webnovel

สังคมมันเสื่อโทรม น้องหนิงเลยเสื่อมทราม (จบ SS0)

"นี้มันเป็นการใช้แรงงานคนชราแล้ว!" ฟู่หมิงหยางส่ายหัวพึมพำ "อายุปูนนี้แล้วยังต้องมาสวมเกราะออกศึก เจ้ามารน้อยแซ่หนิงไม่คิดจะให้ผู้เฒ่าผู้แก่ได้พักผ่อนกันอย่างสงบบ้างเลยหรือยังไง?"

"เป็นท่านไม่ใช่รึที่เกษมสำราญหาผู้ใดเปรียบเมื่อจะได้เป็นผู้นำทัพออกศึก" ฟู่เทียนซาหัวเราะพลางมองไปที่บิดาของตน

ฟู่เหรินเสียนมองไปที่คู่พ่อลูกหยอกล้อกันอดที่จะยิ้มไม่ได้ เป็นที่ทราบกันดีว่าสายโลหิตของตระกูลฟู่เป็นนักรบโดยกำเนิด ถ้าจะกล่าวว่าพวกเขาเป็นชาวไซย่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

สถานที่ที่พวกเขาสามารถแสดงอานุภาพได้มากที่สุดไม่ใช่บนบัลลังก์เจ้าผู้ปกครอง แต่เป็นบนสนามรบ ยิ่งสู้มากเท่าไหร่ ยิ่งบาดเจ็บมาเพียงใด หรือเจอะเจอศัตรูที่ทรงพลังมากแค่ไหน เมื่อก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นมาได้ พวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น!

แต่เดิมแล้วตระกูลฟู่เองก็ไม่ใช่ตระกูลที่สืบเชื้อมาจากสายราชวงศ์แต่อย่างใด เป็นที่ทราบกันดีว่าปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์เจิ้งอย่างฟู่เหรินเสียนเอง กว่าจะบุกเบิกผืนแผ่นดินนี้ขึ้นมาได้ก็อาศัยเลือดที่ไหลนองเป็นลำธารและซากศพที่กองรวมกันเป็นภูเขา ร่างและโครงกระดูกเหล่านี้รวมกันสร้างเส้นทางสายหนึ่งในการขึ้นสู่บัลลังก์

"ออกศึกครานั้นรบทรหดเก้าสิบเก้าวัน เข่นฆ่ากันจนพื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยเลือด สุดท้ายได้อาศัยท่าทีที่มั่นคงบุกทะลวงเมืองเสียนหยาง ตรึงสังหารจักรพรรดิอมตะบนบัลลังก์ เสียงร้องน่าเวทนาไม่ยินยอมของฉินซีหวงตี้ดังก้องไปทั่วแผ่นดิน เกรงว่าสิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่อัปยศมากที่สุดแล้ว ปฐมจักรพรรดิฉินผู้ที่สามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งกลับถูกสังหารลงในยุคสมัยที่ตนเองรุ่งเรืองที่สุด" ฟู่เหรินเสียนหวนนึกถึงการลุกขึ้นปฏิวัติในครั้งครานั้นแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ อีกทั้งยังรู้สึกขำตัวเองไม่น้อย

ในห้วงเวลานั้นซึ่งเป็นยุคที่ราชวงศ์ฉินปกครองแผ่นดิน มีพลังอำนาจปกคลุมไปทั่วทั้งร้อยชาติพันธุ์ จะมีสักกี่คนหาญกล้าท้ารบจักรพรรดิอมตะแห่งยุคองค์นี้

"กองทัพพิทักษ์เมืองหลวง!" ทหารบนกำแพงเมืองมองเห็นกองทัพที่เข้าปราบปรามกองทัพกบฏ ถึงกับตัวสั่นเทิ้ม

แต่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวมากที่สุดคือแม่ทัพทั้งสามที่นำอยู่ด้านหน้าสุด สามพ่อลูกตระกูลฟู่ที่อยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพพิทักษ์เมืองหลวง คล้ายดั่งกำลังนำพากองทัพที่เสมือนเป็นน้ำหลากที่น่ากลัววิ่งห้อมาด้วยท่าทีที่ทำลายล้างรุนแรงมาตลอดทาง

"อดีตฮ่องเต้ทั้งสามนำทัพด้วยตัวพระองค์เองเลยนะเนี้ย..." ข่าวการออกศึกนำทัพของอดีตฮ่องเต้ทั้งสามได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองเหมือนไฟลามทุ่ง ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ โดยเฉพาะเหล่าแม่ทัพและขุนนางกบฏ เวลานี้ได้แต่หมดอาลัยรอรับชะตากรรมแล้ว

