webnovel

จะวัดอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่วัดเรื่องวาสนา!

ภายในเมืองหลวงดูจะเงียบสงัดอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าดูสถานการณ์ว่าจะพัฒนาไปทิศทางใด

ในเวลานี้เอง ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สายตามองไปที่พระราชวังหลวง ทุกคนต่างก็อยากจะรู้ว่าทางราชสำนักจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง

ในเวลานี้ทุกคนต่างก็อยากจะรู้ว่าท่าทีของกลุ่มขุนนางและบรรดาแม่ทัพคนอื่นๆ พวกเขาจะยืนอยู่ข้างฝ่ายพวกของกองทัพกบฏทั้งสาม ร่วมมือล้อมปราบราชวงศ์เจิ้งด้วยกัน หรือว่าสนับสนุนราชวงศ์เจิ้งอย่างเต็มที่ด้วยการส่งกำลังทหารเข้าช่วยเหลือ

แต่ว่า บรรดาแม่ทัพที่เหลือยังคงเงียบกริบ พวกเขาไม่ได้ส่งกองทัพใหญ่ออกไป เหมือนว่าพวกเขาจะยังคงมีท่าทีเฝ้ามองต่อไป

พริบตาเดียวนั้นเอง เหล่าขุนนางต่างรับรู้ได้ว่าเสนาบดีมู่จะแย่งชิงอำนาจแล้ว ราชวงศ์เจิ้งจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองแล้ว

เวลานี้ ตัวแทนแต่ละแคว้นที่มาร่วมพิธีครองราชย์ แม่ทัพและตระกูลขุนนางแต่ละรายต่างทยอยกันแสดงท่าทีของตน ย่อมไม่ต้องสงสัย บรรดาพวกเขาเหล่านี้ที่แสดงจุดยืนว่ายินดีให้การช่วยเหลือต่อเสนาบดีมู่ เลือกที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายของตระกูลมู่และกองทัพกบฏทั้งสาม ในขณะที่ราชวงศ์เจิ้งกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง ขุนนางและแม่ทัพจำนวนมากได้เลือกข้างแล้ว

ในเวลานี้ ขุนนางน้อยใหญ่ที่เหลือยังไม่ได้เลือกข้างต่างมีจิตใจที่ระส่ำระสาย แม่ทัพและตระกูลขุนนางที่มีกำลังกล้าแข็งจำนวนมากต่างสวามิภักดิ์ต่อตระกูลมู่ โดยเฉพาะบรรดาตัวแทนแต่ละแคว้นที่หวังจะเห็นต้าเจิ้งประสบภัยพากันร่วมแสดงความยินดีกับเสนาบดีมู่

เนื่องจากทุกคนต่างเข้าใจดีว่า ราชวงศ์เจิ้งกำลังจะผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน สมควรที่ทุกคนต้องตัดสินเลือกข้างแล้ว การตัดสินใจเลือกในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดชะตาของตระกูลนั้นๆ เมื่อมีการเลือกข้างแล้ว ถ้าเลือกถูกก็เหมือนการขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าเลือกผิดอาจจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปนับจากนี้เป็นต้นไป

"ไม่มีใครช่วยเหลือฮ่องเต้ เกรงว่าราชวงศ์เจิ้งคงจะต้องจบเห่กันแล้วล่ะ" ผู้คนจำนวนมากอดที่จะพึมพำออกมา เมื่อเห็นว่าไม่มีขุนนางคนใดๆ ให้การสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ และไม่มีแม่ทัพส่งทหารแม้แต่คนเดียวออกไปช่วยเหลือฮ่องเต้เลย และยังมีบางส่วนที่เป็นกลางไม่เลือกข้างแต่อย่างใด เช่น แม่ทัพพิทักษ์ชายแดนแต่ละทิศที่เหลือ สามตระกูลใหญ่นอกเหนือจากตระกูลมู่ รวมถึงบรรดากลุ่มแม่ทัพและตระกูลขุนนางที่อยู่ภายใต้พวกเขา

บนบัลลังก์มังกรหนิงหลงยังคงมีท่าทีเฉยเมย มองไปยังทิศทางกองทัพกบฏที่อยู่นอกเมือง ท่าทางไม่ได้ใส่ใจโดยสิ้นเชิง ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า "กองทัพนับล้านมากันได้นับเป็นเรื่องดี เจิ้นกลับอยากจะเข่นฆ่าสักล้านหนึ่งให้เลือดไหลนองรวมกันเป็นธาร จะได้สมฐานะความเป็นฮ่องเต้ทรราชของข้า"

"สองแขนยากจะต้านสี่กร" เสนาบดีมู่แค่นเสียงด้วยดูถูก จะอย่างไรเสียกองทัพพิทักษ์ชายแดนทั้งสามทิศได้ผนึกกำลังรวมกัน ด้วยกำลังเช่นนี้เพียงพอที่จะกวาดล้างสักแคว้นหนึ่งได้ไม่ยากเย็นอะไร

