webnovel

เพียงชั่วพริบตา แต่กลับรู้สึกยาวนานชั่วกัลป์

เมืองสมุทรสยบบูรพา, ตำหนักเจ้าเมือง ห้องประชุมลับ

ภายในห้องลับแห่งนี้มีเพียงแค่ตัวตนที่เป็นระดับรุ่นใหญ่รุ่นโต๋เท่านั้น

"ท่านคิดว่าแผนการนี้เป็นไปได้หรือไม่" หนิงหลงเอ่ยขึ้นช้าๆ จิบน้ำชาให้ชุ่มคอ

เวลานี้หนิงหลงรู้สึกลำคอแห้งผาก เพราะเขาต้องอธิบายแผนการต่างๆ ให้กับพวกฟู่เทียนซาฟังเป็นระยะเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม

แม่ทัพเจี้ยนหลับครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง คิ้วของขมวดแน่นไปมา ผู้คนในห้องต่างนั่งเงียบนิ่งงัน รอยคอยแม่ทัพเจี้ยน

"เป็นอย่างไรบ้าง?" ฮ่องเต้เจิ้งหยวนช่างตรัสถามด้วยความกังวลพระทัย

"แผนการอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ท่านอ๋องบัญชาอย่างแท้จริง" แม่ทัพเจี้ยนสูดหายใจลึก และเอ่ยต่อว่า "ถ้าแผนการนี้สำเร็จ ต่อให้เป็นปราการทางทะเลของที่เลื่องลือ สุดท้ายจะต้องสิ้นชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย"

"เช่นนั้นแล้ว..." ดวงเนตรทั้งสองของฮ่องเต้เจิ้งหยวนช่างประกายจ้า จับจ้องมองแม่ทัพเจี้ยน

"ศึกนี้พวกตงอิ๋นจะต้องปราชัยอย่างไม่ต้องสงสัย!" แม่ทัพเจี้ยนยิ้มกล่าวอย่างมั่นใจ

"ท่านจงไปเตรียมตัว พร้อมถ่ายทอดแผนการนี้ออกไป" ฮ่องเต้เจิ้งหยวนช่างยิ้มสรวล

"พ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพเจี้ยนตอบรับคำในทันที

"ช้าก่อนท่านแม่ทัพ" หนิงหลงที่เห็นว่าแม่ทัพเจี้ยนเตรียมที่จะออกจากห้องประชุม เขาจึงได้รีบกล่าวห้ามเอาไว้ก่อน

เวลานี้ สายตาของผู้คนในห้องประชุมต่างจับจ้องมองไปที่หนิงหลงด้วยความใคร่รู้

"ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีรับสั่งอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?" แม่ทัพเจี้ยนแสดงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม เวลานี้ในใจเขาเลื่อมใสบุคคลตรงหน้าอย่างหาที่สุดมิได้

"กำแพงมีหู ส่วนประตูนั้นมีช่อง" หนิงหลงกวาดสายตามองผู้คนในห้องประชุม กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า "ถ้าเช่นนั้นจะว่าอย่างไร? ถ้าเกิดว่ามีสายลับของพวกตงอิ๋นหรือเกาลี่แฝงตัวอยู่ในกองทัพต้าเจิ้งเรา?"

ร่างกายของทุกคนในห้องถึงกับเหงื่อเย็นไหลพรั่งพรูออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของหนิงหลง ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ถูกแผนการที่น่าเหลือเชื่อของหนิงหลงทำให้ตกใจจนหลงลืมกันไปเลยว่า ถ้าเกิดว่าแผนการนี้ได้รั่วไปถึงหูของศัตรูแล้ว เกรงว่ามันคงจะไม่มีทางสำเร็จเป็นแน่

เพราะแผนการที่เหมือนลิขิตสวรรค์นี่มันสามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เป็นการตัดสินชี้เป็นชี้ตายถึงความสำเร็จและล้มเหลว

ฟู่เทียนซาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง และกล่าวกับหนิงหลงว่า "เจ้าพอจะมีแผนรับมือพวกมันหรือไม่?"

"No problem Bro!" หนิงหลงยิ้มรับอย่างมั่นใจ "การจะเปิดเผยพวกสายลับที่แฝงตัวมานั้น มันหาได้ยากอย่างที่พวกท่านคิด"

สำหรับภาษาอังกฤษที่หนิงหลงพูดออกมานั้น พวกเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ภายในใจพวกเขาต่างคิดกันเป็นเสียงเดียวว่าคงเป็นภาษาของเหล่าเซียนหรือภาษาเทพก็เป็นได้

ในความคิดของพวกเขานั้น คนระดับหนิงหลงคงไม่พูดอะไรที่ไร้สาระออกมาแน่นอน ประโยคที่หนิงหลงพูดออกมา มันจะต้องมีอะไรแฝงอยู่เป็นแน่ และอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการจับสายลับชาวตงอิ๋นที่กำลังแฝงตัวอยู่ก็ได้

...

