webnovel

ห้าแสนตำลึงทอง?

"น้องเล็ก ข้าสงสัยมานานแล้วว่าเจ้าวัตถุที่มันส่งเสียงได้คือสิ่งใดกัน?" ฟู่เทียนซาชี้ไปที่โทรศัพท์ในมือของหนิงหลง

"เจ้าสิ่งนี้คือสมาร์ทโฟน!" หนิงหลงกลับมานั่งที่โต๊ะ พร้อมยื่นโทรศัพท์ให้กับฟู่เทียนซาดู

"โส่วจี?" ทุกคนบนโต๊ะได้มองไปยังเจ้าโทรศัพท์จากศตวรรษที่ 21 ด้วยความงงงวย

โทรศัพท์เครื่องนี้คือสิ่งที่ได้ติดตัวกับหนิงหลงมาด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่มันก็ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติของเพียงแค่แบตเตอรี่โทรศัพท์ไม่หมด แต่เจ้าโทรศัพท์เครื่องนี่เป็นรุ่นพิเศษที่ครอบครัวของหนิงหลงจากโลกเดิมได้สร้างขึ้นเป็นพิเศษ

มันมีคุณสมบัติกันน้ำ กันลม กันฝน และกันไฟได้นิดหน่อย ขอเพียงแค่ไม่โยนเข้าไปกลางกองไฟ แน่นอนว่ามันมีความทนทานรองรับแรงกระแทกอย่างดี ต่อให้ตกจากตึกสูงสิบเมตรก็ยังไม่เป็นอะไร ส่วนที่สำคัญที่สุดเลยคือมันสามารถชาร์ตแบตเตอรี่ด้วยแสงอาทิตย์ได้!

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือมันไม่มีสัญญาณ เพราะโลกโบราณแห่งนี้ยังไม่ได้พัฒนาไปไกลขนาดนั้น ถ้าเกิดหนิงหลงถูกส่งไปยังโลกที่เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ามากกว่านี้ เจ้าโทรศัพท์เครื่องนี้ย่อมแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่

และการที่หนิงหลงมีโทรศัพท์ที่ไฮเทคเช่นนี้อยู่ในการครอบครอง นั้นก็เพราะภูมิหลังครอบครัวของเขานั้นเป็นนักเดินทางข้ามภพกันมารุ่นต่อรุ่นแล้ว การที่สร้างโทรศัพท์เช่นนี้ขึ้นมาก็เพื่อไว้ใช้งานเวลาพวกเขาได้เดินทางไปยังโลกต่างๆ

เพียงแต่ตัวหนิงหลงเองยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าครอบครัวของเขาเป็นนักเดินทางข้ามภพ หนิงหลงที่หลุดมาโลกยุคโบราณแห่งนี้ก็เพราะความบังเอิญและความซนของตัวเองล้วนๆ เข็มทิศที่เป็นสื่อกลางไว้ใช้ในการเดินทางข้ามภพก็ไม่ได้นำมันมาด้วย ทำให้ตัวหนิงหลงไม่สามารถเดินทางกลับโลกเดิมได้ ได้แต่เฝ้าคอยให้ครอบครัวมารับกลับไปเท่านั้น...

"นอกจากเปิดเพลงได้ มันยังถ่ายรูป และก็อัดวิดีโอได้ด้วยนะเอ้อ!" พูดจบหนิงหลงยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายฟู่เทียนซา

เมื่อทุกคนได้เห็นรูปฟู่เทียนซาในโทรศัพท์ถึงกับตะลึง

"ตัวข้าเข้าไปอยู่ในสิ่งนั้นได้เช่นไร?" ฟู่เทียนซาที่เห็นรูปตัวจึงรู้สึกสับสนไม่น้อย

หนิงหลงจึงเริ่มอธิบายหลักการทำงาน และฟังก์ชันต่างๆ ของโทรศัพท์ให้พวกเขาฟัง หนิงหลงพยายามใช้ภาษาและการเปรียบเปรยเพื่อให้คนยุคนี้เข้าใจได้มากที่สุด

"เจ้ามีสิ่งที่เรียกว่าโส่วจีนี้อีกหรือไม่?" ฟู่เทียนซาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

