webnovel

ทฤษฎี 21 วัน

รัชสมัยฮ่องเต้เจิ้งหยวนช่าง ปีที่ 47 เมืองหลวงฉางอันยังคงครึกครื้นไปด้วยผู้คน

หลังจากที่พวกหนิงหลงได้มาถึงเมืองหลวง ทางด้านสองยอดฝีมือแห่งยุคอย่างอวิ๋นซางและเย่ฉุ่ยเหยาได้บอกลาเพื่อกลับไปจัดการธุระที่นิกายของตน หลงเหลือเพียงแค่ตัวหนิงหลงและฟู่เทียนซาเท่านั้น

ไม่รอช้าฮ่องเต้เจิ้งหยวนช่างผู้ที่เป็นพี่ชายใหญ่ ก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี รีบจัดเตรียมตำหนักหลังใหญ่ ที่หรูหราโอ่อ่า พร้อมด้วยบ่าวรับใช้และผู้คุ้มกันนับร้อยให้กับน้องชายมันอย่างเสร็จสรรพ

ฟู่เทียนซายังเป็นกังวลว่าน้องชายของมันจะไม่ถูกใจ อีกทั้งยังกระชับสั่งการออกไปอีกว่าให้ดูแลรับใช้หนิงหลงให้ดี อย่าได้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย

คำบัญชาของฮ่องเต้ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวของแผ่นดิน ไหนเลยผู้ใต้บังคับบัญชาจะกล้าทำไม่เต็มที่ พวกเขาต่างปฏิบัติตามอย่างเด็ดขาดเต็มร้อย

การที่ฮ่องเต้ปฏิบัติเช่นนี้กับหนิงหลง มันช่างเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเช่นใด แต่กลับไม่มีใครกล้าแพร่งพรายเรื่องนี้แม้แต่น้อย

เรื่องที่สะเทือนเลือนลั่นเช่นนี้หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้แล้ว ไม่มีผู้รับใช้คนใดกล้าตัดสินใจโดยพละการอยู่แล้ว เรื่องนี้ใช่เพียงแค่หัวหลุดจากบ่าเท่านั้น แต่มันคือโทษประหารทั้งตระกูลเลยทีเดียว

จากจุดนี้ย่อมสามารถมองออกเลยว่าพี่ชายใหญ่ของมันยอดเยี่ยมเพียงใด!

หลังจากที่หนิงหลงได้ย้ายไปพักอาศัยอยู่ในตำหนักที่พี่ชายสุดที่รักเตรียมให้แล้ว อีกทั้งยังได้รับการปฎิบัติดูแลสูงสุด ชนิดที่ว่าแทบจะตัดข้าป้อนเข้าปาก อยู่ดีกินดี อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจ ขอเพียงแค่โบกมือก็สามารถเรียกลมเรียกฝนได้

ดังนั้นแล้ว การอาศัยอยู่ที่ตำหนักของหนิงหลงก็คล้ายดั่งเป็นอ๋องตัวจริง เพลิดเพลินไปกับการปรนิบัติดูแลรับใช้ขั้นสูงสุดระดับเดียวกับฮ่องเต้ เป็นอำนาจสูงสุดที่สามารถทำทุกสิ่งได้ตามอำเภอใจ

ในฐานะน้องชายร่วมสาบานของฮ่องเต้ อีกทั้งยังเป็นว่าที่อ๋องด้วยแล้ว ย่อมมีอำนาจเช่นนี้อย่างแน่นอน ความรู้สึกที่ยืนอยู่เหนือคนนับหมื่น อำนาจที่สะเทือนหวั่นไหวไปทั่วอาณาจักร

หนิงหลงทิ้งตัวนอนลงบนเตียงหรูหราขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งห้อง สองตาเหม่อมองเพดานห้องปล่อยจิตให้ล่องลอย ปราศจากสุ้มเสียง

อยู่ดีไม่ว่าดี เพราะความคึกคะนองรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตนแท้ๆ จึงทำให้ถูกส่งมายังโลกใบใหม่ที่ไม่รู้จักนี้

