webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

678-2

บทที่ 678-2 จบบริบูรณ์

ในขณะเดียวกันที่ฝรั่งเศส เถาเฉินที่เพิ่งเสร็จงานก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ตในช่วงพักและเห็นข่าวที่ยึดหน้าแรกของทุกสื่อบันเทิงในหัวเซี่ยนี้เข้า

‘เทศกาลหนังหัวเซี่ยเคลียร์พื้นที่ให้เจียงเซ่อ พรมแดงยาวร้อยเมตรเป็นของ ‘นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเพียงคนเดียว!’

‘เทศกาลหนังหัวเซี่ยเคลียร์พื้นที่ให้เจียงเซ่อ ต่อจากหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping' เจียงเซ่อก็คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาได้อีกครั้งเพราะหนังเรื่อง ‘เซียนหยวน’

‘เทศกาลหนังหัวเซี่ยก่อตั้งมากว่าห้าสิบกว่าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่บนพรมแดงมีเพียงเจียงเซ่อเพียงคนเดียว’

‘เจียงเซ่อในชุดราตรียาวสีครีม รูปร่างงดงามสมส่วน ท่าทางสุขุมนุ่มลึก เธอเป็นภาพความสวยงามเพียงหนึ่งเดียวของพรมแดงนี้ ท่ามกลางแสงไฟ รอยยิ้มน้อยๆ ของเธอถูกกล้องจับภาพเอาไว้ได้ทัน’

‘นี่เป็นความพิเศษหนึ่งเดียวที่เทศกาลหนังนานาชาติหัวเซี่ยมอบให้เธอเพื่อแสดงถึงการให้เกียรติอย่างเห็นได้ชัด!’

ผู้ช่วยที่ถือผ้าเช็ดหน้าและขวดน้ำอยู่ข้างๆ เมื่อหางตาเหลือบมาเห็นภาพนี้เข้าก็ต้องตะลึงเป็นอย่างมากเป็นอย่างมาก

แม้จะรู้ฐานะในประเทศของเจียงเซ่อในตอนนี้ดี แต่พอเห็นภาพที่หาดูได้ยากแบบนี้ก็ยังคงอึ้งอยู่นานทีเดียว

ผู้ช่วยกลัวว่าเถาเฉินจะอึดอัดใจ จึงอยากจะปลอบใจเธอสักหน่อย แต่เถาเฉินกลับก้มหน้า เปิดคลิปถ่ายทอดสดคลิปหนึ่งในงานขึ้นมา เจียงเซ่อยืนอยู่บนเวทีของเทศกาลหนังนานาชาติหัวเซี่ยและถือถ้วยรางวัล ‘สุดยอดนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม’ เอาไว้ ใบหน้าของพิธีกรเต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมถามเธอว่า

“ตอนนี้วินาทีที่เซ่อเซ่อได้รับตำแหน่ง ‘นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม’ แน่นอนว่าเพราะความสามารถของคุณจึงได้รางวัลนี้มา คุณเป็นไอดอลในใจของผู้คนมากมายที่อยู่ในงาน การแสดงของคุณทำให้พวกเรากลายเป็นแฟนคลับที่ภักดีและซื่อสัตย์ดีของคุณ สำหรับเราแล้วทุกตัวละครที่คุณสร้างขึ้น ทุกความพยายามของคุณล้วนควรค่าแก่การยกย่อง ฉันเลยอยากเป็นตัวแทนของทุกคนถามคุณว่า สำหรับคุณแล้ว มีใครหรือเรื่องอะไรที่ควรค่าในการเป็นบุคคลต้นแบบของคุณมั้ยคะ?”

ในสถานการณ์แบบนี้ นี่เป็นคำถามแนวเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ คำตอบของคนส่วนใหญ่มักจะเป็นการขอบคุณครูอาจารย์ผู้มีพระคุณที่เห็นความสามารถ ขอบคุณพ่อแม่ที่ทำให้ตัวเองเกิดมา ขอบคุณผู้กำกับที่ให้โอกาสตัวเองหรือพูดถึงชื่อของนักแสดงในตำนานที่ล่วงลับไปตั้งนานแล้ว ซึ่งเป็นคำตอบที่จะไม่เกิดข้อผิดพลาด ปลอดภัยและเหมาะสม เถาเฉินเองก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มา บนเส้นทางนี้ทุกคนต่างแก่งแย่งชิงดีกัน จะพูดถึงคนที่ควรค่าแก่การยกย่องออกมาจริงๆ ได้ยังไง

