webnovel

ของขวัญมูลค่าต่ำแต่มากด้วยน้ำใจ

ขณะนี้ สถานการณ์บนเทือกเขาคุนหลุนดูจะมีความกดดันอยู่บ้าง บรรดายอดฝีมือจากทั่วทุกสารทิศจำนวนไม่น้อยที่ปกติแล้วมีความร่าเริงอยู่ไม่เป็นสุข เวลานี้ตกอยู่ในสภาวะกดดันจนแทบหายใจไม่ออก ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม

จนกระทั่งการมาถึงของคนผู้หนึ่งจึงทำให้บรรยากาศที่กดดันนี้เปลี่ยนไป

ในวันนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งสะพายดาบที่ด้านหลังมาถึง ขณะที่ชายหนุ่มผู้สะพายดาบมาถึงนั้น มองเห็นปราณดาบที่ปลิวว่อนตลบอบอวลวิ่งคดเคี้ยวมาถึง เสมือนดั่งน้ำหลากจากทิศตะวันออกอย่างนั้น

ขณะที่ปราณดาบลดเลี้ยวมานั้น แม้แต่ผู้ที่อ้างว่าเป็นยอดฝีมือจำนวนมากที่อยู่บนเทือกเขาคุนหลุนก็ถูกปราณดาบทำให้แตกตื่น ผู้คนจำนวนมากต่างพาทยอยกันออกมามองดูเจ้าของปราณดาบดาบนี้

ทุกสายตาต่างมองทอดออกไป เห็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สะพายดาบมา ท่าทางเงียบขรึม ใบหน้าดูผ่อนคลายและสบายใจ สวมใส่ชุดสีดำขลิบแดงเปิดโชว์หน้าอกผาย

ชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างสูงเพรียว ไม่มีเนื้อหนังมังสาที่ล้นเกิน มวลกล้ามมัดกันได้เข้ารูปสมบูรณ์ตรงตามมาตรฐาน เสมือนว่าผ่านการขัดเกลามาอย่างดี แววตาดุจดั่งเหยี่ยวที่จ้องจับเหยื่อ คิ้วดั่งคมดาบตรง ท่วงท่างดงามและดูสุขุม แต่แฝงไปด้วยความอิ่มเอิบมีชีวิตชีวา

ด้านหลังของเขาได้สะพายดาบกางเขนสีดำเล่มหนึ่ง แม้ว่าดาบกางเขนเล่มนี้ของเขาจะยังไม่ได้ออกจากฝัก แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความคมของดาบแล้ว เหมือนว่าทันทีที่ดาบกางเขนเล่มนี้พลันออกจากฝักก็สามารถตัดสะบั้นสุริยันจันทรา ฉีกผ่าทำลายดวงดาราท้องนภา

ชายหนุ่มผู้นี้ก้าวเข้ามาโดยสะพายดาบกางเขนที่หลัง ปราณดาบที่พวยพุ่งปกคลุมทั่วทั้งเขาคุนหลุนของชายหนุ่มนั้น หาใช่ปราณดาบประเภทที่ดุดันอันธพาลที่แสร้งทำ ดูดัดจริต แต่เป็นปราณดาบสายหนึ่งที่แลดูเป็นธรรมชาติยิ่ง

ขณะที่เขาค่อยๆ เดินมานั้น ปราณดาบก็จะตลบอบอวลไปทั่วฟ้าดิน ตัวเขานั้นไม่ได้จงใจระเบิดปราณดาบของตนออกมาแต่อย่างใด และไม่ได้ต้องการปล่อยให้พลังดาบของตนตลบอบอวลทั่วฟ้าดินตามอำเภอใจ

แต่เป็นเพราะปราณดาบของเขาเหมือนเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ปราณดาบของเขาเสมือนหนึ่งเป็นปลาในแม่น้ำที่ว่ายวนอยู่แล้วอย่างนั้น หาใช่การปลดปล่อยออกมาในยามต้องการ

ดังนั้น เมื่อปราณดาบของชายหนุ่มพวยพุ่งขึ้นมายามที่เขาเดินมาพร้อมสะพายดาบที่หลัง ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายเป็นพิเศษ ไม่มีลักษณะของปราณดาบทั่วไปที่รุนแรงดุดัน เต็มไปด้วยความกดขี่

