webnovel

หากสวรรค์มีรัก ย่อมไร้ซึ่งนิรันดร์

บรรยากาศยามค่ำคืนเงียบสงัดตลอดทั้งคืน แตกต่างไปจากความโกลาหลเมื่อช่วงบ่ายอย่างสิ้นเชิง เหมือนว่าแม้แต่ราตรีก็ไม่กล้ารบกวนยามนิทราของผู้คน

ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หนิงหลงที่นอนกอดแนบกายภรรยางามทั้งสองพลันลืมตาขึ้น

เวลานี้ ด้านนอกประตูมีชายฉกรรจ์สี่คนบนใบหน้าถูกปิดด้วยผ้าบางแต่ดูขมุกขมัวทำให้ไม่เห็นหน้าค่าตา ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ยืนตรงอกผายบนไหล่แบกหามเกี้ยวไว้หลังหนึ่ง

สี่คนกับเกี้ยวหนึ่งหลังปรากฏอยู่ด้านหน้าประตูห้องนอนของหนิงหลงดั่งเป็นภูตผีพราย ปราศจากซุ่มเสียง ไม่มีผู้ใดพบเห็นพวกเขา พวกเขาเสมือนหนึ่งได้หลอมรวมเข้ากับอากาศธาตุไปแล้ว

หนิงหลงสะกิดปลุกภรรยาทั้งสองเบาๆ ลุกขึ้นก้าวเดินพ้นออกจากธรณีประตู ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ข้างหน้าได้กดเกี้ยวลงมา และรอคอยอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครสักคนที่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

ท่าทีของหนิงหลงและภรรยาทั้งสองดูเป็นธรรมชาติ ก้าวขึ้นไปบนเกี้ยว พวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ในนั้นด้วยท่าทีปกติ เสมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรจะเป็น

ชายฉกรรจ์ปล่อยผ้าม่านคลุมเกี้ยวลง จากนั้นหามเกี้ยวขึ้นแล้วหายวับไปราวกับว่าไม่เคยอยู่ ณ ที่ตรงนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไปท่ามกลางยามรัตติกาล พวกเขาไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนเป็นภูตผีพรายที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด ไม่ได้สร้างความแตกตื่นให้กับผู้ใด และไม่มีผู้ใดพบเห็นการดำรงอยู่ของพวกเขา

เวลานี้ เกี้ยวหลังนั้นได้ร่อนลงลานบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไกลไปจากตัวเมืองช่วงหนึ่งโดยปราศจากสุ้มเสียง หลังจากที่มีการกดด้านหน้าของเกี้ยวให้ต่ำลงแล้ว หนิงหลงพร้อมกับภรรยาทั้งสองได้ก้าวออกมาจากเกี้ยว

เมื่อคณะของหนิงหลงก้าวลงมาจากเกี้ยวแล้วนั้น บริเวณประตูทางเข้าลานบ้านมีผู้เฒ่าคนหนึ่งรออยู่นานแล้ว พลันที่มองเห็นพวกหนิงหลงแล้ว เขาได้ก้มกราบและกล่าวว่า "เป็นเกียรติแล้ว ที่ใต้เท้าและท่านหญิงให้การมาเยือนสถานที่ต่ำต้อยด้วยตัวเอง"

"นำทางไป" หนิงหลงเอ่ยขึ้นช้าๆ พร้อมกับโบกมือเบาๆ

"ใต้เท้าเชิญด้านใน บรรดาผู้อาวุโสรอคอยการมาของพวกท่านอยู่" หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว ผู้เฒ่ารีบเร่งนำทางให้กับหนิงหลง

ภายในห้องโถงที่อยู่บริเวณลานบ้านปรากฏกลุ่มคนชราผมขาวอยู่ในนั้นหลายสิบคน ผู้เฒ่าแต่ละคนต่างสวมใส่ชุดสีทึบเรียบง่ายดูแล้วไม่มีความสะดุดตา แต่ทว่า ยามที่ดวงตาทั้งสองของพวกเขาส่งประกายแวบวับออกมานั้น ทำให้ภายในใจของผู้คนถึงกับเต้นกระตุกทีหนึ่ง เพียงแค่พวกเขาทอดสายตามองผ่านแวบหนึ่งก็สามารถสร้างแรงกดดันจนแทบหายใจไม่ออก ด้วยกำลังความสามารถเช่นนี้นับเป็นที่ยำเกรงของผู้คน