เถาเฉินยิ้ม ในขณะนั้นก็ที่เตรียมจะยื่นโทรศัพท์ให้ผู้ช่วย แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากเจียงเซ่อหยิบไมโครโฟนขึ้นมาได้แล้วจะหยุดไตร่ตรองครู่หนึ่งนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า

“ผู้คนและเรื่องราวที่ควรค่าแก่การเป็นต้นแบบของฉัน มีมากมายเลยค่ะ เพราะการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด” เธอพูดถึงตรงนี้ก็ได้หยุดไปครู่หนึ่ง พิธีกรจึงถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นช่วยยกตัวอย่างได้ไหมคะ?”

“คิดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่เถาเฉินค่่ะ”

เธอได้เอ่ยชื่อหนึ่งที่ทำให้ทุกคนในงานต่างคิดไม่ถึงออกมา แม้กระทั่งเถาเฉินเองก็งยังตะลึง เก็บมือที่ยื่นโทรศัพท์มือถือกลับมา จ้องเจียงเซ่อที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์

กล้องเปลี่ยนไปโฟกัสที่พิธีกร ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความแปลกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าเจียงเซ่อจะตอบแบบนี้

 “เธอเป็นคนที่ฉันเคารพมากคนหนึ่ง เธอสอนให้ฉันเรียนรู้การไม่หยิ่งผยองในศักดิ์ศรีค่ะ”

ผู้ช่วยของเถาเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเจียงเซ่อจึงก้มลงมอง ในคลิปวิดีโอ มือข้างหนึ่งของเธอถ้วยรางวัลเอาไว้ อีกข้างจับไมโครโฟนและกำลังพูดอย่างจริงจัง

“ฉันเคยร่วมงานกับเธอ เธอมีชื่อเสียงมาตั้งนานแล้ว มีฐานะที่พิเศษกว่าใคร ฝีมือการแสดงอยู่ในระดับเหนือชั้นเทพ แต่สำหรับการทำงาน เธอยังคงจริงจังมาก” เธอไม่ได้ไม่เคารพทีมงานและบทหนังเพราะชื่อเสียงอันสูงส่งของตัวเอง “ตอนที่ถ่ายทำ ไม่ว่าจะมีบทของเธอหรือเปล่า เธอก็จะเป็นคนที่ไปถึงสถานที่ถ่ายทำตั้งแต่เช้าและกลับดึกมาก ความคิดของเธอควรค่าให้ฉันเรียนรู้เป็นอย่างมากเลยค่ะ”

ท่าทางของเถาเฉินจากที่ดูเหลือเชื่อในตอนแรก ค่อยๆ กลายเป็นความตกตะลึงในที่สุด เธอเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเม้มปาก ท้ายที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจางๆ

“คุณเถา...”

ผู้ช่วยมองอารมณ์ซับซ้อนบนใบหน้าของเธอ ดวงตาของเธอดูปลงและมีความสุข แฝงความจริงใจและเปล่งประกายดั่งสายน้ำ เธอเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจยาว

“ความจริงการมีคู่แข่งสักคนก็ไม่ได้แย่ใช่ไหม?”

ผู้ช่วยกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอโกรธหรือว่าดีใจจึงไม่กล้าพูดอะไร

พักใหญ่ผู้ช่วยจึงเรียกเธอเบาๆ

“คุณเถา...”

 เถาเฉินหัวเราะออกมาทีหนึ่ง วางขวดน้ำในมือลงบนพื้นข้างๆ แล้วถามว่า “บทล่ะ?”

 ผู้ช่วยหยิบบทออกจากกระเป๋าแล้วยื่นออกไป เถาเฉินเปิดออกมาหน้าหนึ่ง ผู้ช่วยจึงพูดว่า

“คุณไม่โกรธเหรอคะ?”

