webnovel

พระองค์ทรงมีพระราชอารมณ์ขัน

ในเวลานี้ หอเซี่ยงอี้ที่ก่อนหน้าเสียงดังครึกครื้น ได้เงียบสงัด บรรดาแขกเหรื่อภายในงานรู้สึกใจหายใจคว่ำต่างถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหวจนพูดอะไรไม่ออก

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าถิ่นนักเลงหัวไม้ หรือจะเป็นยอดฝีมือเลื่องชื่อล้วนแล้วแต่ถูกสะเทือนหวั่นไหวจนบีบหัวใจยิ่งนัก กระทั่งผู้คนจำนวนมากที่ขาทั้งสองข้างสั่นเทาไม่หยุด แม้แต่การนั่งยังรู้สึกไม่มั่นคง เก้าอี้เกือบจะพลิกคว่ำโครมลงกับพื้นแล้ว

หลี่ไต้หมัดคุณธรรม ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่นะเนี่ย! กลับถูกทุบจนแหลกละเอียด ไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรน เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นความไร้ซึ่งพลัง และน่าผิดหวังของจอมยุทธ์

มองดูหลี่ไต้ถูกอากาศธาตุกดเอาไว้กับพื้นแล้วบีบอัดจนแหลกละเอียดไป ไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน ความรู้สึกที่ผิดหวัง ความปราศจากพลังลักษณะเช่นนี้ ได้กระทบกระเทือนต่อจิตใจของทุกๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างแรง เกรงว่าชั่วชีวิตของพวกเขาคงไม่อาจลืมเลือนภาพนี้ไปได้

แม้แต่โฉมสะคราญที่ปรากฏตัวพร้อมงูขาวเองก็พลันมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมา นางที่มีระดับการบ่มเพาะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับเก้าเหนือกว่าทุกคนในเหตุการณ์ เมื่อนางได้เห็นภาพนี้แล้ว นางรู้ได้ทันทีว่ามันบ่งบอกถึงสิ่งใด

โดยเฉพาะเมื่อครู่จังหวะที่เจี่ยกงกงจ้องมองมานั้น สายตานั้นกล่าวสำหรับนางแล้วนับว่าสร้างความหวั่นไหวได้มากเหลือเกิน นี่เป็นสายตาที่สูงสุดปราศจากผู้เทียบเทียม สายตาลักษณะเช่นนี้ทำเอาตัวนางแทบจะลืมวิธีการหายใจ

หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก บรรดาฝูงชนได้สติคืนกลับมาแล้ว บางคนถึงกับพูดขึ้นมาแผ่วเบาว่า "นี่ นี่ นี่พวกเขามีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่?"

เนื่องจากตั้งแต่ต้นจนจบ หนิงหลงกระทั่งไม่ได้กระดิกนิ้วเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูธรรมดา ไม่มีท่วงท่าของยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่ได้มีสิ่งใดปิดบังซ่อนเร้น ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเมื่อครู่นี้ต้องมีผู้ที่แข็งแกร่งมากลงมือบดขยี้หลี่ไต้เป็นแน่

เกรงว่าจะต้องเป็นปรมาจารย์คนหนึ่งมาที่นี่ด้วยตนเอง จึงสามารถบดขยี้ยอดยุทธ์เพียงแค่นึกคิด ลองนึกภาพดู การที่มีระดับปรมาจารย์คอยให้การคุ้มครอง ฐานะเช่นนี้จะต้องสูงส่งเพียงใด

บนผืนแผ่นดินนี้มีปรมาจารย์อยู่เพียงแค่สี่ท่านเท่านั้น! และต้องเป็นบุคคลลักษณะเช่นใดกันละถึงสามารถทำให้ตัวตนระดับปรมาจารย์มาอยู่เคียงข้างคอยเฝ้าอารักขาได้?

ตูม!

ทันใดนั้นเองหนึ่งความคิดชั่ววูบพลันแล่นเข้ามาสู่สมองของพวกเขาโดยตรง แต่เพียงแค่หนึ่งความคิดเนี่ยแหละ! ทำให้พวกเขาเสมือนโลกแตกฟ้าถล่มอย่างนั้น ลุกพรวดจากโต๊ะกระโดดหนีออกจากห้องโถงชั้นเจ็ดอย่างไม่รอช้า

ต่อให้เป็นยอดฝีมือผู้ฝึกยุทธ์เลื่องชื่อก็ต้องมีสีหน้าซีดเผือด ต่างพากันวิ่งหนีวงแตกเหมือนผึ้งแตกรัง ภายในใจร้องคร่ำครวญยามเกิดทำไมมารดาของพวกมันไม่มอบขาให้สักสิบข้าง

อวี้หรูเหยียนหวาดผวายิ่ง คล้ายดั่งเห็นผีอย่างนั้น คุกเข่าลงชูมือสองข้างแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าก้มกราบกับพื้น และกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี..."

