webnovel

เลือกคนที่ทำให้เห็นว่ารัก

เมื่อหลี่เฟยเห็นว่ากลุ่มของหนิงหลงกำลังจากไป นางจึงรีบตะโกนออกไปว่า "ฝ่าบาท ความแค้นใหญ่หลวงนี้เป็นเรื่องระหว่างหม่อมฉันกับพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่แต่อย่างใด ผู้เยาว์หลี่ไต้ของตระกูลหม่อมฉันที่ได้ตายตกไป เรื่องนี้หม่อมฉันก็จะไม่โทษใคร ต้องโทษว่าฝีมือไม่ดี ไม่สามารถพิเคราะห์เหตุการณ์"

"หม่อมฉันหวังว่าไฟสงครามในครั้งนี้จะตายไปพร้อมกับความตายของหลี่ไต้ ไม่ต้องการให้ไฟสงครามครั้งนี้เผาผลาญต่อไปถึงยุทธภพ และไม่ต้องการให้ไฟสงครามในครั้งนี้ไหม้ลามไปถึงตระกูลหลี่ หม่อมฉันยินดีสลายบุญคุณความแค้นในครั้งนี้ ครั้งนั้นผู้เยาว์ตระกูลของหม่อมฉันไม่รู้จักกาลเทศะ จึงรู้สึกเสียใจ ณ ที่นี้ ได้แต่ขอให้พระองค์ทรงสลายความแค้นประทานอภัยโทษในครั้งนี้"

ครั้นหลี่เฟยกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ท่าทีหนักแน่นเคร่งขรึม และก้มศีรษะลงต่ำ

อดีตฮ่องเต้ทั้งสามที่เคยผ่านอุปสรรคยิ่งใหญ่มาแล้วพยักหน้ากันลับๆ เนื่องจากพวกเขามองออกถึงสถานการณ์ การผงาดขึ้นมาของหนิงหลงยากสุดจะคาดเดาได้ และยิ่งสถานการณ์ของต้าเจิ้ง ณ เวลานี้แล้ว พลันทำเอาทั่วทั้งผืนแผ่นดินระส่ำระสายกันไปหมด

การที่หลี่เฟยยินดีสลายบุญคุณความแค้นในครั้งนี้กับหนิงหลง นางไม่ต้องการให้ไฟสงครามในราชสำนักลุกลามเผาไหม้ต่อไปในยุทธภพ และไม่ต้องการให้มันลามมาถึงตระกูลหลี่!

"บริสุทธิ์ดั่งสายนที เพราะวารีไม่แข่งขัน ให้ความแค้นลบเลือนดั่งหมอกควัน ปล่อยให้มันจางหายดั่งสายลม" หนิงหลงยิ้มเฉยเมยหันกลับมามองดูหลี่เฟย กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า "ผู้รู้จักสถานการณ์เป็นยอดคน ในเมื่อเจ้ายอมปล่อยผ่านไป หากเจิ้นยังจะถือสาหาความหยุมหยิม เท่ากับว่าเป็นคนใจแคบ บุญคุณความแค้นที่ผ่านมาให้มันสิ้นสุดเพียงเท่านี้"

หลี่เฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ไม่ลืมแสดงคารวะต่อหนิงหลงด้วยความเคารพ และกล่าวว่า "หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้เพค่ะ"

หลังจากที่คณะของหนิงหลงได้จากไปแล้ว หลี่เฟยจึงได้ลุกยืนขึ้นพร้อมถอนหายใจได้อย่างสะดวก เมื่อสักครู่นี้นางรู้สึกกดดันไม่น้อย ความคิดของหลี่เฟยเปลี่ยนไปมากทีเดียวหลังจากได้พบกับหนิงหลง

"ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นคนแบบไหนกันแน่นะ?" ในเวลานี้ หลี่เฟยรู้สึกว่าตัวเองนั้นมืดแปดด้าน

เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา โลกยุทธภพและราชสำนักนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกันโดยตรง พวกเขาต่างใช้วิธีการที่อาศัยการแทรกแซงกันในเงามืดเท่านั้น หลังจากผ่านมาแต่ละยุคสมัยไปแล้ว มหาอำนาจจากทั้งสองฝั่งยังคงยืนหยัดอยู่โดยไม่ล้มบนผืนแผ่นดินนี้