“ฉันไม่มีเวลาไปโกรธหรอก” เถาเฉินรู้ว่าผู้ช่วยหมายความว่ายังไง จึงตอบไปว่า “เธอได้รับรางวัล ‘นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม’ จากเทศกาลหนังฝรั่งเศสมาแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้เลยนะ”

 บางทีอาจจะเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาเธอยืนอยู่บนที่ๆ สูงจนเกินไป คุ้นชินกับการเป็นดอกไม้ที่ถูกชื่นชม ไม่ชินกับการเป็นใบไม้ประดับ เพราะฉะนั้น เมื่อเจอกับการแข่งขัน จึงไม่ได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาได้ทันท่วงที ถึงพลาดมาตลอดสองปีที่ผ่านมานี้

 เถาเฉินหวนคิดถึงอดีต เริ่มคิดทบทวนตัวเอง เธอจะตามเจียงเซ่อให้ทันด้วยผลงาน ด้วยความสำเร็จ แต่ไม่ใช่การแย่งงานแบรนด์แอมบาสเดอร์ แย่งกระแส แย่งประเด็นข่าว แย่งงานและอื่นๆ กับเธออีก

 เจียงเซ่อในตอนนั้นเดินออกจากความผิดหวังที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากหนังเรื่อง ‘Evil’ ที่แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับรางวัล และตอนนี้เธอก็ได้ถ้วยรางวัลนั้นมาไว้ในมือแล้ว เถาเฉินเองก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำไม่ได้

 วินาทีนี้ ผู้ช่วยคล้ายจะรู้สึกได้ว่าเงามืดในใจของเธอได้มลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ราวกับโอกาสในชีวิตถูกจุดประกายขึ้นใหม่อีกครั้ง นัยน์ตาเผยแสงประกายที่ทุกคนต่างคุ้นเคยออกมาอีกครั้ง กลับไปเป็นเถาเฉินคนที่มีความทะเยอทะยานและปรารถนาในความสำเร็จอีกครั้ง!

ด้านล่างภูเขา ‘ดวงตาของวิคตอเรีย’ เจียงเซ่อรอใครคนหนึ่งอยู่ 

รถคันที่อยู่บนถนนในบริเวณที่ไกลออกไปขับใกล้เข้ามา และจอดอยู่ตรงตีนเขา หลังจากเปิดประตู เจียงจื้อหยวนที่สะพายกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่งก็ลงมาจากรถ

เขาเห็นที่เจียงเซ่อยืนอยู่ห่างออกไป ก็พลันเม้มปากหลายทีก่อนจะดึงสายกระเป๋าเป้ท่าทางดูกังวล

ลูกสาวยืนอยู่บริเวณที่ไกลจากเขาไม่มากนัก ระยะทางเพียงสั้นๆ เท่านี้ เขากลับคิดว่ามันไกลเกินไป

“ฉันเพิ่งรู้นะคะว่า การมายืนอยู่ที่นี่ เฝ้ามองใครคนหนึ่งลงจากรถ แล้วรอให้เขาคนนั้นเดินเข้ามาหาฉัน มันรู้สึกยังไง” เจียงเซ่อเห็นเขาเดินเข้ามา จึงยิ้มให้

ทางขึ้นภูเขายังคงเป็นเส้นทางเดิม เจียงจื้อหยวนยังคงพูดน้อยเช่นเก่า หลังจากถึงบนยอดเขาก็เกือบจะสองทุ่มกว่าแล้ว เจียงเซ่อพาเขาเดินไปอยู่ตรงหน้ารถรางลงจากเขา เขาจะจับสายกระเป๋าเป้แน่น พลันออกแรงตรงนิ้วมือแรงขึ้น

วิวกลางคืนระหว่างลงจากเขานั้นงดงามดั่งภาพวาด จากกระจกสามารถมองเห็นวิวของทั้งฮ่องกงและอ่าวได้อย่างเต็มตา

เจียงจื้อหยวนนั่งมาจนถึงตอนนี้รถรางก็เริ่มเคลื่อนที่แล้ว เขายังคงดูเหม่อๆ เหมือนยังไม่รู้สึกตัว

“ช่วงหนึ่งปีที่อยู่ในคุก คุณเป็นยังไงบ้างคะ?”

เจียงเซ่อเห็นเขานั่งเงียบอยู่ในมุมหนึ่ง จับสายกระเป๋าเป้เอาไว้แน่น สายตาจ้องตัวเองตาไม่กะพริบ ราวกับว่าหลังจากครั้งนี้จะไม่ได้เห็นเธออีกแล้วอย่างนั้น

เขาพยักหน้าทีหนึ่ง แต่ก็กลัวเจียงเซ่อจะรู้สึกว่าท่าทางของเขาห่างเหินมากเกินไป จึงพูดเสริมอีกคำอย่างแข็งทื่อว่า “ก็ดี”

