webnovel

ฉางอัน ข้ามาแล้ว!

บนท้องถนนที่ทอดยาวมีรถม้าคันหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากไม้แบบลวกๆ แต่สภาพของมันกลับดูแข็งแรงและสามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา

เจ้ารถม้าคันนี้มันเดินด้วยความเร็วที่เหมาะสม ไม่ช้าหรือว่าเร็วเกินไป

ยามที่รถม้าขับเคลื่อนไปบนท้องถนนที่ขรุขระนั้น มันไม่เกิดการกระทบกระแทกเหมือนกับรถม้าทั่วๆ ไป ราวกับว่าพวกเขากำลังขี่เมฆอยู่อย่างไรอย่างนั้น

หนิงหลงนอนหลับอย่างสบายใจสบายอารมณ์ ในทางกลับกัน ยอดฝีมือทั้งสามอดไม่ได้ที่จะมองหนิงหลงด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ

เจ้าสารเลวน้อยของพวกเขากำลังหลับอยู่จริงๆ เจ้าหนูคนนี้มันไม่ระมัดระวังตัว ไม่กลัวว่าจะถูกโจรปล้นหรือพบเจอเหตุการณ์อันตรายเลยแม้แต่น้อย

พวกเขานั้นต่างทราบกันดีว่าหนิงหลงไร้ซึ่งวรยุทธ์และกำลังภายใน เป็นปุถุชนธรรมดาที่แค่หยิบดาบขึ้นมาแกว่งยังไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ เป็นแค่เพียงไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา เหตุการณ์ก่อนหน้านี้พวกเขาแกล้งทำเป็นเลอะเลือนและเล่นสนุกไปตามบทกับหนิงหลงก็เท่านั้น

หลังจากสงครามได้จบลง หนิงหลงและยอดฝีมือทั้งสามก็พากันเดินทางออกจากเมืองสมุทรสยบฟ้าเพื่อไปยังเมืองหลวงทันที

กลุ่มของหนิงหลงใช้ระยะเวลาเพียงสามวันในการเดินทางจากเมืองสมุทรสยบฟ้าไปถึงเมืองหลวงฉางอัน

ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว พวกเขาจะต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางราวๆ หนึ่งถึงสองอาทิตย์ และนี่ต้องยกให้เจ้ารถม้าจักรกลที่ผู้อาวุโสอวิ๋นใช้สถานะเจ้ายุทธจักรไปกดดันเอามาจากตระกูลถัง

รถม้าจักรกลตระกูลถัง ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูธรรมดาดาษดื่น ลักษณะไม่ได้ดูหรูหราเวอร์วังอลังการเหมือนรถม้าของตระกูลที่มั่งคั่ง แต่ประสิทธิภาพของมันต้องบอกเลยว่า ใต้หล้านี่ยากหาที่เปรียบ

ส่วนที่นั่งเคยได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น แต่ส่วนที่มันพิเศษจริงๆ คือ มันขับเคลื่อนด้วยม้าเพียงตัวเดียว แต่เจ้าม้าตัวนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นม้าจักรกลตามชื่อของมัน เพียงแค่คนขับอัดลมปราณใส่ เจ้าม้าจักรกลตัวนี้ก็สามารถขับเคลื่นได้แล้ว ยิ่งลมปราณเข้มข้นและมากเท่าใด ประสิทธิภาพของมันก็ดีขึ้นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

การที่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ยุทธ์ คอยผลัดเปลี่ยนกันกุมบังเหียนรถม้าคันนี้ ทำให้การเดินทางพวกเขาเหมือนเหาะเหินเดินอากาศ ข้ามน้ำข้ามภูเขาสามารถมาถึงเมืองหลวงฉางอันได้ภายในสามวัน!

เมื่อได้ยินเสียงครึกครื้นของผู้คนบนท้องถนน หนิงหลงจึงลืมตาขึ้นมาพร้อมเอ่ยว่า "พวกเรามาถึงกันแล้วหรือ?"