แต่แล้วเวลานี้กลับปรากฏฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นมากะทันหัน พลันไปรบกวนความสงบของทั้งสองฝ่ายจนสับสนวุ่นวาย เนื่องจากฮ่องเต้องค์ใหม่พลันอยู่เหนือความควบคุมของพวกเขา

ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่มีมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ใหม่เลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นเฉกเช่นฮ่องเต้พระองค์ก่อนๆ หน้า ก็โชคดีไป แต่ถ้าเกิดเป็นทรราชขึ้นมาก็ได้ฉิบหายกันทั้งแผ่นดินนี้แหละ

และส่วนที่อันตรายสุด หากฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นคนที่น้ำนิ่งไหลลึกล่ะ? เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะกลับกลายเป็นเรื่องที่กลับตาลปัตรมากที่สุด ซึ่งสิ่งนี้กล่าวสำหรับยุทธภพแล้ว จะส่งผลกระทบที่น่าสยองขวัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตระกูลหลี่ของนางที่พึ่งจะไปขัดแย้งกับฮ่องเต้องค์ใหม่โดยไม่ทันระวัง

"ความอยากรู้อยากเห็นมันฆ่าแมวได้ หลี่เฟยนะ หลี่เฟย" สุดท้าย หลี่เฟยถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ รู้สึกกลัดกลุ้มในใจ

แม้ว่าจะยังไม่มีบทสรุปที่สุด แต่ท่ามกลางความเลือนราง นางสามารถคาดการณ์ได้ถึงจุดจบรางๆ ได้แล้วว่า ใครคือผู้ชนะในที่สุด

หลี่เฟยมองดูดวงดาราบนฟากฟ้า ตกอยู่ในความครุ่นคิด ในยุคปัจจุบันนี้ ยุคที่ราชสำนักและโลกยุทธภพไม่ยุ่งเกี่ยวกันมันได้สิ้นสุดลงแล้ว และเรือลำน้อยอย่างตระกูลหลี่ของนาง ถ้าต้องการจะยืนหยัดบนห้วงสมุทรโกลาหลนี้เหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมาคงเป็นไปไม่ได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำเวลานี้คือการสละเรือน้อยกระโจนขึ้นเรือใหญ่ที่มีความสามารถพอจะต้านลมต้านคลื่นระลอกนี้ไปได้เท่านั้น

...

"ว่าอะไรนะ? หลี่ไต้ถูกฆ่า" บรรดากลุ่มลูกศิษย์และผู้อาวุโสของตระกูลหลี่ที่ออกมาหาประสบการณ์ถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียวเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่เฟย

พวกเขาเข้าใจในความสามารถของหลี่ไต้เป็นอย่างดี อายุสิบห้าปี เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่ กำลังวังชาดั่งคชสาร เชี่ยวชาญวิชาหมัดมวยชนิดหาตัวจับได้ยาก ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันแทบจะไร้พ่าย เรียกได้ว่ามีศักยภาพสามารถท้าสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้าได้

ด้วยกำลังความสามารถเช่นนี้ ยากจะหาผู้ต่อกรได้ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เว้นแต่พวกอัจฉริยะระดับปีศาจเพียงไม่กี่คนแล้ว ยากที่จะมีใครสามารถเอาชนะหลี่ไต้ได้อีกแล้ว

ก่อนหน้านี้หลี่ไต้ที่ยังคงมีจิตใจที่ฮึกเหิมเป็นผู้นำกลุ่มศิษย์รุ่นใหม่ ทว่ายามนี้ เพียงชั่วข้ามคืนเดียวก็หลงเหลือเพียงแต่ชื่อ จะไม่ให้ผู้คนจากตระกูลหลี่ต้องตกใจยิ่งได้อย่างไรกันเล่า

"ไอ้สารเลวหลี่ไต้มันไปยั่วยุตัวตนระดับใดกันละเนี่ย? แม้กระทั่งท่านผู้พิทักษ์หลี่ยังไม่กล้าเอ่ยถึงหรือแม้แต่จะนำศพกลับมาได้" ในเวลานี้บรรยากาศภายในตระกูลหลี่ดูหนักแน่นจริงจังขึ้นมา นับเป็นเรื่องโชคร้ายจริงๆ ที่พวกเขาพากันออกมาหาประสบการณ์ยามนี้

...