เมืองสมุทรสยบบูรพา, กองบัญชาการฐานทัพเรือราชวงศ์เจิ้ง!

พื้นที่ว่างรอบๆ สนามซ้อมรบนี้ หนาแน่นไปด้วยไพร่พลนับหมื่นจนทำให้มืดฟ้ามัวดิน ตรงด้านหน้าของพวกเขามีปะรำพิธีขนาดมหึมาสูงราวสามถึงสี่จั้ง กว้างยาวแต่ละด้านยี่สิบจั้ง

ตามปกติแล้วด้วยขนาดที่กว้างใหญ่นี้สามารถรองรับผู้คนได้มากมายหลายสิบชีวิต ทว่าเวลานี้บนปะรำพิธีกลับมีคนอยู่ไม่ถึงสิบ ซึ่งก็คือพวกหนิงหลงนั้นเอง

"ทูลท่านอ๋อง กองทัพเรือต้าเจิ้งตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงระดับรองแม่ทัพได้มารวมตัวครบตามบัญชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพเจี้ยนโค้งคำนับทีหนึ่งอย่างนอบน้อม

หนิงหลงยืนมือไขว้หลัง มองวนดูกองทัพเบื้องหน้า อมยิ้มและกล่าวว่า "ท่านแม่ทัพเจี้ยน กล่าวสั่งให้พวกเขาทั้งหมดหมอบลง"

"หมอบ!" แม่ทัพเจี้ยนคำรามลั่นสั่นสะเทือนฟ้าดินทีหนึ่ง

เมื่อเหล่าทหารกล้าได้ยิน พวกเขาล้วนหมอบกระแตฟุบลงกับพื้นนิ่งเงียบไม่ไหวติง

ภายใต้เสียงของแม่ทัพเจี้ยนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเก้าแล้ว แม้แต่เหล่าทหารกล้าที่ผ่านศึกกันมาอย่างโชกโชนยังต้องใจหายใจคว่ำ รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งในใจ

ภายในใจลึกๆ ของหนิงหลงกลับรู้สึกว่าเหตุการณ์ตรงหน้ามันเดจาวู คลับคล้ายคลับคลากับตอนที่เขาเรียนรด. เลยอย่างไรอย่างนั้น

"ลุกขึ้น! (ภาษาญี่ปุ่น) " ไม่ทันให้เหล่าทหารได้ตั้งตัว หนิงหลงร้องคำรามเสียงยาวทีหนึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่น

แม้เสียงของเขาจะสู้แม่ทัพเจี้ยนไม่ได้ แต่มันก็ดังเพียงพอที่จะทำให้ทหารนับหมื่นที่นอนหมอบเหมือนดักแด้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง

หลังจากที่สิ้นเสียงของหนิงหลงก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งพากันลุกขึ้นยืนตรงดัง พรึบ! อย่างไม่ลังเล ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกพลังอำนาจของแม่ทัพเจี้ยนครอบงำสร้างความหวาดหวั่นไปแล้ว

พอมาคราวนี้ได้ยินคำสั่งของหนิงหลงที่สั่งไล่ตามมาอย่างต่อเนื่อง มันจึงทำให้พวกเขาไม่ทันได้ฉุดคิด ร่างกายของพวกเขาก็ได้ตอบสนองกันไปเองแล้ว

ทันใดนั้นเอง เย่ฉุ่ยเหยาพลันสะบัดกระบี่ในฝักด้วยความไวชนิดที่ว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ชัดว่านางลงมืออย่างไร กระทั่งแม่ทัพเจี้ยนที่อยู่ระดับเก้ายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเย่ฉุ่ยเหยาได้ลงมือตอนไหน มีเพียงฟู่เทียนซาและอวิ๋นซางที่อยู่ระดับเดียวกันเท่านั้นที่รู้ว่านางได้สะบัดกระบี่ออกไป

จังหวะที่หนึ่งกระบี่ของนางฟาดฟันออกมานั้น สัญชาตญาณของกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่ พวกเขารับรู้ได้ถึงอันตราย แต่ทว่า ทุกอย่างมันช้าเกินไปและไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว เนื่องจากคมกระบี่ของเย่ฉุ่ยเหยาได้ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว

