webnovel

อ๋องมังกรนิรันดร์กาลออกศึกมหรรณพ (ตอนจบ)

กองทัพต้าเจิ้งที่กำลังผุดขึ้นมาจากน้ำเหมือนดอกเห็น ไล่เข่นฆ่าตัดศีรษะศัตรูเหมือนเกี่ยวข้าว ยามที่พวกเขาแกว่งดาบ เห็นหัวแต่ละหัวที่ลอยขึ้นพร้อมกับศพที่ล้มตัวลงไป เลือดสดๆ พวยพุ่งขึ้นฟ้าและตกลงมาเหมือนสายฝน

ในเวลานี้ กองเรือรบของชาวตงอิ๋นก็ถูกบุกโจมตีจนวุ่นวายไปหมด หลังจากนั้นไม่นานกองทัพเรือต้าเจิ้งนับพันที่อยู่เบื้องหลังก็ตามเข้ามาสมทบ

พวกเขาคิดจะตีโต้ศัตรูกลับไป แต่ว่า ภายใต้การบุกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวของต้าเจิ้งก่อนหน้า ทำให้แนวป้องกันและการโจมตีของพวกเขาถูกทำลายจนยับเยินป่นปี้

ถ้าเปรียบเทียบเรื่องคุณภาพฝีมือและปริมาณของทหารแล้ว ทางฝั่งชาวตงอิ๋นเป็นรองมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาได้เปรียบตรงที่มีเรือรบไร้เทียมทานยากต่อการโจมตีเท่านั้น นักรบที่อยู่บนเรือถือว่าเป็นคนละชั้น คู่ต่อสู้ที่ดูสมน้ำสมเนื้อต้องเป็นกลุ่มนักรบแห่งแดนอาทิตย์อุทัยที่อยู่บนเกาะ ไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้!

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น กองเรือสุดเกรียงไกรของตงอิ๋นถูกเข่นฆ่าสิ้นพลันล่มสลาย ทหารบางคนกระโดดลงน้ำหนี แต่ยังไม่ทันว่ายหนีไปไกล ทหารต้าเจิ้งที่อยู่บนเรือก็สาดลูกธนูใส่ไม่ยั้ง

กำลังรบของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน กองเรือที่เป็นดั่งป้อมปราการถูกตีแตกในพริบตาเดียว มันเป็นการเข่นฆ่าที่ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว เหล่าทหารกล้านักรบชาวตงอิ๋นยังไม่ทันได้รับรู้เลยว่าพวกเขานั้นพ่ายแพ้การรบได้อย่างไร พวกเขาถูกสังหารสิ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว คุณงามความดีครั้งนี้ ต้องยกให้แผนการมนุษย์กบของหนิงหลงเลย

หนิงหลงได้วางแผนการไว้ว่าจะให้ตัวเขาเป็นจุดเด่น ดึงดูดสายตาของผู้คนเอาไว้ เพื่อให้ทหารที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่ขึ้นไป ลอบแอบดำน้ำ ว่ายไปรอกันอยู่บริเวณใต้ท้องเรือรบของชาวตงอิ๋น และการปล่อยดาบลงสู่ท้องทะเลก็เป็นเหมือนสัญญาณให้พวกเขาพุ่งขึ้นมาจากน้ำเข้าโจมตีทหารบนเรือแบบทีเผลอ

การว่ายน้ำดำน้ำข้ามทะเลเป็นระยะหลายสิบลี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่ขึ้นไป และในท้องทะเลมหาสมุทรก็ไม่ได้มีพวกสิ่งมีชีวิตประหลาดหรือสัตว์อสูรเหมือนในนิยายเทพเซียน อย่างมากสุดก็แค่ฉลามเท่านั้น แต่พวกฉลามตัวน้อยจะไปสู้กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยได้อย่างไรกัน?