ยังไม่ทันไร ตัวมันที่ลูกคุณหนูบ้านรวยที่วันๆ เอาแต่กินนอนเที่ยวเล่นเคล้าสุรามั่วนารี จะถูกจับพลัดจับผลูไปร่วมรบทำศึกสงคราม และที่บันเทิงไปยิ่งกว่านั้นคงเป็นเรื่องที่มันได้พี่ชายร่วมสาบานเป็นถึงฮ่องเต้เจ้าเหนือหัวของแผ่นดินเนี่ยสิ

"ชีวิตหนึ่งก็เป็นแค่บทเหมือนในละคร ขณะที่หายที่หายใจคือการดำเนินในแต่ละตอน" หนิงหลงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา และหลับตาลงอย่างช้าๆ

วันรุ่งขึ้น หนิงหลงได้ออกจากตำหนักของตนเพื่อออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งยามเช้า นอกจากต้องการวิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพแล้ว หนิงหลงยังต้องการสำรวจทั่วทั้งวังหลวงแห่งนี้ด้วย

ในระหว่างทางที่หนิงหลงวิ่งนั้น เขาได้ชมนกชมไม้ ชมทิวทัศน์ที่งดงามของพระราชวังต่างๆ ที่อยู่ในวังหลวง คล้ายดั่งเป็นการวิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะอย่างนั้น ขาดก็แต่ผู้คนที่สัญจรไปมาเท่านั้น

จะมีแต่บรรดาทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่สนใจหนิงหลงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาทำเสมือนว่าหนิงหลงไม่มีตัวตน

หลังจากวิ่งไปเกือบครึ่งค่อนของวังหลวงแล้ว หนิงหลงก็พบว่าวังหลวงแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่งนัก ทอดสายตามองออกไป นอกจากสิ่งก่อสร้างที่เป็นพวกตำหนักหรือพระราชวังจำนวนมากมายเหลือคณาแล้ว หนิงหลงก็ได้พบว่าสวนหย่อมในวังหลวงแห่งนี้ ยังมีขนาดกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา เหมือนมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุดอย่างนั้น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหลบพ้นสายตาของหนิงหลงไปได้ ซึ่งมันก็คือศาลาน้อยที่ตั้งเด่นอยู่บริเวณริมสระน้ำ อีกทั้งภายในศาลาน้อยยังปรากฏร่างเพรียวบางของโฉมสะคราญผู้หนึ่ง

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลังหยางอย่างหนิงหลงย่อมไม่พลาดโอกาสนี้เป็นแน่ ยังไม่ทันที่สมองจะได้สั่งการ สองเท้าของเขาก็ก้าวตรงดิ่งไปยังศาลาน้อยนี้แล้ว

ชิ้ง! เสียงคมดาบที่ถูกชักออกจากฝักดังขึ้นเป็นระลอก หนิงหลงยังไม่ทันก้าวขึ้นไปบนศาลา พลันปรากฏจิตสังหารเข้ามากดทับร่างน้อยๆ ของเขา พร้อมทั้งคมดาบนับสิบเล่มจ่ออยู่ที่ลำคอ ขอเพียงหนิงหลงขยับตัวแม้เพียงน้อยนิดก็ต้องหัวหลุดจากบ่า

สายตาของหนิงหลงกวาดไปรอบๆ ทีหนึ่ง ทำให้พบว่ายามนี้รอบตัวของเขาถูกล้อมเอาไว้ด้วยยอดฝีมือชุดดำนับไม่ถ้วน กระทั่งมดแมลงยังบิดเล็ดลอดไปไม่ได้

เมื่อได้ลองมองสังเกตจากรูปร่างลักษณะของบรรดายอดฝีมือแล้ว จะพบว่าทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสตรีทั้งสิ้น

การถูกเหล่าสตรีรุมล้อมเช่นนี้ควรจะเป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่ทว่า ยามนี้ตัวหนิงหลงกลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย บรรดาสตรีที่รุมล้อมตัวเขาอยู่ขณะนี้ มีคนใดบ้างที่ไม่ปล่อยจิตสังหารออกมา