แม้ว่าอวี้หรูเหยียนในเวลานี้คุกเข่าแสดงคารวะต่อหนิงหลง แต่ทว่านางยังคงมีบุคลิกลักษณะอันมีเสน่ห์ดั่งเทพธิดา

"ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี! หมื่นปี! หมื่นหมื่นปี!!!" ในเวลานี้ บรรดาผู้หลบหนีไม่ทัน ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันคุกเข่าลงกับพื้น

เวลานี้ ผู้คนจำนวนมากในหอเซี่ยงอี้คุกเข่าเต็มไปหมด ขณะที่พวกเขาทั้งหมดคุกเข่าอยู่ตรงนั้นต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ รอคอยการลงอาญาจากฮ่องเต้องค์ใหม่

"โอกาสมีไว้ให้คนถัดไป" หนิงหลงยิ้มเรียบเฉยมองดูผู้คนที่คุกเข่าตรงหน้า

นาทีนี้ทุกคนที่คุกเขาอยู่ตรงนี้ต่างอดที่จะตัวสั่นงันงกอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหนิงหลง

"ไม่ได้มีไว้เพื่อให้รอใครกลับมา" หนิงหลงลุกขึ้นก้าวเท้าเดินออกไปจากห้องโถงชั้นเจ็ดอย่างไม่ลังเลพร้อมกับพวกฟู่เทียนซา เสียงเพลงทำนองเศร้าที่ดังออกมาจากโทรศัพท์เป็นดนตรีประกอบเข้ากับฉากนี้ได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าพวกเขาจะสับสนงุนงงมากแค่ไหน แต่ว่า ในเวลานี้ใครเล่ากล้าส่งเสียงออกมา?

"ลุกขึ้นมาเถอะ อภัยให้พวกเจ้าไม่มีความผิด" หนิงหลงมองกวาดสายตามองรอบๆ และโบกมือ

"ขอบพระทัยฝ่าบาท!" ทุกคนต่างเหมือนปลดสัมภาระออกจากบ่าเมื่อได้ยินคำพูดของหนิงหลง ต่างหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เหงื่อเย็นไหลโทรมกาย

เมื่อประโยคแรกของหนิงหลงถูกตรัสออกมาทำพวกเขาตกใจแทบตาย ยังดีที่พระองค์ทรงพระอารมณ์ขัน ถ้าหากฮ่องเต้องค์ใหม่พลันโกรธขึ้นมาแล้วเข่นฆ่าแปดทิศ ทำลายล้างตระกูลของพวกเขาเก้าชั่วโคตร เพียงเขาสะบัดมือออกไป ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องหัวหลุดจากบ่า อีกทั้งพวกเขาไม่มีแม้แต่กำลังที่จะขัดขืน ได้แต่ถูกสังหารเท่านั้น

ทุกคนล้วนแล้วแต่ดีใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าหนิงหลงไม่ถือสาเอาความ ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นยังทยอยกันโขกศีรษะเสียงดังหลายครั้ง ขอบคุณในความเมตตา

เวลานี้นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณจริงๆ ที่หนิงหลงไม่สังหารพวกเขา

ครั้นทุกคนลุกขึ้นยืนแล้ว ยังคงยืนมือทิ้งข้างลำตัวสองข้าง ก้มหน้าไม่กล้าแหงนหน้ามองพระพักตร์ของหนิงหลง ทุกคนล้วนแล้วแต่อดที่จะระมัดระวังตัว ด้วยเกรงว่าหนิงหลงจะคาดโทษลงมา

"บรรดาผู้คนต่างล่วงรู้ฐานะของข้ากันหมดแล้ว" หนิงหลงหัวเราะส่ายหน้าและกล่าวว่า "แบบนี้ไม่สนุกเลย"

หนิงหลงที่พึ่งออกมาจากหอเซี่ยงอี้ เวลานี้เขาเดินอยู่บนท้องถนนเตะฝุ่นไปพลางด้วยท่าทางที่สุดจะเซ็งอย่างหาที่เปรียบ

"พวกเรากลับวังกันดีกว่าไหม? น้องชายพี่!" ฟู่เทียนซากล่าวขึ้นมาด้วยท่าทีร้อนรนกระสับกระส่าย บรรดาผู้เฒ่าอีกสองคนก็พยักหัวหงกๆ เหมือนไก่จิกข้าวสาร

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด ลางสังหรณ์ของพวกเขาเหมือนจะเตือนว่าให้พวกเขาทั้งสามรีบกลับวังโดยด่วน มิเช่นนั้นแล้วจะก่อให้เกิดภัยพิบัติระดับมนุษยเมียขึ้นมา

"ไอ้หยา~ แบบนี้แล้วพวกเราจะไม่มาเสียเที่ยวกันหรอกรึ?" หนิงหลงยิ้มกล่าวว่า "ในเมื่อหอคณิกาเหล่านี้ไม่ต้องรับ เช่นนั้นแล้ว พวกเราจะใช้กำลังบุกฝ่าเข้าไปในจวนของอำมาตย์ แม่ทัพ หรือพวกขุนนางคนไหนสักคน จัดการฉุดเอาบุตรีคนงาม หรือภรรยาพวกเขามาสักครั้งเป็นไร?"