การที่อดีตฮ่องเต้ทั้งสามเสด็จลงมานำศึกด้วยตัวพระองค์เองเช่นนี้ ย่อมเป็นการการันตีแล้วว่ากองทัพกบฏ หมดสิ้นหนทางจะพลิกกลับมาชนะแล้ว สามบุรุษสายเลือดนักรบแต่กำเนิด ระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ยุทธ์

ถ้าไม่นับรวมเจี่ยกงกงที่เป็นปรมาจารย์ยุทธ์กับตัวบัคเฉกเช่นพระเชษฐภคินีฟู่เยว่เทียน แค่ฮ่องเต้องค์ใดองค์หนึ่งก็แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์เจิ้งแล้ว เคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ถ้าอดีตฮ่องเต้ทั้งสามรวมพลังกันนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับปรมาจารย์ยุทธ์เท่าไหร่

"ฆ่า!" เสียงคำรามประสานดังออกมาจากกองทัพพิทักษ์เมืองหลวง คล้ายดั่งเป็นเสียงคำรามของมังกร กองทัพพิทักษ์เมืองหลวงได้พุ่งออกไปพร้อมกับกลิ่นอายฆ่าฟันที่ปราศจากผู้ต่อกร มุ่งตรงไปยังกองทัพกบฏ

เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นมาบนฟ้าดินแห่งนี้ เห็นหัวแต่ละหัวที่ลอยขึ้น เลือดที่พวยพุ่งทะลักไม่ขาดสาย กองทัพพิทักษ์เมืองหลวงดุจดั่งเครื่องจักรสงคราม เมื่อพวกเขาบุกเข้าไปยังสมรภูมิรบแล้วได้ทำการเก็บเกี่ยวศีรษะของศัตรูอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาลงมืออย่างไร้ความปรานี สังหารภายในหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น เหมือนว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อศึกสงคราม การเข่นฆ่าสังหารของพวกเขาไม่ว่าใครก็ต้องหวาดกลัว

เหล่าทหารกบฏร้องออกมาด้วยเสียงที่แหลมและเศร้ารันทดยิ่งนัก ยามที่หัวของพวกเขาถูกฟันจนขาด ดวงตาทั้งสองของพวกเขาเบิกโพลง ต่อให้พวกเขาสังกัดกองทัพพิทักษ์ชายแดนเคยผ่านมาหลายสมรภูมิศึก พบเจอทัพข้าศึกศัตรูมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ว่ากองทัพพิทักษ์เมืองหลวงตรงหน้าคือกองทัพที่น่ากลัวที่สุดที่พวกเขาเคยพบเจอในชีวิต

กองทัพพิทักษ์เมืองหลวงนั้นเสมือนดั่งปราการด่านสุดท้ายของราชวงศ์เจิ้ง ไม่ใช่สิ่งที่กองทัพดาษดื่นจะนำเอาไปเปรียบเทียบได้ เพราะถ้าปราการสุดท้ายนี้แตกพ่ายลงเมื่อใด เมื่อถึงเวลานั้น จะเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์เจิ้งแล้วอย่างแท้จริง

กองทัพพิทักษ์เมืองหลวงดุจดั่งเป็นมังกรที่บินกวาดผ่าสมรภูมิรบ ต่อให้เป็นกองทัพพิทักษ์ชายแดนที่มีไพร่พลมากกว่าสิบเท่า เมื่ออยู่ต่อหน้ากองทัพพิทักษ์เมืองหลวงแล้วก็สู้ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ถูกพวกเขาฉกเอาชีวิตไปอย่างบ้าคลั่ง

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

ขณะที่ในสมรภูมิกำลังเข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้น ร่างของแม่ทัพและรองแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสามทิศรวมหลายสิบชีวิตได้ถูกห้อยแขวนไว้บนกำแพงเมือง ทันทีที่เหล่าทหารจากกองทัพกบฏได้เห็นร่างไร้วิญญาณแม่ทัพของพวกเขาถูกห้อยอยู่นั้นถึงกับร้องเสียงหลง

ยามที่มังกรไร้หัว ส่วนหางก็จะตีกันเอง ถ้าเกิดคานบนเอียง คานด้านล่างก็จะเบี้ยวตาม เดิมทีแล้วขวัญกำลังใจของกองทัพกบฏ ก็แทบจะร่อยหรอ พอได้มาเห็นภาพเช่นนี้เข้าไปอีก แสงความหวังสุดท้ายของพวกเขาก็ได้มอดดับลงไปเป็นที่เรียบร้อย

ภายในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น กองทัพพิทักษ์เมืองหลวงได้ทำการกวาดล้างสมรภูมิรบแห่งนี้ด้วยการเก็บเกี่ยวชีวิตของกองทัพกบฏ ที่กำลังสิ้นหวังอย่างบ้าคลั่ง เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น กองทัพนับล้านเหลือไพร่อยู่เพียงไม่กี่หมื่นภายในระยะเวลาอันสั้น

"ชีวิตของพวกเจ้าได้ถูกบังคับบงการโดยพวกกบฏชั่ว วันนี้ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากใจ" ฟู่เหรินเสียนรวมลมปราณแผดเสียงคำรามก้องสนามรบทีหนึ่ง "ผู้ใดที่ยอมศิโรราบ จงทิ้งอาวุธและหมอบลงซะ!"

เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว เหล่าทหารกบฏต่างพากันโยนอาวุธทิ้งหมอบกระแตลงไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืน เวลานี้ศึกสงครามได้ปิดฉากลงแล้ว กองทัพพิทักษ์เมืองหลวงได้ทำการกวาดล้างสมรภูมิรบแห่งนี้จนเกือบจะเหี้ยนเต้ กองทัพกบฏนับล้านถูกทำลายสิ้นหมดภายในเวลาอันสั้น จนเกือบจะไม่มีผู้ใดรอดชีวิต

ขุนนางภายในท้องพระโรงทราบข่าวต่างก็ขาสั่นกันพับๆ ทิ้งตัวลงก้นจ้ำเบ้าปัสสาวะรดไปทั่วพื้น การที่กองทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสามพ่ายแพ้รวดเร็วขนาดนี้เป็นสิ่งที่ห่างไกลเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิด จุดจบลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขานึกไม่ถึง เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ เกินกว่าจินตนาการของพวกเขาไม่มากทีเดียว

เสนาบดีมู่ที่ฝากความหวังสุดท้ายไว้กับกองทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสาม นาทีนี้รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่ ในพริบตาเดียวนั่นเอง ภายในใจของเขาอดที่จะนึกถึงคำพูดของหนิงหลงขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ 'ก็แค่พวกลูกไก่ในกำมือเท่านั้น!'

ก่อนหน้านี้ ภายในใจของเขารู้สึกว่าคำพูดของหนิงหลงจะมากหรือน้อยดูจะมีความถือดีลำพองอยู่บ้าง แต่ว่า เวลานี้ดูไปแล้วมันเป็นคำพูดที่จริงแท้แน่นอน พวกเขาฝ่ายกบฏทั้งหมดต่างเป็นแค่ลูกไก่ที่อยู่กำมือเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าหนิงหลง

"ท่านคาซิม ข้ารู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ โปรดช่วยชีวิตข้าด้วย" จากการที่จนตรอกหมดสิ้นหนทาง เสนาบดีมู่หวาดกลัวจนสุดขีด อดที่จะร้องเสียงแหลมวอนขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ถูกเรียกว่าท่านคาซิม

แต่ว่า ภายในท้องพระโรงยังเงียบสงัด ทุกคนต่างใช้พลังปราณตรวจสอบรอบทิศปกคลุมทั้งวัง ทุกคนต่างต้องการรู้ว่าท่านคาซิมที่เสนาบดีมู่เอ่ยถึงอยู่ที่นี่จริงหรือไม่ บุคคลเช่นใดกันที่เสนาบดีมู่คิดว่าจะสามารถพาตัวเขาออกไปจากสถานที่นี้ได้

"ท่านคาซิม ตามที่พวกเราตกลงกันไว้ โปรดช่วยชีวิตข้าด้วย!" เวลานี้ เสนาบดีมู่ได้ร้องเสียงแหลมดังอีกครั้ง

แต่ว่า เสนาบดีมู่ก็ต้องผิดหวัง แม้ว่าเขาจะร้องขอความช่วยเหลือไป มันก็ยังคงเงียบสงัดไม่มีผู้ใดตอบกลับ

"จะ จบสิ้นแล้ว..." ในขณะนี้ เสนาบดีมู่กระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดออกมา กล่าวว่า "ฆ่าข้าเสีย...ช่วยให้ข้าหลุดพ้น ถือเป็นความเมตตาของเจ้าแล้ว"

"ถ้าเช่นนั้นให้ข้าส่งเจ้าเข้าสู่ห้วงสังสารวัฏ" หนิงหลงพยักหน้าไปทางเจี่ยกงกงทีหนึ่ง

โผละ!