ขณะที่คณะของหนิงหลงเดินเข้ามา บรรดาผู้เฒ่าหลายสิบคนต่างทยอยกันคารวะต่อพวกเขา และไม่ได้ส่งเสียงใดๆ หรือพูดคำใดๆ ออกมาสักคำ

"ใต้เท้า บรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประสานงานรับผิดชอบตามเขตต่างๆ" ผู้เฒ่ารีบให้การแนะนำต่อหนิงหลง

"นิกายมารยืนหยัดมาได้ถึงทุกวันนี้ ต้องขอบคุณพวกท่านแล้ว" หนิงหลงมองดูบรรดาบรรพบุรุษ พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า "หลังจากนี้ไปยังต้องได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือจากพวกท่านอีกมาก เชิญพวกท่านนั่งลงเถอะ"

ผู้เฒ่าที่เป็นคนนำทางพาบรรดาเหล่าบรรพบุรุษทยอยกันนั่งประจำที่ พวกเขานั่งลงตรงเบื้องหน้าของหนิงหลงด้วยความเคารพ เพื่อรอฟังคำสั่งจากเขา

"ข้าและสามีได้มีวาสนาผูกเกี่ยวกันมาตั้งแต่ชาติภพก่อน" เย่ฉุ่ยเหยายิ้มกล่าวติดตลกยิ่งออกมาว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เขาจะเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งมีสถานะอยู่เหนือมารทั้งปวง คำพูดของเขาคือราชโองการสูงสุด ผู้ใดคิดต่อต้านไม่เชื่อฟัง ฆ่าไม่ละเว้น!"

"น้อมรับพระบัญชา!" บรรดาบรรพบุรุษนิกายมารขานรับด้วยท่าทีเคารพยิ่ง

"สามี ท่านไม่ลองตั้งสมญานามมารของท่านดูบ้างหรือ?" เย่ฉุ่ยเหยากะพริบตาทีหนึ่ง ดวงตาที่ดั่งน้ำที่ใสสะอาดนั้นเหมือนพูดได้ ยามที่นางกะพริบตานั้นเปี่ยมด้วยความสง่างามที่สุดจะบรรยายได้สิ้น แน่นอนว่าท่าทีเช่นนี้มีไว้สำหรับหนิงหลงเท่านั้น

"มารที่อยู่เหนือมารสวรรค์เลยนะเนี่ย!" หนิงหลงถึงกับหัวเราะขึ้นมา เอามือลูบคางทีหนึ่งจ้องมองภรรยาตรงหน้าผู้นี้อย่างลึกซึ้ง

ขณะที่เย่ฉุ่ยเหยาที่อยู่ตรงหน้าก็รับกับสายตาของหนิงหลงอย่างไม่สะทกสะท้าน นัยน์ตาที่ใสดั่งน้ำของนางเปี่ยมด้วยความฉลาดเฉียบแหลมและดูหยอกล้อไม่น้อย

"จักรพรรดิมาร? ราชันมาร? ไม่สิพวกนี้มันล้วนแต่อยู่ภายใต้สวรรค์โจรกันทั้งหมด" หนิงหลงหัวเราะและกล่าวว่า "เหนือสวรรค์ ก็คงมีแค่นิรันดรแล้ว!"

"หากสวรรค์มีรัก ย่อมไร้ซึ่งนิรันดร์ ดี จากนี้ไป! ข้าคือ มารอมตะ หนิงหลง!"

...