ยิ่งเรือรบของชาวตงอิ๋นที่มีขนาดมหึมารวมถึงการเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ของหนิงหลงด้วยแล้ว ทำให้ไม่มีใครสังเกตกองทัพมนุษย์กบที่พากันแหวกว่ายอยู่ใต้ท้องทะเลเลยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าแผนการที่ว่ามาทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้นั้น พวกเขาต้องเป็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น ถ้าให้ปุถุชนคนธรรมดามาทำอะไรแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ ต่อให้พวกเขาจะเป็นถึงนักกีฬาว่ายน้ำระดับโอลิมปิกหรือหน่วยรบพิเศษก็ตามที

"อ๊าก!!!" เสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาดังก้อง รองแม่ทัพใหญ่ในชุดเกราะซามูไรสีน้ำเงินถูกฟู่เทียนซาใช้กระบี่จ้านหลูแทงทะลุหัวใจจนเสียชีวิต เลือดสดๆ ไหลอาบคมดาบที่ดำสนิท หยดลงพื้นติ๋งๆ ทีละหยด

"ยาเมเตะ!!!!!!!" แม่ทัพใหญ่ชุดเกราะซามูไรสีแดงมองเห็นรองแม่ทัพใหญ่ของตนถูกตรึงสังหาร มันถึงกับต้องร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ

ชาวเมืองสมุทรสยบบูรพาที่อยู่ห่างออกไปต่างรู้สึกสะเทือนหวั่นไหว และเหม่อลอยจนไม่ได้สติกลับมา เมื่อเห็นกองเรือรบชาวตงอิ๋นถูกบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียว ไร้ซึ่งหนทางโต้กลับ ศึกสงครามครั้งนี้ช่างง่ายดายต่างจากที่คิดเอาไว้เหลือเกิน

"เจ้าเดรัจฉานน้อย!" แม่ทัพใหญ่ชุดเกราะซามูไรสีแดงหันจ้องเขม็งไปที่หนิงหลงด้วยความโกรธ ร้องเสียงอันดังออกมาว่า "ข้าจะถลกหนังของเจ้า ดื่มเลือดของเจ้า และกินเนื้อของเจ้า"

"แล้วยังไง?" หนิงหลงยิ้มปั้นยิ้มเหยเก กล่าวยั่วยุออกไปว่า "ข้าได้เตือนท่านแล้ว ว่าอย่าให้ข้าได้ลงมือ ยามที่ข้าได้ลงมือข้ายังกลัวตัวเอง ในเมื่อท่านกล้าเป็นศัตรูกับข้า แม้แต่พุทธองค์ข้าก็สังหารไม่ละเว้น!"

"ตาย!!!" สีหน้าภายใต้หน้ากากซามูไรดำคล้ำ คำรามเสียงดังพร้อมออกกระบวนท่าที่ทรงอานุภาพมากที่สุดในชีวิตตนออกมา สำแดงวิชาดาบนักรบแดนอุทัยที่เลื่องลือ

ในขณะที่หนิงหลงกำลังยืนรอรับความตาย ทันใดนั้นร่างอรชรเพรียวบางได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า มือขาวเรียวข้างหนึ่งสะบัดกระบี่ต้านรับ

เสียง ชวิ้ง! ดังสนั่น ดาบคาตานะได้ปะทะซึ่งหน้ากับกระบี่ สะเก็ดไฟแตกกระจาย ด้วยอานุภาพที่ทำลายฟ้าดินของผู้ใช้กระบี่ที่มีระดับเหนือกว่า ทำให้แม่ทัพใหญ่ชาวตงอิ๋นกำดาบไม่อยู่ ถูกกระแทกจนหลุดมือไปทันที

จังหวะที่ดาบคาตานะถูกกระแทกหลุดจากมือไปนั้น กระบี่ในมือของเย่ฉุ่ยเหยาได้ฟาดฟันลงมา หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมาทำให้ฟ้าดินอับแสง กาลเวลาถูกทำลาย ภายใต้หนึ่งกระบี่นี้ต่อให้เป็นระดับปรมาจารย์ยุทธ์ก็ต้องมอดม้วย นับประสาอะไรกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับเก้า

