webnovel

เพื่อนารีแล้ว ข้าพเจ้าจักยอมออกศึกดุจดั่งชายชาตรี

"ไอหยา~ พี่ใหญ่ท่านกล่าวล้อเล่นแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่ปุถุชนเดินดิน ไหนเลยจะเข้าใจในการศึก" หนิงหลงกล่าวระคนหัวเราะ

ฟู่เทียนซายิ้มน้อยๆ พร้อมกับเอ่ยว่า "แผนการอยู่ที่คนแต่ความสำเร็จนั้นอยู่ที่เจ้าเป็นผู้ลิขิต เพียงความคิดชั่ววูบของน้องเล็กสามารถปราชัยศัตรูได้นับหมื่นแสนลี้"

"ยกยอเกินไปแล้วๆ ในต้าเจิ้งนี่ย่อมมิขาดแคลนผู้มีความสามารถ ขุนนางบู๊บุ๋นมีมากมายดั่งดอกเห็ด ผู้ชำนาญศึกเฉกเช่นแม่ทัพเจี้ยนก็มีไม่น้อย ให้มันเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญดีกว่า ตัวข้านั้นเป็นคนนอก แค่คนที่สัญจรผ่านไปมา ขอเพียงรับชมอยู่ห่างๆ" หนิงหลงกล่าวโดยแสร้งทำเป็นเลอะเลือน

"คนนอกอันใดกัน!? น้องเล็กกล่าวเช่นนี้ก็มิถูกนัก ตัวเจ้านั้นเป็นอ๋องของต้าเจิ้งเชียวนา เป็นถึงอ๋องมังกรนิรันดร์กาล! ย่อมมีความเกี่ยวข้องเต็มสิบส่วน และอำนาจในมือของเจ้ามิตกอยู่ภายใต้ใครแม้กระทั่งตัวข้าเอง อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นอาณาจักร!" ฟู่เทียนซาฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงตรงสวยงาม

หนิงหลงถึงกับสะอึกขึ้นมา ดูเหมือนว่าความคึกคะนองเมื่อครานั้นจะย้อนมาเล่นตัวเขาเสียแล้ว สมกับเป็นฮ่องเต้เจ้าเหนือหัวของแผ่นดิน ฟู่เทียนซาพี่ใหญ่ของเขาผู้นี้นับว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่าขนานแท้

ฟังจากคำพูดลักษณะนี้แล้วเกรงว่าเขาคงจะไม่ยอมแพ้จนกว่าหนิงหลงยอมออกศึกวางกลยุทธ์ให้เป็นแน่

เรื่องนี้มันทำให้หนิงหลงถึงกับต้องมืดแปดด้าน นี่ตัวเขาไปแสดงอภินิหารอะไรตอนไหนกัน? ทำไมทุกคนที่เชื่อกันอย่างสนิทว่าเขาเป็นเทพยุทธ์หรือจอมปราชญ์กัน? หน้าเขาดูเหมือนไป๋ฉีหรือหวังเจี้ยนมากเหรอ?

อาจจะเป็นเพราะว่าตำแหน่งอ๋องของเขา พี่ใหญ่ฮ่องเต้เลยเห็นเขาเป็นเซี่ยงอวี่? เพ่ย! โทษทีละกันถึงข้าจะเป็นอ๋องเหมือนกัน แต่ข้าก็ไม่ใช่ฌ้อปาอ๋องนะ

ใช่แล้ว! เขาต้องเห็นข้าเป็นจางเหลียงแน่ๆ ถล่มมารดามันเถอะ! พี่ใหญ่ท่านคิดว่าตัวเองเป็นหลิวปังหรือยังไง?

เอ๊ย!? จะว่าไปแล้วท่านก็มีส่วนที่เป็นหลิวปังอยู่เหมือนกันนี่หว่า พวกท่านทั้งคู่ก็ดันเป็นฮ่องเต้เหมือนกัน โอ๊ย! ผมปวดหัว! ผมปวดหัว!

สุดท้ายหนิงหลงได้แต่ยอมจำนน พร้อมถอดถอนหายใจและกล่าวออกไปว่า "ตงอิ๋นนั้นอยู่ห่างไปนับพันลี้เพราะเหตุอันใดพวกเขาถึงยอมตรากตรำข้ามโพ้นทะเลมากัน?"

แต่ก่อนอื่นเลย อย่างน้อยเขาขอรู้ต้นสายปลายเหตุของสงครามครั้งนี้ก่อน เพื่อที่จะได้หาวิธีแก้ไขได้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเหมือนผู้นำประเทศในโลกเดิมของเขา

ขณะที่ฟู่เทียนซากำลังจะกล่าวอธิบาย เย่ฉุ่ยเหยาได้ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า "มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้...ใครใช้ให้องค์หญิงแฝดของต้าเจิ้งเรางดงามจนสยบไปทั่วหมื่นลี้กันเล่า ความงามของพวกนางได้สะเทือนไปถึงตงอิ๋น จึงทำให้พวกมันเป็นเหมือนดั่งคางคกที่หวังจะกินเนื้อหงส์ฟ้า จึงได้เสนอออกมาว่า..."

