webnovel

ขอโทษนะ ที่เข้าไปเป็นคนเท่ๆ ในชีวิตเจ้า

หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่ออกจากป่าแล้ว ก็ได้เดินทางกันมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง

เมื่อเห็นเมืองตรงหน้าอวิ๋นซางถึงเผยรอยยิ้มออกมา "เมืองสมุทรสยบบูรพาสมกับเป็นปราการแห่งท้องทะเลตงไห่"

ขณะที่กลุ่มของหนิงหลงมาถึงหน้าประตูเมืองสมุทรสยบบูรพา พวกเขาก็ได้พบว่าเมืองสมุทรสยบบูรพาในเวลานี้มีการวางเวรยามที่เข้มงวดมาก ไม่ว่าใครก็ตามหากต้องการผ่านเข้าออก พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด บุคคลใดน่าสงสัยจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปในเมืองสมุทรสยบบูรพา

ความจริงแล้ว เมืองสมุทรสยบบูรพาในยามปกติจะไม่เป็นเช่นนี้ ผู้คนสามารถผ่านเข้าออกได้อย่างอิสรเสรี แต่ทว่ายามนี้ได้เกิดปัญหาบางอย่างขึ้น ทำให้การเข้าออกเมืองสมุทรสยบบูรพาเข้มงวดไม่น้อย

ไม่ว่าใครก็ตามหากจะผ่านเข้าออกก็ต้องถูกไต่สวนอย่างเข้มข้น จนบางครั้งถึงขั้นที่เจ้าเมืองสมุทรสยบบูรพายังมาสอบถามด้วยตนเอง

กลุ่มของหนิงหลงได้ไปยืนต่อแถวรวมกับผู้คนที่ยาวเหยียดจรดเส้นขอบฟ้า

สามยอดฝีมือถึงกับยิ้มนิดหนึ่ง การที่พวกเขาทั้งสาม คนหนึ่งเป็นถึงฮ่องเต้ คนถัดไปเป็นเจ้ายุทธภพฝ่ายธรรมะ และอีกคนก็เป็นถึงเจ้าลัทธิมาร บุคคลทั้งสามที่ไม่ควรจะมาอยู่ร่วมกัน แต่เวลานี้กลับอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา

นั่นก็เพราะปัญหาในเมืองสมุทรสยบบูรพามีสวนเอี่ยวกับพวกเขาไม่น้อย เมืองสมุทรสยบบูรพากลายเป็นเข้มงวดเช่นนี้ก็หาใช่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดแต่อย่างใด

หลังจากที่ถึงคิวของหนิงหลงแล้ว ทหารที่เฝ้าประตูเมืองได้เข้ามารุมล้อมขวางหนิงหลงเอาไว้ทันที หนิงหลงถูกทหารยามรุมประกบทั่วทั้งสี่ทิศ เหมือนเกรงว่าหนิงหลงอาจก่อจลาจลขึ้นกะทันหันอย่างนั้น

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการแต่งกายของหนิงหลงราวกับผู้ผิดยุค ดูประหลาดแตกต่างจากผู้อื่น

สภาพของหนิงหลงในยามนี้มีผมสั้นทรง Two-Block เสื้อเชิ้ตสีกรมและกางเกงชิโน่สีขาว พร้อมรองเท้าแตะรัดส้นคู่ใจสีดำ บนตัวของหนิงหลงสวมเครื่องประดับที่วัสดุถูกทำมาจากแพลตตินั่มและเพชร ไม่ว่าจะเป็นสร้อย แหวน กำไร ต่างหู และนาฬิกาข้อมือ

โลกแห่งนี้มีวัฒนธรรมที่แต่งต่างไปจากยุคสมัยของหนิงหลง ในโลกเดิมของเขานั้น ผู้ชายเจาะหูเจาะจมูก สวมต่างหู สวมตุ้มจมูกกันเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับโลกที่หนิงหลงกำลังอยู่ตอนนี้ การแต่งกายสไตล์ของเขาราวกับพวกนอกรีต ผิดแปลก