เจี่ยกงกงยกฝ่ามือตบลงไปกลางหน้าผากทำลายศีรษะของเสนาบดีมู่โดยพลัน ศีรษะของเสนาบดีมู่เสมือนลูกแตงโมที่ถูกระเบิดทำให้เสียชีวิตทันที

อริยะบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่งต้องมาตายไปในลักษณะเช่นนี้ ชั่วชีวิตของเสนาบดีมู่มีความยอดเยี่ยมยิ่งนัก มีความฉลาดหลักแหลม สามารถผลักดันตระกูลมู่ที่เป็นตระกูลขุนนางเล็กๆ ขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ได้ จะอย่างไรเสียเขาก็คือขุนนางผู้มีความสามารถคนหนึ่ง มาวันนี้กลับปิดฉากชีวิตด้วยลักษณะที่น่าเวทนาที่สุด

หลังจากที่เสนาบดีมู่ถูกสังหารลง เหล่าขุนนางกบฏที่เหลืออยู่รวมถึงตัวแทนจากแคว้นต่างๆ ที่ช่วยสนับสนุนได้ถูกเหล่าองครักษ์หลวงปลิดชีพไปตามๆ กัน เป็นอันที่สิ้นสุด ปิดฉากโหมโรงการก่อกบฏในครั้งนี้ลงอย่างหมดจด ขุนนางและแม่ทัพฝ่ายกบฏถูกฆ่าล้างตระกูลเจ็ดชั่วโคตร ถูกถอนรากถอนโคนไม่หลงเหลือผู้สืบเชื้อสายต่อแม้แต่คนเดียว

"เอาล่ะ แพะรับบาปข้าก็เป็นให้แล้ว งานหนักก็ทำให้แล้ว พวกท่านคือผู้ที่นั่งเสวยสุขจากผลพวงความสำเร็จของผู้อื่น" หนิงหลงมองดูสามพ่อลูกตระกูลฟู่ที่เดินเข้ามาในท้องพระโรง กล่าวยิ้มแต้ว่า "ละครเรื่องนี้ข้าแสดงจบแล้ว เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่ข้าจะรับค่าแรงตอบแทน"

"แต่ว่ามันยังเหลือพวกเกาลี่อยู่อีกนา~ ภาระเจ้าหนักอึ้งยังอีกยาวไกลนะ หนิงหลงน้องชายพี่!" ฟู่เทียนซาที่ชมชอบการจับดาบเข้าสมรภูมิรบ ใฝ่ฝันที่จะออกท่องยุทธภพ ไม่ต้องการที่จะสืบราชครองบัลลังก์ได้หยิบยกหาข้ออ้างขึ้นมาเพื่อให้หนิงหลงได้เป็นฮ่องเต้ต่อ

"เหอะๆ ไม่ต้องเป็นฮ่องเต้ ข้าก็สามารถขึ้นบีทโยกจนคอพวกมันเคล็ดได้" หนิงหลงโบกมือเบาๆ แสยะยิ้มนิดหนึ่ง

แม้ว่าพวกเขาจะสับสนกับคำพูดแปลกๆ ของหนิงหลง แต่ก็พอจะเข้าใจว่าหนิงหลงจะสื่ออะไร สำหรับหนิงหลงแล้วเรื่องการรุกรานของพวกเกาลี่ไม่นับว่าเป็นอะไร ถึงคำพูดจะดูอวดดีไปบ้าง ทว่าทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องปกติอะไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูสมเหตุสมผลทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่เหนือความคาดคิด

ชายหนุ่มแซ่หนิงคนนี้ดูธรรมดาอย่างยิ่ง รากฐานการฝึกตนก็ไม่มี เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่เมื่อไรที่พาลกำแหงขึ้นมาดูเหมือนจะอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไปตามธรรมชาติ เรียกได้ว่าทำอะไรได้ตามอำเภอใจ

"เอาละเมียจ๋าช่วยพยุงข้าที ข้าอยากจะไปนอนพักผ่อนแล้ว" หนิงหลงฉีกยิ้มแป้นไปทางเย่ฉุ่ยเหยา พลางพิจารณาดูความงดงามของนางอย่างละเอียด

เย่ฉุ่ยเหยาและฟู่เยว่เทียนเข้าประกบทั้งสองฝั่งของหนิงหลงช่วยพยุงก้าวเดินออกจากห้องโถงไปช้าๆ ปล่อยให้ผู้คนภายในท้องพระโรงยืนงุนงง

การให้โฉมงามประกบข้างคอยช่วยพยุงนั้น หนิงหลงไม่ได้ต้องการโอ้อวดแต่อย่างใด เพียงแต่ว่ายามนี้ตัวเขามิสามารถจะเดินได้ สองขาไร้ความรู้สึกไม่มีแรงแม้แต่จะยืน ทั่วทั้งร่างกายอ่อนเปลี้ยเหมือนคนเป็นง่อย นี้เป็นเพราะว่าหนิงหลงหวาดกลัวแทบจะตายอยู่แล้ว!