"เสนอว่าอะไร?" ไฟโทสะในใจของหนิงหลงถึงกับโหมกระหน่ำ ในเมื่อปูเรื่องมาขนาดนี้แล้วมันต้องเป็นอย่างที่เขาคิดแน่นอน

"พวกมันได้ยื่นข้อเสนอให้องค์หญิงใหญ่ของต้าเจิ้งเราลดตัวไปอภิเษกสมรสกับจักรพร..."

หนิงหลงฟาดเหยือกสุราลงกับโต๊ะ เสียงดัง เพล้ง! ลั่นสนั่นโรงเตี๊ยม เจ้าเหยือกสุราน้อยแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี "บัดซบ! ไอ้พวกลูกเต่าน้อยมันกลับกล้ามาแตะต้องเมียข้า บิดาจะไปถล่มมารดาพวกมันให้สิ้นซาก"

ในเวลานี้เพื่อประเทศชาติแล้ว ฟู่เทียนซายอมกัดฟันขายบุตรีให้กับปีศาจน้อยตรงหน้า "และยังมีองค์ชายของแคว้นเกาลี่ (เกาหลี) ที่ได้ยลโฉมความงามของธิดาคนเล็กของข้า จึงได้มาเข้าเฝ้าและกราบทูลขออภิเษ-"

หนิงหลงทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เขาได้ชักกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของผู้อาวุโสอวิ๋นมาถือเอาไว้ในมือ พลางลูบไล้คมดาบอย่างทะนุถนอม กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยียบว่า "กระบี่ในมือข้ายามนี้ มันกระหายเลือดเหลือเกิน..."

ฟู่เทียนซาชลอบกำหมัดแน่นดีใจ พร้อมทั้งสุมไฟหนิงหลงเข้าไปอีกว่า "ข้าได้ออกราชโองการไว้แล้วว่า วีรบุรุษหาญกล้าคนใดที่สามารถกำจัดขับไล่พวกตงอิ๋นไปจนหมดสิ้น จะได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ ส่วนใครที่สามารถขับไล่พวกเกาลี่จะได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงเล็ก และที่สำคัญเลย นี่มิใช่การบังคับแต่อย่างใด พวกนางได้ออกมาประกาศกร้าวยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"

หนิงหลงระงับโทสะ ท่องยุบหนอ พองหนอ ในใจช้าๆ เดิมทีเขาคิดว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับการเมืองหรือเรื่องราวทางโลกยุทธภพ เพราะตัวเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น เขาอยากจะใช้ชีวิตแบบปุถุชนธรรมดา ซื้อจวนหรือที่ดินสักแห่งไว้เพาะปลูกทำไร่ไถนา หรือจะค้าขายสิ่งต่างๆ ด้วยประสบการณ์ความรู้ด้านธุรกิจที่ได้รับมาจากครอบครัวตระกูลหนิง ย่อมทำให้เขาไม่ขาดแคลนเรื่องเงิน มันเพียงพอที่จะใช้ชีวิตสบายๆ อยู่กินกับเมียสักยี่สิบสามสิบนางจนแก่เฒ่า

และยังมีเย่ฉุ่ยเหยาที่เป็นยอดฝีมือระดับตัวตึงๆ ในยุทธจักรอีก ถึงแม้ว่าในเพลานี้พวกเขาอาจจะกำลังคบหาดูใจกันอยู่ แต่คาดว่าอีกไม่นานนางคงได้เป็นภรรยาเต็มตัว การที่มีภรรยาทั้งสวยและเก่งแบบนี้ ชีวิตไอ้แมงดาของหนิงหลงก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว!

แต่เรื่องราวบนโลกนี้มันดันเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อนเนี่ยสิ สวรรค์ก็เหมือนจะเป็นใจ พี่ใหญ่ของเขาดันกลายเป็นฮ่องเต้ไปซะได้ อะไรมันจะลงตัวเหมือนว่ามันถูกกำหนดมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น

หนิงหลงทำได้เพียงแต่ยอมรับชะตากรรม ในเมื่อเรื่องราวมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นเขาจะเล่นละครแสร้งเป็นยอดคนไปให้มันสุดเลยละกัน จะปังปุริเย่หรือจะพังพินาศก็แล้วแต่สวรรค์ท่านบันดาลให้แล้ว

"เพราะเหตุอันใดท่านแม่ทัพเจี้ยนถึงกล่าวว่ามั่นใจเพียงเจ็ดส่วน?" ท่วงท่าของหนิงหลงยามนี้ได้เปลี่ยนไป เหมือนดั่งกุนซืออัจฉริยะแล้วเรียบร้อย