"มาจากไหน จะไปที่ไหนของเมืองสมุทรสยบบูรพา" ทหารยามได้กล่าวถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

"มาจากที่ไกลโพ้น จะไปทางโน้น" หนิงหลงกล่าวพลางยิ้ม และชี้ไปยังเมืองที่อยู่ด้านหลังของทหารยาม

ฟู่เทียนซาและอวิ๋นซางที่ยืนต่อแถวอยู่ด้านหลังหนิงหลงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ภาพตรงหน้าคลับคล้ายว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่ผิดเพี้ยน

ความกวนโอ๊ยของหนิงหลง ทำให้สีหน้าของเหล่าทหารยามที่ล้อมเขาไว้อยู่ดูไม่จืดในทันที โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคนเอ่ยถามถึงกับมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีและกล่าวว่า "อย่าได้ทำเป็นตีฝีปาก เจ้ามีชื่อว่าอะไร"

"ข้าพเจ้าผู้แซ่ 'หนิง' ชื่อ 'หลง' " หนิงหลงยิ้มไปตามอารมณ์ และตอบกลับไปด้วยท่าทีที่มั่นใจเต็มเปี่ยม

หลังจากนั้นหนิงหลงได้ถูกทหารยามตรวจสอบและสักถามเรื่องต่างๆ แต่ด้วยฝีปากดุจสาลิกาลิ้นทองและวิชาเอกการแสดงทำให้เขาสามารถผ่านเข้าไปในตัวเมืองได้โดยไม่มีปัญหาอะไร

สำหรับยอดฝีมือทั้งสามการเข้าผ่านตัวเมืองไม่นับว่าเป็นปัญหาสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อน กลุ่มของหนิงหลงได้เดินเข้าเมืองไปหลอมรวมเข้ากับคลื่นมนุษย์ที่เดินเบียดเสียดกัน

เมืองสมุทรสยบบูรพานอกจากเป็นปราการแห่งท้องทะเลตงไห่แล้วก็ยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญของต้าเจิ้งอีกด้วย นอกจากเมืองหลวงฉางอันที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแล้ว เมืองสมุทรสยบบูรพาก็เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองติดหนึ่งในสามของต้าเจิ้ง

เมืองสมุทรสยบบูรพาที่มีประชากรหลายแสนคนไม่นับเป็นเมืองใหญ่แต่อย่างใด แต่ว่าเมืองสมุทรสยบบูรพามีการปกครองที่ดีมาก ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข ดังนั้นแล้ว เมืองสมุทรสยบบูรพาจึงแลดูมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นพิเศษ จนถูกขนานนามว่า 'มหานครที่ไม่เคยหลับใหล'

พวกของหนิงหลงได้เดินเข้าไปอยู่ในเมืองสมุทรสยบบูรพา เดินอยู่บนถนนที่แออัดยัดเยียดไหลไปตามผู้คน หนิงหลงเดินไปตามอารมณ์ เอ้อระเหยลอยชาย เสพสุขกับกลิ่นอายของโลกยุคโบราณที่ไม่มีโอกาสจะได้พบพาน

หนิงหลงถึงกับยิ้มออกมาด้วยความเพลิดเพลิน ขณะเดินไหลไปตามคลื่นมนุษย์ เขารับรู้ถึงกลิ่นอายของความโบราณที่แฝงไปด้วยมนต์ขลังไม่น้อย

ทันใดนั้น หนิงหลงก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังเดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาอดจ้องมองดูแวบหนึ่ง

หญิงสาวนางนี้ดูเหมือนจะมีอายุราวสามสิบ ไร้ซึ่งการประทินโฉมด้วยเครื่องสำอาง นางสวมชุดผ้าป่านที่หลวมมาก ทั้งยังได้สวมหมวกบนศีรษะ โดยที่นางได้ดึงเอาหมวกให้มันต่ำลงเหมือนต้องการปิดบังใบหน้าของนางเอาไว้