ถ้าเกิดชาวต้าเจิ้งมีโทรศัพท์มือในการครอบครองแล้วจะเป็นยังไง? ถึงแม้ว่ามันจะโทรหรือส่งข้อความไม่ได้ แต่การที่มันจับภาพนิ่งและอัดวิดีโอ ไหนจะมีไฟฉายในตัว เครื่องคิดเลข สมุดบันทึก และยังเปิดเพลงได้อีก แค่นี้ก็นับได้ว่าฝืนลิขิตสวรรค์แล้ว

ลองคิดภาพที่เหล่าหน่วยราชการลับมีโทรศัพท์ไว้ใช้บันทึกภาพและบทสนทนาต่างๆ ดูสิ หลักฐานที่แน่นหนารัดกุมแบบนี้รับรองว่าย่อมหนีโทษไม่พ้นเป็นแน่

คนยุคนี้ยังใช้แสงจากไฟอยู่เลย ถ้าเกิดมีไฟฉายที่ส่องจ้าแบบหนิงหลงแล้วจะเป็นยังไงละ? และก็ยังมีกล้องโหมดกลางคืนอีก เห็นชัดแจ๋วเหมือนยามรุ่งอรุณเบิกบาน

"น่าเสียดาย ที่เจ้าสิ่งนี้มีเพียงแค่เครื่องเดียว"

"สามารถสร้างมันขึ้นมาเพิ่มอีกได้หรือไม่?" ฟู่เทียนซายังคงไม่ยอมแพ้

"เกรงว่าจะเป็นเรื่องยาก การจะถอดรื้อมันย่อมเป็นเรื่องที่เสี่ยง เพราะเจ้าเครื่องนี่เป็นเครื่องแม่ ข้ามั่นใจได้เลยว่าบนโลกนี้มีเจ้าสิ่งนี้เพียงแค่เครื่องเดียว"

ฮ่องเต้ต้าเจิ้งได้แต่ทอดถอนหายใจด้วยความจนเกล้า ความฝันที่เขาได้มโนไว้พลันทลายสิ้น

หนิงหลงไม่สนใจท่าทีที่หมดอาลัยตายอยากของพี่ใหญ่เขา เขามองดูต่งซานซานที่หยาดเยิ้มต้องใจตรงหน้า หนิงหลงอดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ "พี่ใหญ่! ท่านยังไม่ได้แนะนำแม่นางท่านนี้ให้ข้ารู้จักเลยนะ"

"นางมีนามว่า ต่งซานซาน เป็นเจ้าเมืองสมุทรสยบบูรพาแห่งนี้ และยังเป็นน้องสะใภ้ของข้า" ฟู่เทียนซาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเซ็งๆ ฮ่องเต้ต้าเจิ้งผู้นี้กำลังรู้สึกเสียดายเกี่ยวกับเรื่องโทรศัพท์อยู่

"ท่านแต่งงานแล้วหรือ?" หนิงหลงมองไปที่บุรุษตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

"เหอะๆ ในแคว้นต้าเจิ้งนี้มีสี่อนงค์ และธิดาแฝดของข้าก็เป็นถึงสองดอกไม้งามแห่งต้าเจิ้ง" ฟู่เทียนซายิ้มอย่างภูมิใจ

หนิงหลงจิบสุราหนึ่งอึกพยักหน้าอย่างเฉยเมย เขาไม่เชื่อเลยสักนิดว่าบุตรีทั้งสองของพี่ใหญ่เขาจะเป็นดอกไม้งามของต้าเจิ้งอะไรนั่น ลองมองดูสภาพของบิดาพวกนางสิ หากว่าภรรยาของเขามิได้เป็นสุดยอดสาวงามแห่งยุค หรือถ้าเกิดเป็นจริงๆ แต่พวกนางไม่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมมาละ?

เพื่อความแน่ใจเขาจึงได้เอ่ยถามกับต่งซานซานว่า "พี่สาวของท่านงดงามหรือไม่?"

"งดงามจนฮ่องเต้หลงหัวปักหัวปำ จนมิกล้ามีหญิงใดเพิ่ม! ข้ายืนยันได้เลยว่าหลานสาวของข้าทั้งสองมีความงามที่ล้มเมือง" ต่งซานซานยิ้มนิดหนึ่งและตอบตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม

แต่ทันใดนั้นนางพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าฮ่องเต้คนที่นางกล่าวอ้างถึงกำลังนั่งอยู่ด้านข้าง การดูหมิ่นเบื้องสูงย่อมเป็นโทษที่ร้ายแรง และนี่ยังเป็นการนินทาระยะเผาขนอีก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพี่เขยของนางก็ตามที

"โอ้!" แววตาของหนิงหลงพลันส่งประกายออกมา "แบบนี้ข้าต้องเรียกท่านว่าพี่ใหญ่หรือพ่อตากันดีละเนี่ย?"