หนิงหลงถึงกับเผยรอยยิ้มออกมามองดูขุนนางและแม่ทัพกบฏ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า "ก็แค่พวกลูกไก่ในกำมือเท่านั้น"

สิ้นเสียงของหนิงหลง ทันใดนั้นศีรษะจำนวนมากนับได้ร้อยร่วงหล่นลงมาจากฟ้ากลิ้งกลุกๆ ไปทั่วพื้นห้องโถงของพระราชวัง บรรดาขุนนางและแม่ทัพกบฏที่เห็นใบหน้าบนหัวเหล่านี้ถึงกับหน้าถอดสี แข้งขาอ่อนระทวย เพราะใบหน้าที่ปรากฏขึ้นบนศีรษะเหล่านี้คือใบหน้าของผู้คนในตระกูลของพวกเขาทั้งสิ้น

การที่บรรดาเครือญาติของพวกเขาหลงเหลือเพียงแต่หัว ย่อมเป็นการชี้ได้ชัดเลยว่า เวลานี้โคตรเหง้าตระกูลของพวกเขาได้ถูกฆ่าล้างโคตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"ปะ...เป็นไปไม่ได้!?" ครั้นเสนาบดีมู่เห็นภาพใบหน้าของผู้คนในตระกูลถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมา ขุมกำลังภายในตระกูลมู่มีธาตุแท้ภายในแข็งแกร่งระดับใดตัวของเขาย่อมรู้ดีที่สุด แต่ว่า เรื่องที่น่าสยดสยองเช่นนี้กลับเกิดขึ้นมาแล้ว

ไม่ใช่แค่เพียงเสนาบดีมู่เท่านั้น บรรดาขุนนางและเหล่าแม่ทัพกบฏที่แปรพักตร์ไปก็ถึงหวาดหวั่น ไม่อยากจะเชื่อกับภาพตรงหน้า

"ยุทธภพและทางราชสำนักต่างมีกฎระบุไว้ชัดแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ท่านทำแบบนี้หมายความว่าเช่นไร!" จากการที่ตระกูลของตนถูกฆ่าล้างบาง เสนาบดีมู่ที่อวดดีและยโสมาชั่วชีวิตถึงกับหวาดกลัวจนสุดขีด อดที่จะร้องเสียงแหลมไปทางเย่ฉุ่ยเหยา

เสนาบดีมู่ย่อมรู้ดีว่าขุมกำลังที่มีอำนาจเพียงพอจะกวาดล้างตระกูลขุนนางจำนวนมากเช่นนี้ในชั่วข้ามคืน มีเพียงไม่กี่ขุมกำลังเท่านั้นที่จะทำได้ แน่นอนว่าไม่ใช่ราชสำนักที่กำลังวุ่นวายอยู่ ณ ตอนนี้ และยิ่งไม่ใช่ทางฝั่งสมาพันธ์ยุทธภพแน่นอน ที่หลงเหลืออยู่ก็มีแค่นิกายมารเท่านั้น นางมารสวรรค์เย่ฉุ่ยเหยาเจ้าลัทธินิกายมารที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นหลักฐานที่บ่งบอกทุกอย่างให้กระจ่างแล้ว

"เจ้าหมายถึงอะไร?" เย่ฉุ่ยเหยาอมยิ้มและกล่าวว่า "ข้าที่เป็นภรรยาย่อมต้องมีหน้าที่คอยช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของสามีมิใช่รึ?"

เสนาบดีมู่และบรรดาขุนนาง กลุ่มแม่ทัพกบฏที่ได้ยินถึงกับกระอักเลือด หมดซึ่งเรี่ยวแรงที่จะเอ่ยกล่าว ในเวลานี้ พวกเขาสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว

"แม่งน่าสนใจเหลือเกิน ยังมีคนกล้าอ้างเรื่องกฎต่อหน้าเจิ้น!" หนิงหลงถึงกับหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง "เจี่ยกงกง เจ้าบอกเจิ้นมาสิ ในราชสำนัก ไม่สิ ทั่วทั้งผืนแผ่นดินนี้ใครคือกฎหมาย!" หนิงหลงกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง

"แผ่นดินนี้ผืนนี้เป็นของฝ่าบาท" เจี่ยกงกงเอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบสงบ

"ได้ยินแล้วยัง?" หนิงหลงยิ้มแต้กล่าวว่า "แผ่นดินนี้เป็นของเจิ้น! ดังนั้นแล้ว เจิ้นก็คือกฎหมาย!"

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยุทธภพและทางราชสำนักไม่ยุ่งเกี่ยวกันเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง นั่นเป็นเพราะเสือสองตัวมันจะอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ แต่เวลานี้ข้อตกลงที่ว่านั้นถูกทำลายสิ้นลงในยุคของหนิงหลงแล้ว

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลง ย่อมต้องถูกขุมกำลังผู้มีอำนาจจากทั้งสองฝ่ายไล่ล่าแน่นอน แต่เวลานี้ ขุมกำลังมหาอำนาจสองในสามได้จับมือกันแล้ว ต่อให้ยักษ์ใหญ่อย่างสมาพันธ์ยุทธภพต้องการรักษาข้อตกลงไว้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว แค่มหาอำนาจทั้งสามสู้กันหนึ่งต่อหนึ่งก็กินกันแทบไม่ลงแล้ว ถ้าต้องมาเจอสองรุมหนึ่งคงได้พินาศย่อยยับ

มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงฮ่องเต้เจ้าเหนือหัว และยังมีฮองเฮาเป็นเจ้าลัทธินิกายมาร บนโลกนี้คงมีแค่ลูกรักนักเขียนอย่างหนิงหลงคนเดียวเท่านั้น...