"พ้นประตูเมืองตรงหน้าไป" ฟู่เทียนซายิ้มตอบ

เมืองหลวงฉางอันคือเมืองที่ใหญ่ที่สุดของต้าเจิ้ง ท่ามกลางพื้นที่ที่กว้างขวางเป็นร้อยลี้ของฉางอัน มีร้านค้าตั้งเรียงรายกันอย่างหนาแน่น เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าจากทั่วทุกแผ่นดิน กระทั่งมีคำพูดคำหนึ่งในฉางอันที่กล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีสินค้าใดๆ ที่ซื้อหาไม่ได้ ถ้าเจ้าประสงค์สิ่งใด เพียงเดินทางไปฉางอัน!

เมืองฉางอันที่เป็นศูนย์รวมสินค้าจากทั่วทุกพื้นที่จากทุกร้อยชาติพันธุ์ เริ่มตั้งแต่แผงขายสินค้าที่มีราคาหนึ่งอีแปะ จนกระทั่งไปถึงราคาที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน ขอเพียงในกระเป๋ามีทองคำเพียงพอ คิดอยากจะซื้ออะไรก็สามารถหาซื้อได้

จากที่หนิงหลงได้ทราบมาว่าค่าเงินของโลกนี้ถูกแบ่งออกเป็น

100 อีแปะ = 1 เหรียญทองแดง

100 เหรียญทองแดง = 1 เหรียญเงิน

100 เหรียญเงิน = 1 ตำลึงเงิน

1000 ตำลึงเงิน = 1 บัตรเงิน

10 บัตรเงิน = 1 เหรียญทอง

100 เหรียญทอง = 1 ตำลึงทอง

1000 ตำลึงทอง = 1 บัตรทอง

ก่อนหน้านี้หนิงหลงที่เคยคิดจะซื้อจวนส่วนตัวพร้อมกับที่ดิน พวกมันทั้งหมดมีมูลค่ารวมถึงห้าแสนตำลึงทอง ถ้าลองเปรียบเทียบกับมูลค่าเงินในยุคที่หนิงหลงจากมา มูลค่าของจวนหลังนั้นอยู่ที่ห้าร้อยล้านหยวนหรือราวๆ สองพันหกร้อยล้านบาท

สุดท้ายแล้วไม่ว่าหนิงหลงจะทราบรับรู้ถึงมูลค่าของจวนหลังนั้นหรือไม่ ถึงยังไงห้าร้อยล้านหยวนก็เป็นแค่เศษเงินสำหรับหนิงหลงอยู่ดี ในโลกเดิมนั้นหนิงหลงเป็นถึงคุณชายของตระกูลผู้มั่งคั่ง และไหนจะเรื่องที่ตระกูลของเขาสามารถเดินทางข้ามมิติกันเป็นว่าเล่นอีก ไม่จำเป็นต้องพูดถึงปริมาณสมบัติที่พวกเขาได้รับมาเลย

ถึงเมื่อก่อนจะร่ำรวยล้นฟ้ายังไง ทว่าสภาพของหนิงหลงยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปยาจกสักเท่าไหร่ การแต่งกายดูหรูหรา เครื่องประดับแพงเพชรนิลจินดา มูลค่าแพงหูฉี่ แต่ตัวหนิงหลงกลับไม่เงินแม้แต่สักอีแปะเดียว

ถ้าเกิดว่าโลกนี้สามารถสแกนหรือโอนจ่ายได้ คาดว่าหนิงหลงคงเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแล้ว เงินที่อยู่ในบัญชีเรียงยาวมากกว่ายี่สิบหลักและยังมีมากถึงร้อยกว่าบัญชี เป็นศัตรูกับความร่ำรวยอย่างแท้จริง!

เมื่อรถม้าจักรกลของพวกหนิงหลงมาถึงเมืองฉางอันนั้น ย่อมเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย รถม้าจักรกลตระกูลถังนั้นเป็นสุดยอดนวัตกรรมที่ล้ำยุคไปไกลเกินความเข้าใจของโลกโบราณแห่งนี้ ในตอนที่อวิ๋นซางให้คนในนิกายนำมานั้น มันสร้างความประหลาดใจจนถึงขั้นที่หนิงหลงอยากจะไปสอบถามกับตระกูลถังเลยว่า พวกเขาได้เดินทางทะลุมิติมาเหมือนกันใช่หรือไม่?