หนิงหลงและคณะได้กลับมาถึงวังหลวงแล้ว ขณะนี้พวกเขาทั้งห้ากำลังนั่งจิบชาอยู่บนศาลาในสวน ภาพที่เห็นภายนอกอาจดูเป็นไปตามอารมณ์สงบเสงี่ยมไม่มีอะไร ทว่าความเป็นจริงแล้ว บรรยากาศภายในศาลากลับดูเคร่งขรึมไม่น้อย

"ก้าวเดินมาถึงวันนี้นับว่าไม่ง่ายเลย" หนิงหลงมองดูสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่อยู่ภายในวังหลวงด้วยท่าทีชื่นชมจากใจคนหลงยุค

"ข้าไม่เคยคิดเคยฝันเหมือนกันเลยว่าจะมาถึงวันนี้ได้" ฟู่เหรินเสียนกล่าวพลางถอนหายใจ "ราชวงศ์เจิ้งแห่งนี้ไม่เพียงเป็นแรงกายแรงใจของข้าเท่านั้น ยังเป็นแรงกายแรงใจของปรัชญาเมธีร้อยชาติพันธุ์จำนวนมาก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็ให้มันล้มลงไม่ได้ เพียงแต่เฒ่าหงำเหงือกอย่างข้าไม่รู้ว่าจะทนทุกข์ทรมานไปได้นานเท่าไร หวังว่าสามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ก็จะมีอนาคตที่สว่างไสวยิ่งกว่าในอนาคต"

"นั่นสิ" หนิงหลงกล่าวว่า "แผ่นดินต้าเจิ้งผืนนี้ได้หลอมรวมแรงกายแรงใจของผู้คนจำนวนมากมายเหลือเกิน เคยมีอริยะบุคคลจากร้อยชาติพันธุ์จำนวนเท่าไรที่ร่วมกันบุกเบิกขึ้นมา และด้วยความที่ว่ามันได้หลอมรวมแรงกายแรงใจของผู้คนมากเกินไป ดังนั้นจึงได้กลายเป็นเนื้อชิ้นมันในสายตาของหมาป่าที่หิวโหย ถ้าหากวันหนึ่งมันต้องล้มลงแล้ว จะมีฝูงหมาป่านับไม่ถ้วนที่โถมกันเข้ามาอยากจะกัดกินสักคำให้มันรู้แล้วรู้รอดไป"

ฟู่เทียนซาทอดถอนใจเบาๆ เช่นกัน การที่ราชวงศ์ต้าเจิ้งของเขามีผืนแผ่นดินกว้างใหญ่และยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรเพียงนี้ใครบ้างละที่ไม่อยากได้? เขามองดูหนิงหลงแล้วยิ้มกล่าวว่า "แต่ว่า สวรรค์ได้ส่งเจ้าลงมา ข้าก็วางใจได้แล้ว ต่อให้คลื่นลมแรงกว่านี้ เมื่อมีเจ้าอยู่ ต้าเจิ้งก็จะยืนหยัดไม่ล้มลง"

"ข้าก็แค่เบื่อๆ อยากหาอะไรสนุกทำก็เท่านั้น มันก็แค่จับพลัดจับผลูเท่านั้นเอง" หนิงหลงยิ้มกล่าว "ต่อให้ไม่มีข้า ก็มีจิ้งจอกเฒ่าสามตัวบาทอย่างพวกท่านอยู่ เกรงว่าราชวงศ์เจิ้งแห่งนี้ก็ไม่มีใครโค่นลงไปได้"

"ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวแต่เรื่องที่ไม่คาดฝัน" ฟู่เหรินเสียนยิ้มเจื่อนๆ คนที่กล้าพูดจาหยอกล้อพวกเขาเช่นนี้ บนโลกนี้คงมีเพียงแค่หนิงหลงเท่านั้น "หากว่ายามที่ต้าเจิ้งกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ ใครจะรับประกันได้ว่าไม่มีขุมกำลังไหนไม่หวั่นไหวเล่า"