คมกระบี่ได้สะบั้นผ่าร่างแม่ทัพใหญ่ชาวตงอิ๋นออกเป็นสองซีก แม้ก่อนตายแม่ทัพใหญ่ชาวตงอิ๋นผู้นี้ก็ไม่เชื่อว่านี้จะเป็นจุดจบของมัน ดวงตาทั้งสองที่เบิกโพลงบ่งบอกว่าไม่เต็มใจที่เป็นเช่นนี้

"ผู้ใดรังแกสามีของข้า ฆ่าไม่ละเว้น!" เสียงที่เยือกเย็นของเย่ฉุ่ยเหยาดังขึ้น เสียงเยือกเย็นของนางทำให้ผู้ที่ได้ยินแล้วต้องหวาดผวายิ่งนัก

ในเวลานี้ ทั่วทั้งบริเวณสมรภูมิเงียบสงบ ได้ยินเพียงแค่เสียงคลื่น บรรดาทหารชาวตงอิ๋นที่มองเห็นแม่ทัพใหญ่ของพวกมันถูกสังหารลงเหมือนหันปลาภาพนี้แล้ว ถึงกับร่างสั่นเทิ้มรู้สึกขนลุกซู่ในใจ รู้สึกเสียวสันหลังเย็นวาบ

ทันใดนั้น ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางผู้คนว่า "อ๋องมังกรนิรันดร์กาล ชื่อเสียงเลื่องลือไม่มีสูญสิ้นตราบนิรันดร ไร้ผู้ต่อกรทั่วสิบทิศ!"

เหล่าทหารในสมรภูมิได้ยินเช่นนั้น พวกเขาจึงได้พากันพูดต่อตามๆ กันเป็นทอดๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่สอง เสียงที่สามดังขึ้นตาม จนกลายเป็นการเปล่งเสียงโห่ร้องอันดังสะท้านก้องฟ้าดินออกมา

"อ๋องมังกรนิรันดร์กาล ชื่อเสียงเลื่องลือไม่มีสูญสิ้นตราบนิรันดร ไร้ผู้ต่อกรทั่วสิบทิศ!" เมื่อเหล่าชาวเมืองที่อยู่บนป้อมปราการได้ยิน พวกเขาต่างหมอบกราบและเปล่งเสียงอันดังออกมา

หนิงหลงยืนไขว้หลังบนเรือน้อย แหงนหน้ามองดูท้องฟ้า ท่วงท่าดูหนักแน่นจริงจัง สายตาส่งประกายน่าเกรงขาม

ในความเป็นจริงแล้ว หารู้ไม่ว่าหนิงหลงกำลังยืนเก๊กหล่อเก็บทรงอยู่ต่างหาก

"สามี ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?" เย่ฉุ่ยเหยาจับมือหนิงหลงแน่นพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน

"ข..ข้าสบายดี!" หนิงหลงกล่าวระคนหัวเราะ ยามนี้มันหวาดกลัวรอยยิ้มที่อ่อนโยนของนางมารตรงหน้าไม่น้อย "แค่พวกตัวประกอบที่โผล่มาสองสามบทเท่านั้น นี่ถือว่าข้าเมตตาพวกมันมากแล้ว ถ้าเกิดว่าข้าเป็นคนลงมือเอง พวกมันคงมีบทไม่ถึงครึ่งตอน"

เย่ฉุ่ยเหยาฟังจนรู้สึกขบขัน ดึงหนิงหลงเข้ามาโอบกอด พลางกระซิบว่า "อย่าได้พูดจาเหลวไหล ด้วยวรยุทธ์ของเจ้าแล้ว ไปทะเลาะต่อยตีกับคนหากทำให้ตนเองบาดเจ็บแล้วจะทำเช่นไร?"