เส้นทางที่เจ้ารถม้าจักรกลผ่าน ผู้คนบนท้องถนนต่างแหวกออกสองฝั่งไม่กล้าที่จะขวางทาง นั้นก็เพราะผู้ที่ครอบครองรถม้าจักรกลคันนี้ได้ต้องเป็นระดับรุ่นใหญ่รุ่นโต๋หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลถังไม่มากก็น้อย

"ตำหนักของเจ้ายังสร้างไม่เสร็จ ระหว่างนี้เจ้าก็พักอยู่ตำหนักเฟิ่งเทียนกับข้าไปก่อนแล้วกัน" ฟู่เทียนซายิ้มเอ่ยขึ้น

'เฟิ่งเทียน? คารวะฟ้า?' เมื่อหนิงหลงได้ยินชื่อถึงกับขมวดคิ้ว 'ไม่ใช่ว่ามันชื่อเดียวกับตำหนักสมัยราชวงศ์หมิงไม่ใช่เหรอ? ที่มันถูกฟ้าผ่าเกิดเพลิงไหม้ไปหลายรอบ พอสร้างขึ้นมาใหม่ก็ถูกฟ้าผ่าอีก แบบนี้คงไม่ใช่ว่ากำลังนอนอยู่ดีๆ แล้วจะมีฟ้าผ่าลงกลางหัวหรอกนะ?'

"ข้าขอเป็นคนขอออกแบบตำหนักเองได้หรือไม่?" หนิงหลงฉีกยิ้มกว้าง สำหรับตำหนักของเขาที่กำลังจะถูกสร้างขึ้น หนิงหลงอยากเป็นผู้ออกแบบเอง

บ้านเรือนของยุคสมัยนี้มีลักษณะที่ดูโบราณ ซึ่งมันไม่เข้ากับวัยรุ่นเทสดีอย่างหนิงหลงเลยแม้แต่น้อย ด้วยความรู้ด้านต่างๆ ที่เขาได้ไปร่ำเรียนกับพ่อที่ฮาวาย หนิงหลงมีความสามารถเพียงพอที่จะสร้างตำหนักของเขาให้เป็นแบบพูลวิลล่าได้อย่างไม่ยากเย็น

ฟู่เทียนซาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง

"แล้วพวกท่านทั้งสองไม่กลับนิกายกันหรือ?" หนิงหลงมองไปที่เย่ฉุ่ยเหยาและเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

"ข้าจะอยู่กับสามี!" เย่ฉุ่ยเหยาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เอนกายซบบนไหล่ของหนิงหลง

การกระทำเช่นนี้ของเธอทำให้หนิงหลงถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว แม้แต่ฟู่เทียนซายังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอกสั่นขวัญหาย

นางมารสวรรค์นะเนี่ย! เจ้าลัทธิมารที่เข่นฆ่าผู้คนเหมือนผักปลา หนึ่งกระบี่เข่นฆ่านับหมื่นชีวัน!

ไม่รู้ว่ามีวิญญูชนกี่คนแล้วที่ต้องตกตายภายใต้เงื้อมมือนาง ทว่าเวลานี้ นางมารตนนั้นกลับทำตัวออดอ้อนน่ารักน่าชัง บนโลกนี้คงมีแค่หนิงหลงเท่านั้น ที่สามารถทำให้นางเป็นเช่นนี้ได้

เวลานี้ฟู่เทียนซารู้สึกอยากจะถอนคำพูดเรื่องที่ให้น้องชายของมันพักอยู่ในตำหนักมันเหลือเกิน หนิงหลงพักอาศัยอยู่ที่ใด แน่นอนว่านางมารตนนี้ต้องพักอยู่กับเขาด้วย

ไม่แน่ว่าวันดีคืนดีมันกำลังนั่งว่าราชการอยู่ แต่ทันใดนั้น เศียรของมันอาจจะหลุดออกจากบ่าไปอย่างไม่รู้ตัว!