"อริยะดาบต้วนมู่!" มีผู้ที่ร้องเสียงดังขึ้นมาและสามารถจดจำประวัติของเขาได้ เมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

"นักดาบอันดับ 1 ของโลก!" ครั้นมองเห็นชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้แล้ว ได้สร้างความฮือฮาขึ้นมาไม่น้อย กระทั่งมีผู้ที่ร้องขึ้นด้วยความตระหนกว่า "อริยะดาบต้วนมู่กลับมาจากการเดินทางไกลแล้ว? หรือว่ากักตนจนประสบผลสำเร็จแล้ว?"

"อริยะดาบต้วนมู่นะเนี่ย ผู้ที่สามารถต่อกรกับระดับปรมาจารย์ยุทธ์ได้อย่างแท้จริง ไม่แน่นักอาจเหนือกว่าปรมาจารย์ยุทธ์อยู่นิดหนึ่ง" แม้แต่ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสเมื่อมองเห็นชายหนุ่มผู้นี้แล้วก็ต้องทอดถอนใจออกมา

อริยะดาบต้วนมู่ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ก็คือจอมยุทธ์ผู้ใช้ดาบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นอัจฉริยบุคคลที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับฟู่เทียนซา ในยุคสมัยนั้นเกรงว่าทั่วทั้งทวีปนิรันดร์คงมีเพียงพี่สาวของเขา ฟู่เยว่เทียน ที่สามารถสยบชื่ออริยะดาบต้วนมู่เอาไว้ได้

อริยะดาบต้วนมู่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมากเท่าไหร่ จึงไม่ได้มีชื่อเสียงก้องไปทั่ว ตัวเขาเสมือนหนึ่งเป็นดาบเล่มหนึ่งที่สบายๆ สูงเด่นลึกล้ำ

ในยุคสมัยนั้นชื่อเสียงของฟู่เยว่เทียนสยบไปทั่วทวีปนิรันดร์ ทุกคนในทวีปนิรันดร์ต่างเคยได้ยินชื่อของฟู่เยว่เทียน อีกทั้งฟู่เยว่เทียนยังมียศเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของต้าเจิ้ง

ขณะที่อริยะดาบต้วนมู่ต่างกัน เขาเป็นเพียงแค่ปุถุชนเดินดินคนธรรมดา ไม่ได้มีฝักฝ่ายหรือขุมกำลังใดๆ หนุนหลัง และไม่ค่อยโผล่ออกมาให้เห็นสักเท่าไหร่ เป็นประเภทมังกรเห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ระยะเวลาที่อริยะดาบต้วนมู่ท่องยุทธภพก็ไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วเขาจะออกเดินทางไปทั่วหล้า หนึ่งคนหนึ่งดาบท่องพเนจรทั่วสารทิศ

ด้วยเหตุที่อริยะดาบต้วนมู่ท่องยุทธภพไม่มากนี่เอง ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะระดับปีศาจเฉกเช่นเดียวกัน แต่ในเรื่องชื่อเสียงของเขาเทียบไม่ได้กับพระเชษฐภคินีฟู่เยว่เทียน

สมควรทราบว่า กล่าวสำหรับผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งแล้ว ไม่มีสถานที่ใดสามารถฝึกปรือได้ดีไปกว่าการฝึกปรือที่ขุมกำลังของตน จะอย่างไรเสียการได้ฝึกวิชาในสำนัก ย่อมมีทรัพยากรและมีผู้ช่วยชี้แนะสิ่งต่างๆ คอยช่วยเหลือคุ้มครองหนุนหลัง ทำให้การฝึกนั้นลงแรงเพียงครึ่งเดียวแต่ได้รับผลเป็นเท่าตัว

ขณะที่อริยะดาบต้วนมู่นั้นต่างกัน เขาสะพายดาบออกผจญเดินทางไกล ท่องไปทั่วโลกหล้า อาศัยคมดาบพบปะสหาย แม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์พเนจร แต่มาวันนี้เขายังมีความสำเร็จที่น่าทึ่งยิ่งนัก ทุกคนต่างเข้าใจดีว่า อริยะดาบต้วนมู่เพียงพอที่จะต่อสู้กับปรมาจารย์ยุทธ์ได้

