาลและบ้าระห่ำ ทำเอาบรรดาสิงสาราสัตว์โดยรอบตกใจจนทยอยกันหมอบอยู่กับพื้นไม่อาจเคลื่อนไหว บ้างก็หลบซ่อนอยู่ภายในรังไม่กล้าโผล่หัวออกมา

"นั้นมันกองทัพพิทักษ์ชายแดน!" ทหารบนกำแพงเมืองตาแหลมมองเห็นธวัชโบกสะบัดได้อย่างชัดเจนแต่ไกล ถึงกับต้องร้องเสียงดังออกมาอย่างช่วยไม่ได้

แรกทีเดียวที่มองเห็นกองทัพขนาดมหึมาวิ่งห้อมายังเมืองหลวง ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคน ทหารบนกำแพงยังเข้าใจว่าเป็นข้าศึกยกทัพบุกมา ถึงกับขนลุกซู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้

แต่ทว่า เมื่อมองดูให้ละเอียดแล้ว นั้นมันกองทัพข้าศึกที่ไหนกัน มันเป็นกองทัพพิทักษ์ชายแดนจากป้อมปราการทั้งแปดทิศต่างหาก เป็นกองทัพที่มีไพร่พลนับล้านวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีที่คำรามก้อง เดินทัพด้วยความรวดเร็วดั่งพายุ เดินทัพรวดเร็วทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่าง

"เป็นกองทัพพิทักษ์ชายแดนที่มาจากป้อมปราการทิศอุดร ทิศอีสาน และทิศพายัพ!" เหล่าทหารบนกำแพงจำนวนไม่น้อยตื่นตระหนกยิ่งในใจ อดที่จะร้องเสียงดังออกมาไม่ได้เมื่อมองเห็นกองทัพที่วิ่งห้อเข้ามาได้อย่างชัดเจน

กองทัพพิทักษ์ชายแดนนั้นมีอยู่แปดกองทัพตามป้อมปราการทั้งแปดทิศ การที่กองทัพทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสามทิศเกือบจะเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งหมดแล้ว เวลานี้ มาปรากฏอยู่ที่หน้าเมืองฉางอันในขณะนี้ พลันสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คน ขุนนางจำนวนมากภายในท้องพระโรงที่ทราบข่าวถูกทำให้แตกตื่น ต่างทยอยกันออกมานอกพระราชวังยืนจ้องมองไปยังทิศทางที่กองทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสามวิ่งห้อเข้ามา

กองทัพพิทักษ์ชายแดนวิ่งห้อเข้ามาด้วยท่าทีที่ดุดัน ไม่เกรงใจใคร! ทั้งกองทัพล้วนแล้วแต่สวมเสื้อเกราะพร้อมอาวุธที่ครบมือ แม้แต่ม้าศึกที่ขี่มาด้วยก็สวมเสื้อเกราะเช่นเดียวกัน

กองทัพที่ที่มีไพร่พลนับล้านวิ่งเข้ามาลักษณะเช่นนี้อย่างรวดเร็วเหมือนดั่งน้ำหลากที่มาจากเขื่อนแตก มีท่าทีที่ทำลายล้างอย่างรุนแรง ไร้สิ่งใดต้านทานมันได้ ตลอดทางที่ผ่านมาปราศจากผู้คน และกองกำลังใดๆ กล้าขวางทาง พลันที่มองเห็นกองทัพนับล้านที่ร้องคำรามเสียงดังแล้ว ผู้คนที่สัญจรไปมาหรือกองกำลังที่อยู่บริเวณนั้น ต่างหลีกหนีไปไกลนับพันลี้ เป็นเส้นทางที่สะอาดหมดจดไร้ผู้คนขวางทางแม้แต่คนเดียว

"กองทัพพิทักษ์ชายแดนเกือบครึ่งมาที่เมืองหลวงทำไมกัน?" ประชากรในเมืองหลวงฉางอันต่างหวาดผวาและมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เมื่อมองเห็นกองทัพพิทักษ์ชายแดนที่มีไพร่พลนับล้าน

"พวกเขาต้องการก่อกบฏใช่หรือไม่?" มีผู้ที่หัวไวพอจะดูสถานการณ์ออกเมื่อมองเห็นกองทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสามอาศัยท่วงท่าบุกทะลวงตรงมายังเมืองหลวง อดที่จะกล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมาไม่ได้