"ไสหัวไป!" สตรีชุดดำที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มยอดฝีมือเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยจิตสังหาร

"ใจเย็นก่อนพี่สาวคนสวย ข้าแค่ผ่านมาไม่ทันระวังตัวเท่านั้น" หนิงหลงพลันเผยรอยยิ้มแป้นออกมาให้เห็น

"เจ้าพูดจาละเมออันใด ที่นี่คือเขตวังหลัง นอกจากฮ่องเต้แล้ว มิมีบุรุษผู้ใดกล้าเดินเพ่นพ่านตามอำเภอเช่นนี้" ดวงตาทั้งสองของนางดูไม่เป็นมิตร

"ไอหยา ก็ว่าแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเห็นทหารยืนเฝ้าไปทั่วทุกที่ แต่บริเวณแถวนี้กลับไม่มีทหารที่เป็นบุรุษเลยแม้แต่คนเดียว" หนิงหลงไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตระหนก อีกทั้งยังหัวเราะร่า "ตัวข้านั้นวิ่งมาเหนื่อยๆ ขอเข้าไปนั่งพักในศาลาชั่วครู่ก่อนไม่ได้หรือ?"

"ดูท่าเจ้าไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา" แววตาทั้งสองของหัวหน้ากลุ่มสตรีชุดดำพลันดูน่าเกรงขาม กล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นว่า "สังหารมันทิ้งเสีย"

"ข้าแค่หยอกหยอกเล่นเองพี่สาวคนสวย" หนิงหลงทำท่าเหมือนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ยักไหล่ขึ้นสูงดูไม่แยแส

ขณะที่คมมีดกำลังจะสะบั้นศีรษะของหนิงหลงนั้น เสียงไอกระแอมดังขึ้น ผู้เฒ่าผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้าๆ ไร้ซุ่มเสียงเหมือนผี ถ้าเกิดว่าเขาไม่ส่งเสียงออกมาจะไม่มีใครรับรู้ได้เลย

เมื่อพวกนางได้เห็นผู้เฒ่าผู้นี้ ต่างรู้สึกตื่นตระหนกอย่างยิ่ง พลันรู้สึกหนาวเย็น จิตสังหารที่เคยแผ่หลาออกมาก่อนหน้านี้หดกลับหายไปอย่างไร้รอย พร้อมถอยกลับไปยืนขวางหน้าศาลาน้อยทันที

กลุ่มสตรีชุดดำทั้งหมดต่างมองหน้าผู้ที่ก้าวเดินเข้ามาด้วยความยำเกรงอย่างยิ่ง อดที่จะกลั้นลมหายใจเอาไว้ไม่ได้ ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง

ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนางหวั่นเกรงต่อผู้เฒ่าตรงหน้ามากเพียงใด

ผู้ที่เข้ามาโดยปราศจากสุ้มเสียงเป็นผู้เฒ่าผู้หนึ่ง เขาสวมชุดสีแดงที่เป็นเครื่องแบบของขันที บนร่างปราศจากกลิ่นอายสังหารที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว และไร้ซึ่งอำนาจที่ไว้สยบผู้คนใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนเป็นขันทีชราทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น

"เจี่ยกงกง" โฉมสะคราญที่อยู่ด้านในศาลาน้อยเพียงมอบแวบเดียว ยิ้มเฉยเมยแล้วหลับตาไม่สนใจ

ถ้าหากจะกล่าวว่าภายในราชสำนักนอกจากฮ่องเต้เจิ้งหยวนช่างที่เป็นยอดฝีมือแห่งยุค ยังมีขันทีชราผู้นี้เนี่ยแหละ ที่เป็นยอดฝีมืออีกท่านหนึ่ง

เจี่ยกงกง! เป็นชื่อที่สะเทือนขวัญไปทั่วราชสำนัก เปรียบดั่งเงาทมิฬที่ครอบคลุมขุนนางไปทั่วทุกระดับชั้น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสิบสอง หรือที่ถูกขนานนามกันว่าระดับปรมาจารย์ยุทธ์! ทั่วทั้งแผ่นดินอู๋เหนือ-เจิ้งใต้ คนที่ไปถึงระดับนี้ได้นั้น มีกันเพียงแค่สี่คนเท่านั้น!!!