ณ สถานที่อีกที่หนึ่งที่อยู่ถัดไปจากต้าเจิ้งทางทิศเหนือ ซึ่งก็คือแคว้นอู๋ ที่เป็นหนึ่งในห้าแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ภายในอาณาจักรต้าอู๋

ในพระราชวังของแคว้นอู๋ ทางราชสำนักได้ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่พบเห็นได้ยากยิ่งคนหนึ่ง

"แผ่นดินเดือดระอุลุกเป็นไฟ เก่ากะลาอย่างเรากำลังรู้สึกแปลกใจ วันนี้ตื่นมาแต่เช้า นกสาลิกาก็ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ บนกิ่งไม้" เมื่อฮ่องเต้แคว้นอู๋เห็นแขกที่มาแล้ว กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า "ที่แท้เป็นรัชทายาทซูนะเนี่ย ไม่ทราบว่าเป็นลมอะไรพัดเอาองค์ชายจากแคว้นซูมาถึงแคว้นอู๋ของเรา นับว่าทำให้รู้สึกเหนือความคาดคิดจริงๆ"

"ฝ่าบาททรงเกรงพระทัยเกินไปแล้ว" ผู้ที่มาก็คือซูไป่อี้ รัชทายาทหนุ่มจากแคว้นซู ที่เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ทั้งห้าของต้าอู๋ ซูไป่อี้ผู้นี้รูปร่างหล่อเหลาประดุจเทพบุตรจุติ คิ้วตั้งตรงดั่งกระบี่กล้า ใบหน้าเรียวคม ผิวขาวเนียนเหมือนหยก รวมๆ แล้วดูไร้ที่เปรียบยากจะหาข้อติเตียน

"แคว้นซูของพวกเรารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสียของคณะทูตที่ส่งไปร่วมยินดีกับการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้ต้าเจิ้งองค์ใหม่" ซูไป่อี้ทอดถอนใจด้วยความหดหู่ และกล่าวว่า "แม้ว่าฝ่าบาทกับข้าสองแคว้นจะไม่ถูกกัน แต่ว่า เหล่าคณะทูตที่ส่งไปนั้นคือผู้คนจากต้าอู๋ รากเหง้าพวกเขานั้นมาจากพวกเราทั้งห้าแคว้นที่คอยเกื้อกูลกัน..."

"ขอบคุณรัชทายาทซูที่รู้สึกไม่เป็นธรรม" ฮ่องเต้แคว้นอู๋กล่าวตัดจบด้วยเสียงเย็น เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า "เรื่องราวอดีตอย่าไปเอ่ยถึงเลย โปรดกล่าวจุดประสงค์ของท่านเถิด"

"แคว้นอู๋คือขุมกำลังอันดับหนึ่งของต้าอู๋ในยุคนี้ แม้กระทั่งแคว้นซูเรายังเทียบไม่ติด" รัชทายาทซูผู้นี้กล่าวแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มว่า "ยิ่งไปกว่านั้น ในมือของฝ่าบาทยังมีกองทัพทหารกล้า เพียงพอที่จะเกรียงไกรเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ไร้เทียมทาน ปราศจากผู้ต่อกร"

"รัชทายาทซูพูดเล่นแล้วล่ะ" ฮ่องเต้แคว้นอู๋หัวเราะและกล่าวว่า "แม้ว่าเราไม่ได้ไปเดินเล่นอยู่ข้างนอก แต่ว่าเท่าที่เรารู้ ยามนี้นิกายมารเข้าร่วมกับต้าเจิ้งแล้ว พวกเราทั้งห้าแคว้นยังไม่สามารถสยบนิกายมารได้ การเปิดศึกกับต้าเจิ้ง ไม่เท่ากับว่าเป็นแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟหรอกหรือ?"

"เป็นความจริงที่นิกายมารผนึกกำลังกับต้าเจิ้ง" รัชทายาทซูจ้องมองฮ่องเต้แคว้นอู๋แวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า "เพียงแต่ ถ้าพวกเรามีขุมกำลังที่เทียบได้กับนิกายมารคอยสนับสนุนอยู่ละ?"

เมื่อซูไป่อี้กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ได้มองหน้าฮ่องเต้แคว้นอู๋ทีหนึ่ง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า "ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทก็คงไม่ยอมพลาดโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ไป หากพวกเราล้มยักษ์ใหญ่อย่างต้าเจิ้งและนิกายมารได้ล่ะก็ ฝ่าบาทไม่เพียงมีชื่อเสียงเลื่องลือก้องกังวาน และยังได้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ เป็นที่จดจำไปตลอดกาลเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทลองคิดถึงมูลค่าทรัพย์สินสงครามที่จะได้หลังจากจบสงครามครั้งนี้ดูสิ..."