"ป ปะ...เป็นเรื่องใหญ่แล้วสิ" ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินข่าวนี้

เรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ตัวตนเล็กๆ หรือปุถุชนผู้ต่ำต้อยจำนวนมากต่างไม่ต้องการกล่าวถึง และไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากเรื่องนี้ส่งผลกระทบร้ายแรงเกินไป

กองทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสามทิศพากันเคลื่อนทัพเกือบหมื่นลี้จากป้อมปราการชายแดน เวลานี้ มารวมกันด้านนอกเมืองหลวงฉางอันแล้ว เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาเป็นระลอกของกองทัพไพร่พลนับล้าน พลันหยุดกึกลงทันทีทั้งกองทัพ โดยมีการจัดทัพที่เป็นระเบียบอย่างยิ่ง ไม่มีความสับสนวุ่นวายแม้แต่น้อย ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ากองทัพนี้มีความแข็งแกร่งเพียบพร้อมเพียงใดแล้ว

กองทัพพิทักษ์ชายแดนหยุดอยู่แค่ด้านนอกของเมืองหลวงเท่านั้น แม้ว่ากองทัพทั้งสามที่มารวมกันจะมีความแข็งแกร่งที่เพียงพอจะกวาดล้างเมืองตรงหน้า แต่พวกเขายังคงมีสติอยู่บ้าง ยังไม่กล้าอวดดีถึงขั้นบุกเข้าไปในเมืองโดยตรง

ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเพราะแม่ทัพและรองแม่ทัพของพวกเขาอยู่ในเมืองเท่านั้น แต่ธาตุแท้ภายในเมืองหลวงฉางอันนั้นยากสุดจะหยั่งถึง แม้จะมีพลังปราศจากผู้ต่อกรเพียงใด แต่การที่บุกทะลวงเข้าไปตรงๆ โดยไร้ซึ่งแบบแผน ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ ซึ่งเป็นการสูญเสียกองกำลังไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น

ในเวลานี้เอง ตัวแทนของกองทัพพิทักษ์ชายแดนได้ควบม้าตรงมายังหน้าประตูเมือง รวบรวมลมปราณตะเบ็งเสียงอ่านแถลงการณ์ออกไปว่า "ฮ่องเต้องค์ใหม่ไร้ความสามารถ หลงใหลโลกโลกีย์ ขาดซึ่งคุณธรรมจรรยา ก่อกรรมกับราษฎร แผ่นดินต้าเจิ้งเป็นของปวงประชา ในฐานะที่เป็นทหารคนหนึ่งของประเทศ จะไม่อนุญาตให้มีฮ่องเต้ที่เป็นทรราชมาทำร้ายบ้านเมือง ทรราชใดก็ตามหากเป็นศัตรูกับทั่วหล้า เป็นศัตรูกับอาณาประชาราษฎร์ ล้วนแล้วแต่สมควรถูกปราบปราม!"

ในเวลานี้ หลังสิ้นเสียงคำแถลงการณ์ของตัวแทนกองทัพพิทักษ์ชายแดน ถ้อยคำแถลงเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงภายในระยะเวลาอันสั้น

"กองทัพพิทักษ์ชายแดนจากทั้งสามทิศแปรพักตร์!" ภายในชั่วพริบตา ข่าวที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวเช่นนี้ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเสมือนไฟลามทุ่ง เสมือนว่าดั่งเป็นพายุฝนฟ้าคะนองที่โหมกระหน่ำไปทั่วทั้งเมือง

ไม่รู้ว่ามีประชาชนจำนวนเท่าไรที่หวั่นไหวหลังจากได้ทราบข่าวนี้แล้ว ไม่รู้ว่ามีขุนนางจำนวนเท่าไรที่รู้สึกใจหายใจคว่ำ

"กองทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสามทิศก่อกบฏ ปราบปรามฮ่องเต้องค์ใหม่" เวลานี้ภายในใจของผู้คนจำนวนมากต่างสะดุ้ง เมื่อได้รับทราบคำแถลงการณ์ระดมพลเพื่อปราบปราม ทิศทางลมเปลี่ยนแปลงได้เร็วมากเหลือเกิน จนผู้คนจำนวนมากปรับตัวไม่ทัน...