แม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะสวมชุดป่านทั้งชุดดูเหมือนสาวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ความงามของนางกลับไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นไปจากสายตาของคุณชายเจ้าสำราญอันดับหนึ่งของแผ่นดินอย่างหนิงหลงไปได้

ดวงตาที่คล้ายดั่งน้ำที่กระเพื่อมยามสารทฤดู คิ้วดกดำเรียวยาวเล็กดั่งกิ่งหลิว กอปรด้วยบุคลิกที่ดูเป็นผู้นำมีระดับอยู่เจ็ดส่วนและสวยหยาดเยิ้มอยู่สามส่วน

รูปโฉมพริ้งงดงามสรีระสัดส่วนไร้ที่ติ ต่อให้เป็นเสื้อป่านที่หลวมโพรกก็ไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นส่วนเว้าส่วนโค้งเอาไว้ได้

หน้าอกที่อวบอิ่มสะโพกที่กลมกลึง รูปโฉมที่ดูบอบบางแข็งนอกอ่อนในและงามหยาดเยิ้ม นางเสมือนดั่งผลองุ่นที่สุกงอมฉ่ำด้วยน้ำ จนหนิงหลงอดใจไม่ไหวอยากจะเก็บมาลิ้มลอง

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หนิงหลงจึงได้เดินตรงเข้าไปหานางทันทีอย่างไม่ลังเล

หญิงสาวที่กำลังเดินมองไปรอบๆ เหมือนกับว่ากำลังสำรวจเมือง ทันใดนั้นนางก็พบว่าได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาเดินมาหยุดตรงหน้า นางจึงมองไปที่หนิงหลงด้วยความสงสัย

"ยังรักเจ้าเสมอนะ เจอปัญหาอะไรเจ้าก็ต้องสู้ๆ นะ แม้ว่าข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ข้ารักเจ้ามากนะ ถึงจะเป็นได้แค่นี้ สู้ๆ นะอย่าร้องไห้บ่อย กินข้าวเยอะๆ คอยดูเจ้าอยู่ห่างๆ" หนิงหลงกล่าวขึ้นเสร็จ เขาเดินหันจากไปด้วยความอาวรณ์

หญิงสาวได้มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

ภายในใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายยากที่จะกล่าวออกมา

ฟู่เทียนซาและอวิ๋นซางที่ได้เห็นเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบถึงกับตะลึงจนตาโต อ้าปากค้าง ยืนนิ่งเป็นตัวโง่งม ถึงแม้ว่าระยะห่างของพวกเขาจะไกลมากและมีเสียงผู้คนที่ผ่านไปผ่านมากสอดแทรก แต่ด้วยระดับของพวกเขาแล้วการจะได้ยินสิ่งที่หนิงหลงพูดกับหญิงสาวไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เย่ฉุ่ยเหยาอมยิ้มหัวเราะเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความหยาดเยิ้มชวนลุ่มหลง

ในขณะที่หนิงหลงเดินออกมา เขาไม่ลืมที่จะเปิดเพลงจากโทรศัพท์เพื่อเป็นดนตรีประกอบไปด้วย

หญิงสาวที่เห็นว่าหนิงหลงเริ่มเดินหายเข้าไปในฝูงชน นางจึงได้ตะโกนเรียกเพื่อหยุดเขา "ช้าก่อน!"

หนิงหลงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดลง หันหน้ากลับไปหาหญิงสาวเหลือบมองนางที่หนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า "เพราะรักมันทำร้ายเลยย้ายไปทำรถ เพราะรักมันรันทดเลยทำรถประชดรัก"

"ห้ะ!?" หญิงสาวจ้องมองหนิงหลงที่ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในฝูงชน ภายในใจของนางถึงกับถามตัวเองว่า เจ้าหมอเป็นคนเสียสติใช่หรือไม่?