"เป็นอีกหนึ่งอัจฉริยะระดับปีศาจในประวัติศาสตร์ ครั้งหนึ่งเคยสัประยุทธ์กับพระเชษฐภคินีฟู่เยว่เทียน ถึงแม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ในตอนสุดท้าย แต่ก็สามารถกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ศักยภาพเช่นนี้เทียบเคียงได้กับปรมาจารย์ยุทธ์ก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่แล้ว" ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสที่มองเห็นอริยะดาบต้วนมู่แล้วทอดถอนใจขึ้นมา

เย่ฉุ่ยเหยาเองก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะระดับปีศาจที่อยู่ก่อนหน้าไปอีกหนึ่งยุค ขณะที่เจี่ยกงกงเองก็เป็นระดับปรมาจารย์ยุทธ์ที่มีชีวิตอยู่มาแล้วถึงสี่ยุค ไม่ว่าจะเป็นนางมารสวรรค์หรือปรมาจารย์เฒ่าพันปีล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่าอริยะดาบต้วนมู่ในเวลานี้

ขณะที่อริยะดาบต้วนมู่ท่องเที่ยวไปทั่วหล้าในครั้งนั้น ก็เคยประลองศึกษาซึ่งกันและกันกับมารสวรรค์เย่ฉุ่ยเหยาและปรมาจารย์ยุทธ์เจี่ยกงกง เรียกได้ว่าประสบการณ์ในการต่อสู้ของอริยะดาบต้วนมู่มีมากเหลือเกิน

มีคำกล่าวที่ว่า อริยะดาบต้วนมู่สามารถทะลวงฝ่าเป็นระดับปรมาจารย์ยุทธ์ได้ทุกเมื่อ แต่เส้นทางที่เขาเลือกนั้นคือวิถีดาบ บุรุษผู้นี้ที่หมกมุ่นอยู่กับดาบมาชั่วชีวิต เขาต้องการที่จะบุกเบิกเส้นทางสายใหม่ขึ้นมา เพราะเขาคือผู้ที่เคยประลองศึกษากับระดับปรมาจารย์ยุทธ์มาแล้วจริงๆ จึงทำให้รู้ว่าตัวเขานั้นไม่เหมาะกับเส้นทางนี้

ด้วยเหตุนี้เอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากที่ติดอยู่ในระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ยุทธ์ต่างมั่นใจในตัวของอริยะดาบต้วนมู่ ว่าเขาจะสามารถบุกเบิกเส้นทางสายใหม่นี้ขึ้นมาได้จริงๆ เพื่อที่จะเป็นความหวังให้กับพวกเขาที่ติดอยู่ในระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ยุทธ์ได้นำไปศึกษา

ส่วนทางอีกฟากหนึ่งบนเทือกเขาคุนหลุน มีสถานที่ที่แลดูเป็นธรรมชาติซึ่งเงียบสงบยิ่งนัก และไม่มีผู้ใดมารบกวน เหมือนว่าทั่วฟ้าดินก็จะเงียบสงบเช่นนี้ทั้งสิ้น ทำให้มองไม่ออกเลยว่ามีขุมกำลังแห่งหนึ่งได้มาจัดตั้งค่ายขึ้น ทั่วทั้งเขตบริเวณรอบๆ ค่ายแห่งนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลลวงตาเอาไว้

เวลานี้ กลุ่มของหนิงหลงและนิกายมารได้เดินทางมาถึงเทือกเขาคุนหลุนแล้ว

จะอย่างไรเสีย สถานที่ที่นิกายมารอยู่คือด้านใต้สุดของเทือกเขาคุนหลุน และเป็นบริเวณที่ห่างไกลความเจริญมากที่สุด ตลอดเวลาที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่ผ่านพื้นที่แถวตรงนี้ และยังถูกซ่อนเร้นด้วยค่ายกลลวงตา ย่อมไม่มีผู้คนมารบกวนหนิงหลงอยู่แล้ว