"คำพูดของรัชทายาทซูนับว่าจูงใจผู้คนโดยแท้" ฮ่องเต้แคว้นอู๋มองหน้าซูไป่อี้อยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม ส่ายหน้าและกล่าวว่า "น่าเสียดาย เกรงว่าเราก็ช่วยอะไรไม่ได้"

ครั้นฮ่องเต้แคว้นอู๋เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้มองหน้าซูไป่อี้ และกล่าวว่า "ข้าไม่เชื่อว่าจะมีแค่แคว้นอู๋และซูที่เข้าร่วม นี่ยังไม่นับรวมถึงกองกำลังลึกลับเทียบเท่านิกายมารที่ท่านเอ่ยถึงด้วย ชิ้นเนื้อที่ได้รับมาย่อมต้องถูกหั่นแบ่งออกเป็นหลายส่วน ยามนี้พวกเราอาจร่วมมือกันได้ดี แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะรับประกันได้ว่าท่านและกองกำลังที่เหลือจะไม่หันมาแว้งกัดเราทีหลัง"

ฮ่องเต้แคว้นอู๋ได้กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วหยุดคิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า "ดังนั้น เรารู้สึกว่าแคว้นอู๋ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปผสมโรงกับน้ำครำเช่นนี้"

"ไม่ปฏิเสธ" รัชทายาทซูทอดถอนหายใจ "เป็นความจริง ที่อีกสามแคว้นก็เข้าร่วมเช่นกัน แน่นอนว่าชิ้นเนื้อมันชิ้นนี้ย่อมถูกแบ่งเป็นสัดส่วนออกไป"

"ดังนั้น พวกเราก็จนด้วยเกล้า" ฮ่องเต้แคว้นอู๋กล่าวว่า "พวกเราได้แต่บอกว่าขอโทษอย่างยิ่งที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ความแข็งแกร่งของต้าเจิ้งเวลานี้ ยากที่จะหยั่งถึงแล้ว โดยเฉพาะตัวตนลึกลับอย่างฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าเจิ้ง แคว้นอู๋ของพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้"

เมื่อฮ่องเต้แคว้นอู๋ได้กล่าวถึงตรงนี้แล้วหยุดนิดหนึ่ง จ้องมองดูซูไป่อี้ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า "ถ้าเกิดว่าขุมกำลังเบื้องหลังท่านมีอำนาจแข็งแกร่งเทียบเท่านิกายมารจริง เช่นนั้นแล้ว ท่านไม่พลิกแผ่นดินต้าอู๋เป็นต้าซูไปเลยละ?"

"ขอกล่าวตามสัตย์จริง" ซูไป่อี้หัวเราะและกล่าวว่า "พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นกองกำลังขุมอำนาจใด แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นยากที่ปฏิเสธได้จริงๆ"

ฮ่องเต้แคว้นอู๋นิ่งเงียบครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยกล่าวอย่างยากลำบากว่า "ถ้าเกิดเราปฏิเสธที่จะเข้าร่วมละ?"

"ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทพอจะรู้ผลกระทบที่ตามมา" ซูไป่อี้หัวเราะพลางและส่ายหน้า "ฝ่าบาทคิดว่าแคว้นอู๋สามารถมีชัยขาดลอยเหนือแคว้นซูมากเพียงใด?"

ฮ่องเต้แคว้นอู๋นั้นรู้อยู่แก่ใจ ยามนี้แคว้นอู๋ถดถอย ไม่เกรียงไกรเหมือนกาลก่อนแล้ว ต่อให้ยกทัพสู้เต็มกำลังศึกก็แค่เสมอกับแคว้นซู หรือพูดให้มันดูอาจหาญมากกว่านี้ก็แค่เหนือกว่าเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง ดังนั้น ความแข็งแกร่งของขุมกำลังลึกลับเบื้องหลังแคว้นซูนั้น อยู่เหนือประมาณการของทุกคน ถ้าเกิดออกปากปฏิเสธไป เกรงว่าพรุ่งนี้แคว้นอู๋คงหลงเหลือเพียงแค่ในนาม...