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ยุทธ์เช่นเดียวกัน แต่ตัวฟู่เทียนซาที่เดินบนเส้นทางวิถีราชัน ไม่ใช่ผู้ที่เดินบนเส้นทางวิถียุทธ์เต็มตัวเฉกเช่นเย่ฉุ่ยเหยาและอวิ๋นซาง ถ้าเกิดว่าพวกเขาได้ปะทะกันซึ่งหน้า เย่ฉุ่ยเหยาย่อมมีชัยเหนือฟู่เทียนซาอย่างขาดลอย

"การเดินทางร่วมกับสหายน้อยมันได้เปิดโลกทัศน์ของชายชราให้กว้างขึ้น" อวิ๋นซางที่มีใบหน้าเหมือนคุณปู่ใจดี เผยรอยยิ้มออกมา

พวกเขาต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอวิ๋นซาง ทั้งสามมีชีวิตอยู่กันมาหลายร้อยปี ผ่านโลกกันมานับไม่ถ้วนและยังมีพลังอยู่บนจุดสูงสุด แต่กลับไม่เคยได้พบพานกับคนแบบหนิงหลงมาก่อน ทั้งเรื่องคำพูดคำจา บุคลิก อุปนิสัย รวมถึงการกระทำต่างๆ

มันราวกับว่าเขาเป็นพวกนอกรีต มันดูผิดแปลก เหมือนกับว่าพวกเขาอยู่กันคนละโลก

"ขณะที่พวกเราแหงนหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้ามีความยาวไกลเท่าไรกันแน่เล่า โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใดกันเล่า การย่างก้าวของพวกเราสุดอยู่เพียงแค่ท้องทะเลตงไห่จริงๆ รึ? ระดับปรมาจารย์ยุทธ์หรือเซียน สิ่งเหล่านี้คือขอบเขตจำกัดของพวกเรารึ?" หนิงหลงเหม่อมองดูท้องฟ้านอกรถม้า เอ่ยขึ้นมาช้าๆ

คำพูดเช่นนี้ของหนิงหลงพลันทำให้จิตใจบรรดาผู้เฒ่าทั้งสามที่อยู่บนรถม้าสะเทือนหวั่นไหว นัยน์ตาทั้งสองของพวกเขาพลันสุกใสขึ้นมา นาทีนี้ราวกับว่าพวกเขาเป็นกบในกะลา ที่ไม่เคยได้เห็นโลกภายนอกว่าเป็นเช่นไร

"โพ้นทะเลตงไห่ไปจะมีสิ่งใดเล่า?" หนิงหลงพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า "พวกเราสามารถก้าวข้ามผ่านทะเลตงไห่ไปยังอีกฝั่งได้หรือไม่? สุดปลายทางโพ้นทะเลโน้นมันจะเป็นสิ่งใด...?"

"ไม่ใช่ว่าพวกเราจะตกขอบโลกกันหรอกหรือ?" เย่ฉุ่ยเหยายิ้มละมุนละไมและกล่าวว่า "ลองถามพี่ชายของเจ้าดู เจ้าหนูคนนี้มันเคยลองดูมาก่อนแล้ว"

ฟู่เทียนซาพยักหน้า และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า "อย่างที่นางว่า ข้าเคยลองส่งกลุ่มคนนั่งเรือข้ามไป แต่เมื่อเรือของพวกเขาแล่นไปสุดขอบก็หายไปทันทีและไม่กลับมาอีกเลย พวกเราจึงคาดเดากันว่า พวกเขาอาจจะตกขอบโลก ร่วงหล่นสู่ความมืดมิดอันไกลโพ้น..."

หนิงหลงที่ได้ยินเช่นนั้นพยายามกลั้นขำสุดความสามารถ ยื่นมือออกไปตบไหล่ฟู่เทียนซาเบาๆ มองดูพี่ชายร่วมสาบานของมันด้วยสายตาที่ล้ำลึกยากที่จะคาดเดา

"เจ้ามองข้าเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร?" ฟู่เทียนซาถลึงตาใส่หนิงหลงทีหนึ่ง มันจะมองไม่ออกเลยหรือยังไงกันว่าน้องชายมันกำลังคิดสิ่งใดอยู่