"มันก็จริง ถึงดูผิวเผินว่าศึกนี้จะเป็นการปะทะระหว่างต้าเจิ้ง ตงอิ๋น และเกาลี่สามกองกำลัง" หนิงหลงแสยะยิ้มทีหนึ่งและกล่าวว่า "แต่โลกนี้หาได้ง่ายดายขนาดนี้ที่ไหนกันเล่า ใครมันจะไปรู้กันได้ละว่าอยู่ดีไม่ว่าดีมันจะมีควายหลุดคอกออกมาไหม?"

"ก็ฝูงควายพวกนั่นแหละที่ข้ากลัว" ฟู่เหรินเสียนหัวเราะชอบใจ

ฟู่หมิงหยางที่นิ่งเงียบมาตลอดตั้งแต่ต้น ได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า "ข้ามีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่อยากถาม"

"ข้ารู้ว่าท่านต้องการถามอะไร" หนิงหลงพยักหน้าและกล่าวว่า "ท่านสงสัยว่าทำไมข้าที่เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดเลย เหตุใดถึงต้องมาช่วยพวกท่านด้วยใช่ไหม?"

"ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าไม่ต้องการถามถึง เพราะข้าเข้าใจนิสัยบุตรชายเพียงคนเดียวที่ข้าเลี้ยงมากับมืออย่างดี ข้ารู้ว่าทุกอย่างมันต้องมีเหตุและผลที่ทำไมบุตรชายข้าถึงตัดสินใจเช่นนี้" ฟู่หมิงหยางทอดถอนใจเบาๆ และกล่าวว่า "ถึงเจ้าจะบอกว่าเป็นเพราะพวกเจ้าทั้งคู่คือพี่น้องร่วมสาบานกัน แต่มันก็หาได้ง่ายอย่างที่ตาเห็น ดังนั้น ข้าจึงตั้งใจถามเจ้าว่า เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่? แผนการของพวกเจ้าคืออะไร?"

คำถามข้อนี้ของฟู่หมิงหยางใช่ว่าจะมีแค่ตัวเขาที่อยากรู้ ฟู่เหรินเสียนและเจี่ยกงกงเองก็รู้สึกสงสัยเหมือนกันไม่ใช่น้อย ความจริงแล้วพวกเขาอยากจะถามตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว แต่ว่าในใจยังคงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของฟู่เทียนซา ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถามตลอดมา จนมาคราวนี้ทนไม่ได้ที่จะถามขึ้น

"ข้าได้ยินมาว่า ผู้ใดที่สามารถกำจัดขับไล่พวกตงอิ๋นไปจนหมดสิ้น จะได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ ส่วนใครที่สามารถขับไล่พวกเกาลี่จะได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงเล็ก" หนิงหลงมองดูฟู่เทียนซาที่กำลังเลิ่กลั่กทีหนึ่ง หันมากล่าวกับฟู่หมิงหยางด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า "ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนาง มีหรือที่ข้าจะยอมลำบากลำบนเช่นนี้? ต่อให้ประเทศชาติบ้านเมืองล่มสลายข้าก็ไม่สนใจด้วยซ้ำ ถึงยังไงสิ่งเหล่านี้ก็สามารถสร้างใหม่ได้ แต่สตรีงามมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ถ้าพลาดไปแล้วก็พลาดไปเลย"

"ที่เจ้าทำทั้งหมดนี้เพียงเพื่อหลานสาวของข้า!?" ฟู่หมิงหยางร้องเสียงหลงออกมา ด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ "พวกเจ้าทั้งคู่บ้าไปแล้วหรือยังไง?"

"เลือกคนที่ทำให้เห็นว่ารัก ไม่ใช่เลือกคนที่พูดว่ารัก แต่ไม่เคยทำให้เห็น" หนิงหลงยิ้มทีหนึ่งเดินออกจากศาลาไปอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับเพลงประกอบที่ดังขึ้นมา ปล่อยให้คนทั้งสี่ในศาลานั่งอ้ำอึ้งจนด้วยเกล้า