"เป็นเรือรบพ่ะย่ะค่ะ" เวลานี้แม่ทัพเจี้ยนชายผู้เป็นเจ้าแห่งท้องทะเลตงไห่ถึงกลับรู้สึกจนด้วยเกล้า และกล่าวต่ออีกว่า "เรือรบของพวกตงอิ๋นนั้นเหมือนดั่งป้อมปราการเคลื่อนที่กลางทะเลยากที่จะทำลายมันลงได้"

แม่ทัพเจี้ยนจึงได้เริ่มอธิบายรูปร่างลักษณะเรือรบของชาวตงอิ๋นให้พวกหนิงหลงฟัง เรือรบของชาวตงอิ๋นนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ที่มีป้อมปราการสี่เหลี่ยมที่ยกสูงตั้งอยู่ด้านบนและยังสามารถบรรจุผู้คนได้มากถึงสี่สิบกว่าชีวิต ส่วนตัวเรือนั้นขับเคลื่อนด้วยแรงพาย ไร้ซึ่งใบเรือ

จากคำอธิบายและรายละเอียดต่างๆ จึงทำให้หนิงหลงสรุปออกมาได้ทันทีว่า ในโลกยุคที่เขาอยู่ตอนนี้ การรบทางเรือมีเพียงแค่ขนาดที่ใหญ่สามารถจุคนได้เยอะ และอาวุธระยะไกลมีเพียงแค่การยิงธนูไฟใส่กันเท่านั้น ยังไม่มีปืนใหญ่บนเรือ อาจเป็นเพราะว่าบนโลกนี้ยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดินปืนเกิดขึ้น

ด้วยป้อมกราการที่ยกสูงและจุคนได้เยอะนี่แหละ จึงทำให้กองเรือของต้าเจิ้งยากที่จะบุกตีแตก พวกเขายังไม่มีปืนใหญ่พิฆาตหรือเรือสำเภาจีนอันเลื่องชื่อ เรือที่พวกเขาใช้ยังเป็นแค่เรือใบ ถึงจะมีจำนวนมากมายหลายพันลำ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะจำนวนที่มากกว่าหลายเท่า พวกเขาจะไปต้านปราการแห่งท้องทะเลของชาวตงอิ๋งได้อย่างไรกัน?

หนิงหลงครุ่นคิดสักครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาว่า "เรือรบของพวกตงอิ๋นมีจำนวนเท่าใดกัน?"

"ราวสามร้อยลำพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพเจี้ยนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเคร่งขรึม

"แล้วถ้าเกิดว่าพวกท่านสามารถขึ้นไปเดินเล่นบนเรือของชาวตงอิ๋นได้ละ ท่านจะมีความมั่นใจในศึกนี้กี่ส่วน?" หนิงหลงยิ้มอย่างมีเลศนัย

"ทะ...ท่านมีวิธี?" แม่ทัพเจี้ยนที่ได้ยินเช่นนั้น เขามองไปที่อ๋องจอมปลอมตรงหน้าด้วยท่าทีที่ไม่อยากจะเชื่อ

กล่าวได้ว่าหนิงหลงนั้นพูดได้ตรงจุดถึงปัญหาของพวกเขา สาเหตุที่แม่ทัพเจี้ยนไม่มีความมั่นใจถึงสิบส่วน เพราะพลทหารธรรมดาไม่มีวรยุทธ์เพียงพอที่จะกระโดดขึ้นไปบนเรือของชาวตงอิ๋นได้นั้นเอง พวกเขาทำได้แค่รอให้เรือเทียบกันเท่านั้น

แต่กว่าเรือของพวกเขาจะเทียบกันได้นั้น เรือใบน้อยของชาวต้าเจิ้งก็ถูกเรือรบของชาวตงอิ๋นพุ่งชนถล่มราบแล้ว

ยิ่งถิ่นอาศัยของชาวตงอิ๋นมีลักษณะภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะด้วยแล้ว การรบทางน้ำโดยใช้เรือพวกเขาย่อมมีความชำนาญและเชี่ยวชาญมากกว่า

"เกรงว่าพูดคุยที่นี่คงจะไม่เหมาะเท่าใด" หนิงหลงหันไปมองรอบๆ โรงเตี๊ยม

ถึงแม้ว่าผู้คนจะถูกไล่ออกไปแล้ว แต่เกรงว่าการปิดโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นสถานที่สาธารณะเช่นนี้เป็นระยะเวลานาน ย่อมตกเป็นเป้าสายตา ดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย

"เช่นนั้น พวกเราไม่ไปคุยกันที่จวนเจ้าเมืองของนังหนูนี่ละ?" เย่ฉุ่ยเหยาส่งยิ้มยั่วยวนให้กับต่งซานซานที่กำลังนั่งเงียบเป็นอากาศธาตุ

เมื่อต่งซานซานได้ยินว่าพวกเขาจะไปประชุมพูดคุยกันที่จวนเจ้าเมือง นางจึงรีบลุกขึ้นพร้อมนำทางให้พวกเขาอย่างไม่รีรอ

คณะของพวกหนิงหลงจึงได้เดินทางไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อที่จะวางแผนรับมือกับพวกตงอิ๋น