เวลานี้ หนิงหลงถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก หวาดกลัวขนลุกพองขึ้นมา รู้สึกเหมือนเย็นวาบที่ลำคอ คำพูดของเย่ฉุ่ยเหยาประดุจดั่งดาบยาวที่พาดอยู่บนคอของเขาอย่างนั้น

"คิดว่าพวกข้าไม่ทราบกันหรือว่าเจ้ามิใช่ผู้ฝึกยุทธ์?" เย่ฉุ่ยเหยายิ้มอย่างมีเลศนัย

"ไปละจู้~" หนิงหลงแสร้งทำเป็นสติเลอะเลือน เมื่อได้จังหวะจึงกระโดดลงทะเลดำน้ำหนีหาย

แต่มีหรือที่ตัวเขาจะสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ยุทธ์ไปได้? ช่างเป็นเรื่องเพ้อฝัน!

คนหนึ่งว่ายน้ำตะเกียกตะกาย คนหนึ่งนั่งเรือลอยตามหลังติดไม่ห่างสบายใจเฉิบ ภาพของคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันรักใคร่ หยอกล้อท่ามกลางสมรภูมิศึก เลือดที่หลั่งไหลมิใช่สีแดงฉาน แต่กลับเป็นสีชมพูหวานพริ้ม ดูแล้วชวนหมั่นไส้อิจฉาไม่น้อย

ชาวตงอิ๋นที่ยังคงรอดชีวิตจากสมรภูมิดูจะเหลือน้อยลงไปทุกที เลือดสดๆ ไหลนองย้อมน้ำทะเลจนกลายเป็นสีแดง ศพแต่ละศพที่ลอยฟ่องอยู่บนทะเลตงไห่

กองทัพเรือต้าเจิ้งได้ลายล้างกองเรือรบชาวตงอิ๋นจนราบคาบภายในครึ่งค่อนวัน กองเรือที่ถูกขนานนามในน่านน้ำนี่ว่าเป็นปราการไร้พ่าย ถูกลบชื่อออกไปจากทะเลตงไห่นับแต่นี้เป็นต้นไป

ก่อนหน้านี้ตงอิ๋นส่งกองเรือรบเพื่อบุกเข้ามาปราบปรามต้าเจิ้ง กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว พกพาเอาความมั่นใจเต็มเปี่ยม ขวัญทหารดีเยี่ยม

ในความคิดพวกเขาแล้ว การทำลายกองทัพเรือต้าเจิ้งไม่ต่างไปจากขี่รถบรรทุกสิบล้อพุ่งชนมอเตอร์ไซค์เวฟร้อย ด้วยความมั่นใจในการออกศึกนี่แหละ ทำให้พวกเขามีเลือดในกายที่เดือดพล่าน รอคอยเวลาได้รับชัยชนะกลับไป

แต่แล้ว พวกเขากลับถูกหนิงหลงดับฝันและนึกไม่ถึงว่า การยกทัพเดินทางไกลไปปราบปรามในครั้งนี้ จะกลายเป็นการศึกครั้งสุดท้ายของพวกเขา

พวกเขานึกไม่ถึงว่ากองเรือไร้เทียมทานของพวกตนไม่เพียงทำลายกองทัพเรือต้าเจิ้งไม่ได้ ตรงกันข้าม เป็นพวกเขาเองที่ถูกแผนการที่แสนธรรมดาของหนิงหลงบดขยี้ทำลายย่อยยับ

"ยินดีกับท่านด้วยฝ่าบาท ยามนี้แผ่นดินต้าเจิ้งได้ปรากฏสุดยอดอริยบุคคลขึ้นแล้ว" อวิ๋นซางเดินมาเคียงข้างฟู่เทียนซา เอ่ยกล่าวแสดงความยินดี

ฟู่เทียนซาถึงกับหัวเราออกมาลั่น กล่าวว่า "ต้าเว่ยก็ดี จะเกาลี่ จะตงอิ๋นก็ช่าง หรือป็นพวกเหม่งแซกับตองอูที่อยู่ด้านล่าง รวมถึงชนเผ่านอกด่าน หากพวกมันยังคงคิดว่าตนนั้นปราศจากผู้ต่อกรล่ะก็ เดี๋ยวเราจักส่งน้าผู้ใหญ่หนิงหลง หัวเรือต้าเจิ้งลงไปเล่นกับพวกมันเอง!"