แต่ ใช่ว่าจะมีคนมองผ่านค่ายกลลวงตานี้ไม่ออก นอกเหนือจากสมาชิกนิกายมารที่เข้าออกค่ายกลแห่งนี้แล้ว เวลานี้ ได้ปรากฏชายชราและเด็กสาวผู้หนึ่งเดินทะลวงฝ่าค่ายกลลวงตาเข้ามาอย่างสบายๆ

ทางด้านสมาชิกนิกายมารเมื่อเห็นชายชราและเด็กสาวเดินทะลวงฝ่าค่ายกลเข้ามา ทว่ากลับไม่มีใครกล้าที่จะไปหยุดยั้งทั้งสองเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นชนิดที่ว่าไม่มีความคิดเหล่านั้นอยู่ในหัวแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งตัวตนระดับบรรพบุรุษนิกายมารยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง

ชายชราผู้นี้สวมใส่ชุดผ้าป่าน ใบหน้าของชายชราดูเรียบง่าย มีรอยเหี่ยวย่นที่แสดงถึงอายุ แต่รอยเหี่ยวย่นลักษณะเช่นนี้เหมือนผ่านการขัดเกลามาแล้วอย่างนั้น ใบหน้าแก่ๆ ใบนี้เหมือนผ่านการขัดเกลาจากพายุประวัติศาสตร์มานับไม่ถ้วน ทุกๆ รอยเหี่ยวย่นล้วนแล้วแต่ผ่านการตกผลึกมาแล้วอย่างดี

ดวงตาคู่นั้นของผู้เฒ่าไม่มีอะไรที่เป็นพิเศษ บอกได้แต่เพียงดวงตาคู่นี้ใสชัดเจนมาก ดุจดั่งเป็นน้ำลำธารที่ไหลระหว่างร่องเขาอย่างนั้น ต่อให้อากาศร้อนสุดขีดมากกว่านี้ก็จะรู้สึกถึงเย็นชุ่มฉ่ำทันทีที่ได้เห็นดวงตาลักษณะเช่นนี้คู่นั้น

ส่วนทางด้านเด็กสาวข้างกายชายชราแลดูไม่มีอะไรพิเศษ อาจเป็นเพราะใบหน้าได้ถูกปกปิดด้วยหมวกขนาดใหญ่และชุดที่หลวมโปร่งปกคลุมไว้ทั่วทั้งร่างเล็กๆ นั้น

"การได้รู้จักกันก็นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง" ชายชราก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าหนิงหลงพลางยิ้มกล่าวด้วยท่าทีจริงใจ

เวลานี้ สมาชิกนิกายจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ พวกเขาต่างเฝ้ารอฉากต่อไปที่จะเกิดขึ้น

หนิงหลงที่ได้ยินเช่นนั้น ฉีกยิ้มกว้างและกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า "ในเมื่อเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง สมควรจะให้ของขวัญสักชิ้นเนื่องจากได้พบหน้ากัน ของขวัญมูลค่าต่ำแต่มากด้วยน้ำใจ"

พลันที่หนิงหลงพูดขาดคำ ใบหน้าของชายชราอมยิ้ม สายตาทั้งสองจับจ้องมองไปที่หนิงหลง เหมือนต้องการพินิจพิเคราะห์หนิงหลงให้ละเอียด เหมือนว่าเขาต้องการพิจารณาหนิงหลงตั้งแต่หัวจรดเท้าสักรอบหนึ่งอย่างนั้น

สมาชิกนิกายมารที่เฝ้ามองต่างรู้สึกเหลือจะเชื่อเหนือความคาดคิด เนื่องจากพวกเขาต่างรู้ดีว่าชายชราเบื้องหน้าเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่สถานะเช่นใด พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลมต่อหน้าชายชราด้วยซ้ำ

มาวันนี้หนิงหลงได้พบหน้าชายชรา ประโยคแรกที่อ้าปากเอ่ยมิใช่คำทักทายหรือให้ความเคารพอย่างใด แต่เป็นการรีดไถอย่างโจ่งครึ่มหน้าด้านๆ ภายในใจสมาชิกนิกายมารอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา ไม่เสียทีที่ห้อยรูปสลักหนิงหลงไว้บนคอ