หนึ่งกระบี่ที่นางได้ฟาดฟันออกมานั้น ทุกสิ่งภายใต้คมกระบี่ถูกกำหนดไว้แล้ว นี่เป็นกระบี่ที่รวดเร็วที่สุดในหล้า เป็นกระบี่ที่ถูกปล่อยออกมาจากผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ยุทธ์

เสียงดัง ตุบ ๆ แต่ละเสียงดังขึ้นไม่ขาดสาย หนึ่งกระบี่ของนางนั้นได้สะบั้นศีรษะของกลุ่มคนที่ลุกยืนขึ้นมา อีกทั้งกระบี่กระบวนท่านี้มันยังรวดเร็วจนผู้ที่ถูกตัดคอไปแล้วยังไม่ทันรู้สึกตัวกันเลยด้วยซ้ำ

หนึ่งกระบี่ที่รวดเร็วจนไม่สามารถเปรียบเปรยได้ มันเป็นความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์และยังสามารถตัดคอผู้คนนับร้อยที่อยู่ห่างกันไปตั้งหลายร้อยจั้งในพริบตาเดียว

ยามที่ศีรษะของพวกเขากำลังตกลงบนพื้นกลิ้งเป็นลูกขนุนนั้น พวกเขายังสามารถมองเห็นร่างของตนที่ยืนตระหง่าน และเมื่อได้เห็นร่างกายของตนแล้ว พวกเขาต้องการที่จะส่งเสียงร้องออกมา แต่พวกเขาทำได้แต่อ้าปากกว้างไม่มีเสียงหลุดออกมาแม้แต่นิดเดียว ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะหยุดไปจบที่ภาพสุดท้ายของชีวิต นั้นก็คือข้อเท้าของตนเอง

หลังจากนั้นไม่นานร่างของศพไร้หัวก็ได้ล้มลงร่วงหล่นกันระนาว เลือดสดๆ ไหลนองจนพื้นดินแดงฉาน

ครั้นเหล่าทหารนับหมื่นที่กำลังนอนหมอบได้สติคืนกลับมา ถึงกับหนาวสะท้านขนลุกซู่ชูตั้งไปทั่วตัว กระทั่งมีบางส่วนถึงกับอาเจียนออกมา และถูกกลิ่นคาวเลือดที่โชยมาแตะจมูกทำให้คลื่นไส้ แม้แต่น้ำดียังสำรอกออกมา

หนิงหลงยืนมือไพล่หลังเหยียดร่างตรงดุจเขาไท่ซาน รับชมเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยไม่แยแส

เมื่อกลุ่มคนที่ยืนอยู่ข้างกายได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของหนิงหลงแล้ว ต่างพากันลอบชื่นชมในใจ เพราะขนาดตัวพวกเขาเองยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ส่วนทางด้านเจ้าเมืองต่ง นางได้เป็นลมล้มพับหมดสภาพไปแล้วเรียบร้อย

นางมารสวรรค์ เย่ฉุ่ยเหยา หาได้เป็นพวกคนประเภทชื่อเสียงจอมปลอม ในเวลานี้นางได้สำแดงให้เห็นแล้วว่า เจ้าลัทธิมารผู้ที่สามารถสร้างความโกลาหลไปทั่วเจียงหูได้เป็นเช่นไร

เย่ฉุ่ยเหยาหัวเราะคิกคัก นางลอบมองหนิงหลงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยสิเน่หา การที่นางลงมือโหดเหี้ยม เฉียบขาด ไร้ความปรานีเช่นนี้แล้ว ทางด้านหนิงหลงยังคงมีใบหน้าที่ไร้อารมณ์ดูไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพวกเขาหารู้ไม่ว่า สาเหตุที่หนิงหลงยืนนิ่งไม่ขยับและมีใบหน้าที่เรียบเฉยไม่แม้แต่คิ้วขมวดหรือหนังตาไม่กระตุก นั่นก็เพราะหนิงหลงเขาไม่ได้รู้สึกไม่แยแสกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือมีหนังหน้าที่ด้านหนาแต่อย่างใด

เพียงแต่ว่าตอนนี้หนิงหลงได้สติหลุดวิญญาณออกจากร่างไปแล้วเรียบร้อย ร่างของหนิงหลงที่พวกเขากำลังมองและชื่นชมอยู่นั้น มันเป็นเพียงแค่กายหยาบเท่านั้น ส่วนทางด้านวิญญาณของหนิงหลงในเวลานี้ กำลังเล่นเกมลงแรงค์กับท่านยมบาลอยู่ในปรภพ