"เพ่ย อย่าได้ฝัน! ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นน้องชาย แต่ข้ามิยอมยกบุตรสาวของข้าให้เป็นแน่ ถ้าอยากได้บุตรของข้าต้องข้ามศพไปก่อน!!!" ภายในใจของฟู่เทียนซารู้สึกหวาดระแวงไม่น้อย ขนาดตัวเขาเองยังชื่นชมชื่นชอบหนิงหลงไม่น้อย มีหรือที่บุตรสาวทั้งสองของตนจะมิหลงไปกับคารมและความเป็นเลิศของคนผู้นี้?

เวลานี้สองพี่น้องต่างสายเลือดต่างหยอกล้อพูดคุยกันอย่างออกรส จะมีเพียงแต่ต่งซานซานเท่านั้นที่นั่งนิ่งเงียบภายในใจมีทั้งความกลัวที่จะถูกลงโทษที่ไปล่วงเกินเบื้องสูง และรู้สึกสับสนว่าหนิงหลงคือผู้ใครกัน เหตุใดจึงสามารถพูดคุยหยอกล้อกับเจ้าเหนือหัวของแผ่นดินได้สบายๆ เช่นนี้ คำที่เรียกขานกันก็เป็นพี่ใหญ่น้องเล็ก

และถ้าสังเกตดีๆ บุคคลอีกสองท่านก็มีใบหน้าที่คุ้นเคยไม่น้อย พวกเขามิใช่ผู้อาวุโสใหญ่สำนักหัวซานกับเจ้าลัทธินิกายมารหรอกหรือ? เหตุใดบุคคลที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านถึงมาอยู่ร่วมกันได้?

"แม่นางต่ง ได้ยินว่าท่านเป็นเจ้าเมืองแห่งนี้ใช่หรือไม่?" หนิงหลงจ้องมองสาวงามตรงหน้าอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนว่าต้องการดูเนื้อหนังมังสาทุกตารางนิ้วให้หนำใจ สายตาของเขาทำไปตามอำเภอใจแสดงความเจ้าชู้เจ้าสำราญออกมาอย่างไม่ปกปิด

ท่าทีที่ทำตามอำเภอใจเช่นนี้ทำให้ต่งซานซานมองค้อนหนิงหลงไปขวับหนึ่ง แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกยังคงสวยหยาดเยิ้มต้องตาต้องใจผู้คน

"ข้าอยากทราบว่าในเมืองแห่งนี้พอจะมีที่ดินหรือจวนว่างๆ ปล่อยขายสักที่หรือไม่ ยิ่งเป็นติดทะเลด้วยยิ่งดี" หนิงหลงคิดว่าในเมื่อตนไม่สามารถกลับโลกเดิมได้แล้ว เช่นนั้นเขาจะอาศัยอยู่ที่โลกนี้ไปเลยละกัน และสิ่งแรกที่ต้องมีคือบ้านไว้อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่งสักที่หนึ่ง

ต่งซานซานกะพริบตาทีหนึ่ง กล่าวว่า "ไม่ขอปิดบังคุณชาย มีจวนหลังหนึ่งที่อยู่ติดกับทะเลตามที่คุณชายต้องการ ส่วนมูลค่าของมันราวๆ ห้าแสนตำลึงทอง"

ได้ยินจำนวนเงินแล้วหนิงหลงถึงกับรู้สึกตะลึงงัน แล้วไอห้าแสนตำลึงทองนี่มันเท่าไหร่กันวะ? อย่าว่าแต่ห้าแสนเลยแค่สักหนึ่งตำลึงเขายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ข้าวมื้อนี้ก็มีคนเลี้ยงให้

ส่วนเครื่องประดับในตัวเขามันก็เป็นเพชรทั้งนั้น ในโลกโบราณใบนี้ผู้คนยังไม่ทราบถึงมูลค่าของเพชรเท่าไหร่นัก ถ้าเครื่องประดับพวกนี้เป็นหยกก็ว่าไปอย่าง