"ต่อให้เจ้าได้รับการช่วยเหลือจากนิกายมาร เจ้าก็ไม่มีทางต้านกองทัพชั้นยอดนับล้านที่อยู่ด้านนอกได้!" เสนาบดีมู่ร้องคำรามเสียงดังออกมา เขาไม่มีทางเลือก ไม่สู้ยิบตาจนตัวตาย ไม่ก็ล่าถอยด้วยความหวาดกลัวแล้วถูกสังหาร ไม่ว่าจะทางไหนก็ตายเหมือนกัน เขาได้แต่ฝากความหวังสุดท้ายไว้กับกองทัพกบฏแล้ว

"จะวัดอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่วัดเรื่องวาสนา" หนิงหลงส่ายหน้า กล่าวอย่างช้าๆ ว่า "ต่อให้พวกเจ้ายกทัพมาหลายสิบหมื่นหรือหลายสิบล้าน จะกี่ร้อยจะกี่พันล้าน พวกเจ้าก็ยังเทียบกับข้าไม่ติด เพราะรัศมีข้าสูงที่สุด!"

ปู้นนนนนน~!!!!

เสียงแตรสงครามดังลากยาว ก้อนเมฆาบนท้องนภาแยกออกพังทลาย ห่างออกไปจากเมืองหลวงฉางอันไม่ไกล ฝุ่นควันโขมงใหญ่ตลบอบอวลพร้อมเสียงฝีเท้าดังชัชวาลก้องเป็นจังหวะ เมื่อฝุ่นควันจางออกปรากฏกองทัพเรือนแสนวิ่งห้อมาแต่ไกลโพ้น เป็นกองทัพที่ระเบิดกลิ่นอายอานุภาพปราศจากผู้ปกครองปกคลุมไปทั่วหมื่นแดน

ทหารภายในกองทัพนี้ล้วนแล้วแต่สวมเสื้อเกราะลายเกล็ดสีทอง เมื่อกระทบสะท้อนกับแสงอัสดงทำให้สว่างวาบไปทั่วอาณาบริเวณ ตรงหน้าอกของชุดเกราะสลักมังกรทองห้ากรงเล็บไว้ตัวหนึ่ง เป็นมังกรที่มีพลังอหังการยิ่งนัก สามารถกวาดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกหล้าได้ทั้งหมด

ทั้งกองทัพตลบอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ดุดันน่ากลัวยิ่ง ความดุดันเช่นนี้สามารถฉีกทุกอย่างให้กระจุยได้ เหมือนว่ากองทัพนี้คือปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก สามารถต้านรับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหล้า สามารถต้านรับได้ทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการลงทัณฑ์สายฟ้าจากสวรรค์เบื้องบน มันก็สามารถต้านรับได้

เมื่อเปรียบเทียบลักษณะท่าทางที่ดุดันของกองทัพนี้แล้ว กองทัพพิทักษ์ชายแดนที่มีไพร่พลนับล้านดูอ่อนด้อยไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง โดยเฉพาะผู้บัญชาการทั้งสามของกองทัพนี้ ต่างพากันระเบิดกลิ่นอายจอมราชันสยบไปทั่วเก้าชั้นฟ้า ต่อให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเทพเซียน พวกเขาก็จะหยิบยกเอาศัสตราวุธในมือขึ้นมาเข่นฆ่าล้างเซียน พวกเขาไม่เกรงกลัวต่อศัตรูใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขากล้าที่จะสู้รบกับทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาเป็นนักรบแต่กำเนิด พวกเขาคือทหารที่ผ่านการสู้รบมาอย่างโชกโชน

ธวัชของกองทัพนี้ที่กำลังโบกสะบัดพลิ้วไหวลู่ลม มันคือลายมังกรทองห้ากรงเล็บตัวหนึ่ง มังกรทองที่แยกเขี้ยวยิงฟัน มังกรทองลักษณะเช่นนี้เหมือนต้องการโผล่ออกมาจากธงรบเพื่อฉีกร่างศัตรูทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า เป็นมังกรทองที่เปี่ยมด้วยพลัง

ขณะที่กองทัพนี้ปรากฏขึ้นมานั้น สร้างความหวาดผวาไปทั้งเมือง และสั่นเทาไปทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นใด ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นเทพสงครามทหารผ่านศึกที่น่ากลัวเพียงใด เมื่อยืนอยู่ต่อหน้ากองทัพนี้แล้วก็สมควรรู้สึกถึงหวาดกลัว!