"ไปฉุดมารดาเจ้ามาถล่มเถอะน้องชายพี่!" ฟู่เทียนซาสะดุ้งโหยงกับความคิดสุดโต่งของหนิงหลง

จังหวะที่คณะของหนิงหลงพูดคุยหยอกล้อเดินไปตามอารมณ์นั้น พวกเขาก็ได้พากันเดินเข้าไปในตรอกลึกที่ดูวังเวงไร้ซึ่งผู้คน

หนิงหลงยืนอยู่ตรงปากตรอกมองเข้าไป เห็นหญิงสาวพร้อมกับงูขาวคุกเข่าหมอบกราบมาทางหนิงหลงด้วยท่าทีหวั่นเกรง ร่างกายสั่นเทาเหมือนลูกไก่พึ่งเกิด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

หลี่เฟยในฐานะผู้พิทักษ์ตระกูลหลี่ นางเคยพานพบอุปสรรคและอันตรายมานับไม่ถ้วน อีกทั้งตัวนางก็ยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับเก้า เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้า ขณะเดียวกันนางเองก็ใช่จะเป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มิฉะนั้นล่ะก็ นางคงไม่ยืนหยัดรักษาตระกูลหลี่เอาไว้อย่างทระนงได้ในยุทธภพ ที่มียอดฝีมือมากมายเหมือนดอกเห็ด

แต่ว่าเวลานี้ นางเองก็ต้องคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าลุกขึ้นยืนในขณะนี้ แม้ว่าภายในใจของหลี่เฟยมีความอหังการของยอดฝีมืออยากจะต่อต้านขัดขืนมากเพียงใด ทว่าความหวาดกลัวที่อยู่ภายในใจกลับห้ามและสยบนางเอาไว้อย่างแข็งขัน ทำให้ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนแรง ไม่มีความกล้าที่จะลุกขึ้นยืน

สัญชาตญาณโดยตรงบอกนางว่า กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าดำรงอยู่ในฐานะสยองขวัญมากที่สุด ซึ่งเป็นต้นกำเนิดความสยองขวัญทุกสิ่ง ดังนั้นสัญชาตญาณโดยตรงจึงส่งผลให้นางสูญเสียความกล้าที่จะขัดขืน ได้แต่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น

เวลานี้สายตาของหนิงหลงจึงได้ตกอยู่บนตัวของหลี่เฟย ไม่อาจไม่กล่าวว่า หลี่เฟยนั้นนับเป็นสุดยอดหญิงงามแห่งยุคคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับอวี้หรูเหยียนที่ถูกขนานนามว่าเป็นโฉมสะคราญงามล่มเมืองแล้ว เรียกได้ว่าสูสีตีคู่กันมาได้เลยทีเดียว

หลี่เฟยที่อยู่ตรงหน้า การแต่งกายอาจดูเหมือนจอมยุทธ์หญิงทั่วๆ ไป แต่ภาพรวมเปี่ยมไปด้วยความสูงส่ง แม้ว่าชุดสีดำที่หลวมยิ่งยังคงห่อหุ้มรูปร่างที่งดงามยิ่งของนางเอาไว้ไม่มิดชิด

และในขณะนี้ นางที่กำลังก้มลงหมอบกราบอยู่นั้น จึงทำให้หน้าอกอวบที่เต่งตึงสูงตระหง่านดั่งภูเขาหิมะเผยออกมาให้ยลได้ชัด ก้นที่กลมกลึงท่ามกลางส่วนเว้าส่วนโค้งนั้น ชวนทำให้ใจหายใจคว่ำ นับว่าอวบอัดเหลือเกิน

หนิงหลงได้เปิดปากพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ว่า "มาด้วยใจอย่าใส่หน้ากาก มาเพื่อจากอย่าฝากหัวใจ..."

พอสิ้นเสียงลง หนิงหลงได้หันหลังเดินออกไปจากตรอกซอย ไม่แม้แต่จะหันไปมองร่างอรชรที่ถูกปล่อยทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเลยแม้แต่น้อย

หลี่เฟยได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำอะไรไม่ถูก ภายในหัวของนางนั้นว่างเปล่าขาวโพลนไปหมด

ก่อนหน้านี้ นางได้นึกคำพูดต่างๆ มากมายเอาไว้แล้ว ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นฮ่องเต้และยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ก็ตามที แต่เวลานี้นางกลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่แอะเดียว คำพูดที่นึกเตรียมเอาไว้ก่อนหน้าล้วนแล้วแต่ถูกกลืนกลับลงไป ไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะเอ่ยออกมา

ไม่ว่าจะเป็นหลี่เฟยก็ดี สามพ่อลูกตระกูลฟู่และเจี่ยกงกงก็ช่าง พวกเขาต่างพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรยังไงต่อไปดี เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ของหนิงหลง...