เมื่อใดที่เจี่ยกงกงถือราชโองการไปเยือนที่หน้าบ้าน สิ่งนี้แหละที่บ่งบอกได้ว่าหายนะมาเยือนแล้ว!

เจี่ยกงกงเปรียบเสมือนเป็นเงาสายหนึ่ง ปรากฏตัวได้ทุกที่ อีกทั้งเขาเป็นเงาที่เยือกเย็น แข็งกร้าวไร้ความปรานี ตามติดฮ่องเต้เจิ้งหยวนช่างไม่ขาด

"ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้า" เจี่ยกงกงกล่าวท่าทีเฉยเมย การพูดการจาเรียบเฉยอีกทั้งยังดูมีมารยาท ถึงแม้ว่าน้ำเสียงดูไม่เคารพน่าฟังแต่นี่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในอภิสิทธิ์ของระดับปรมาจารย์ยุทธ์

กลุ่มสตรีชุดดำถึงกับรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยกงกง พวกนางต่างมองหนิงหลงด้วยความรู้สึกงงงัน ไม่รู้ว่าหนิงหลงเป็นใครมาจากไหนกันแน่

จากคำกล่าวของเจี่ยกงกงก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงอ๋องผู้หนึ่ง แต่ทว่า เขาเป็นอ๋องจากอาณาจักรใดกันละ? ผู้คนทั่วหล้าต่างทราบกันดีว่า ในราชวงศ์เจิ้งนั้นไม่มีอ๋องแม้แต่คนเดียว เช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าของพวกนางจะต้องเป็นอ๋องจากแว่นแคว้นอื่น

แม้แต่โฉมตรูแห่งยุคภายในศาลาน้อย ที่ดูเหมือนจะไม่แยแสต่อสถานการณ์โดยรอบ อดไม่ได้ที่จะมองหนิงหลงทีหนึ่งด้วยท่าทีสงสัยใคร่รู้

ขณะที่หนิงหลงกำลังจะเดินตามเจี่ยกงกงไปนั้น เขาได้เอ่ยปากตะโกนขึ้นว่า "พี่สาวคนสวยที่อยู่ในศาลา ท่านเชื่อในทฤษฎี 21 วันหรือไม่?"

บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งถึงกับงงงวยเมื่อได้ยินคำพูดของหนิงหลง ภายในใจต่างรู้สึกฉงนว่าทฤษฎี 21 วันมันคือสิ่งใดกัน?

สายตาของเจี่ยกงกงมองดูหนิงหลงด้วยท่าทีแปลกๆ ตัวมันที่เป็นถึงหัวหน้าขันที เป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในราชสำนักรองมาจากฮ่องเต้ มันจะไม่ทราบได้ยังไงว่าหญิงสาวที่อยู่ในศาลาน้อยเป็นใคร

แม้แต่ตัวมันที่เป็นถึงระดับปรมาจารย์ยุทธ์คนหนึ่งด้วยแล้ว ยังไม่กล้าที่จะยั่วยุนางเลยเสียด้วยซ้ำ ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กล้าที่จะเอ่ยปากหยอกล้อนาง เป็นเพราะว่าเขาไม่ทราบว่านางเป็นใครหรือเขาเป็นเพียงคนเสียสติกันแน่

"น่าสนใจ" หญิงสาวที่อยู่ในศาลาเผยรอยยิ้มสยบที่สยบบุรุษทั่วทั้งแผ่นดินออกมา เอ่ยปากสั่งการกับกลุ่มสตรีชุดดำว่า "พวกเจ้าจงไปสืบว่า ทฤษฎี 21 วัน มันคือสิ่งใด?"

"เพคะ ฝ่าบาท!" เมื่อสิ้นเสียง พวกนางทั้งหมดได้หายไปจากบริเวณรอบศาลาโดยไม่หลงเหลือไว้แม้แต่เงา