หนิงหลงผู้นี้หาใช่คนโหด ฆ่าคนไม่กะพริบตา เห็นคนตายแล้วสราญรมย์แต่อย่างใด หนิงหลงเองก็เป็นแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ย่อมมีความกลัวอยู่ในจิตใจอยู่แล้ว การเห็นคนตายหัวขาดปลิวว่อนไปทั่วและยังนั่งนิ่งเฉยแสร้งว่ายิ้มอยู่ได้ก็ต้องขอบคุณทักษะตอแหลที่เขาได้สั่งสมมาจากการใช้ชีวิตในสังคมสี่เหลี่ยมจากโลกเดิมเลย

"โอ้! เจี่ยกงกง ฝากประกาศราชโองการด้วย!" หนิงหลงพูดขึ้นก่อนที่จะออกจากท้องพระโรงหายวับไปพร้อมกับหญิงงามทั้งสองนาง

เวลานี้ทุกคนไม่สามารถได้สติกลับมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเจี่ยกงกงก็ได้ประกาศราชโองการออกมา

"ประกาศราชโองการ! ฮ่องเต้เจิ้งว่านกู่บู้เหมี่ยโหย่งเหิงบู้เสี่ยวยี่อู๋ชวงต้าเวยต้าเต่ออู๋ชางจื่อเชิงจูเทียนว่านเจี๋ยตี้อีต้าเต๋าจุน (郑皇帝万古不灭永恒不朽俊逸无双大威大德无上至圣诸天万界第一大道尊) พระองค์ทรงตรัสไว้ว่าราชบัลลังก์มังกรพำนักแล้วรู้สึกครั่นพระวรกาย 'เจิ้นต้องการไปนอนหนุนร่างอรชรที่นุ่มนิ่มของภรรยา' จึงขอยกราชสมบัติและผืนแผ่นดินต้าเจิ้งให้กับพี่ชายใหญ่, ราชันยุทธ์ฟู่เทียนซาได้สืบสานต่อ พิธีขึ้นครองราชย์จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 8 เดือน 8 ยามเฉิน จบราชโองการ~"

ในเวลานี้ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเหมือนไฟฟ้าสมองลัดวงจร หนิงหลงที่ขึ้นครองราชย์ไม่ถึงวัน อีกทั้งยังพลิกหงายราชวงศ์กวาดล้างขุนนางและแม่ทัพกบฏหมดแผ่นดิน ขับไล่พวกฉวยโอกาสต่างแคว้น ผลงานขึ้นครองราชย์ภายในครึ่งวันของเขายิ่งใหญ่จนเกรงว่าไม่มีใครกล้าเทียบเคียงได้อีกแล้ว

เวลานี้สถานการณ์สงบลงสมควรแก่เวลาที่จะมาฉลองผลงานกัน ซึ่งผลงานของหนิงหลงโดดเด่นมาก เหล่าแม่ทัพและขุนนางที่เหลืออยู่ต่างให้การยอมรับและยอมสวามิภักดิ์ทั้งกายและใจแล้ว สมควรที่จะต้องได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นผู้นำของพวกเขา แต่ว่าหนิงหลงกลับสละบัลลังก์จากไปซะอย่างนั้น

หนิงหลงกลับจากไปให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่ไยดีแม้แต่น้อย ไม่ใส่ใจกับมันอย่างสิ้นเชิง ท่าทีเช่นนี้ ทุกคนที่ได้เห็นล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ และทางด้านฟู่เทียนซาที่ต้องวนกลับมาขึ้นครองบัลลังก์ เวลานี้ รู้สึกโศกเศร้าเจียนจะตาย อยากจะไปเกิดใหม่เป็นพระเอกต่างโลก ได้ผจญภัยท่องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่น่าเสียดายที่คนเขียนไม่ได้ลิขิตให้เขาเป็นพระเอกของเรื่อง จึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมไป...

.๑۩ จบ SS0 ۩๑.