ชื่อเสียงในคุกของเขาแม้ไม่ถึงขั้นที่ทุกคนหวาดระแวง แต่ก็ไม่มีใครกล้ายั่วยุ ช่วงเวลาหนึ่งปีที่อยู่ในคุกนี้ สำหรับเจียงจื้อหยวนแล้ว คงกระทบกระเทือนจิตใจได้ไม่มากเท่าการที่เจียงเซ่อไม่ ‘ยอมรับ’ เขา ตอนที่เจอกันที่ ‘ดวงตาของวิคตอเรีย’

ตอนนั้นลูกสาวเขากลัวเขา แม้กระทั่งคำว่า ‘พ่อ’ ยังไม่ยอมเรียก ซึ่งนั่นเป็นผลกรรมที่หนักหนาที่สุดสำหรับเขาแล้ว

เจียงเซ่อเม้มปากยิ้ม หยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เจียงจื้อหยวน

“ในโทรศัพท์เครื่องนี้ มีเบอร์ของฉันกับอาอี้และคนที่เกี่ยวข้องกับฉันบันทึกอยู่ ถ้าคิดถึงฉันก็โทรหาฉันได้เลยนะคะ”

เขาขยับริมฝีปากก่อนรีบเงยหน้าขึ้นดัง ‘พรึบ’ สายตาจับจ้องที่เจียงเซ่อ ดวงตาเป็นประกายจนน่าตกใจ ความหวังและความลังเลปะปนอยู่ในสายตาของเขา สุดท้ายแสงประกายนั้นก็ค่อย ๆ มืดมนลง

เจียงจื้อหยวนโน้มตัวเข้าไปใกล้หาตำแหน่งของเจียงเซ่อไปแล้วครึ่งตัว มือที่ควรจะยื่นออกไปตามสัญชาตญาณกลับค่อยๆ ถูกเก็บกลับมาพร้อมสายตาที่มืดมนลง

เขาไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เหมือนกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าตัวเองจะทำอะไรผิด เขากำกางเกงของตัวเองไว้แน่นจนกางเกงที่เก่าอยู่แล้วแทบจะขาดเพราะแรงดึงของจากเขา มันถูกเขากำจนยับยู่ยี่ไปหมด

“ไม่ได้…” เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย เขาพยายามเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ เขายังจำหน้าที่การงานและจำชื่อเสียงของเจียงเซ่อได้ดี เขาจะทำให้เธอเดือดร้อนไม่ได้

เธอมีพ่อแบบตัวเองก็ถือว่าโชคร้ายมากพอแล้ว เขาไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ควรสร้างความลำบากให้แก่เธออีก

เขากัดฟันแน่นทีหนึ่ง พยายามเก็บความหวั่นไหวที่ไม่ควรมีเอาไว้ ก่อนจะหลับตาและส่ายหน้า

“ไม่ได้”

เจียงจื้อหยวนเหมือนกำลังเตือนตัวเอง วินาทีต่อมาเขาก็สัมผัสได้ว่า รถรางสั่นหลายที เจียงเซ่อขยับใกล้เข้ามา เธอยื่นมือออกมาจับมือเขาและยัดโทรศัพท์มือถือที่มีอุณหภูมิจากร่างกายของเธอใส่ในฝ่ามือของเขา

เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง คนอย่างเขาเหมาะกับการอยู่ในที่มืดมิด ไม่ควรเข้าใกล้แสงสว่าง แต่ไม่รู้เพราะว่าลมคืนนี้แรงมากเป็นพิเศษ และเขาใส่เสื้อตัวบาง ทนหนาวมานานเกินไปหรือเปล่า เขาถึงปรารถนาความอบอุ่นสักเสี้ยวหนึ่ง หวังอย่างสุดซึ้งว่าจะได้ใกล้ชิดลูกสาวอีกครั้ง เพราะฉะนั้นตอนที่เธอยื่นมือเข้ามา เขาที่รู้ดีว่าควรขยับออกห่างจากเธอมากกว่านี้ จึงจะเป็นผลดีต่อเจียงเซ่อกลับไม่ได้ทำตามที่คิด

โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ก็ไม่ควรรับไว้ เขาคุ้นชินกับการไม่มีที่อยู่ที่แน่นอนและระมัดระวังไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐาน เขาปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดขาดออกจากสังคมนี้ ล่องลอยอยู่นอกกฎระเบียบ

หลักเหตุผลต่างๆ เขาล้วนเข้าใจดี สติสัมปชัญญะของเขาถึงขั้นเตือนเขาว่าอย่ายื่นมือออกไปรับเด็ดขาด

แต่ตอนที่โทรศัพท์ถูกยื่นเข้ามา การตอบสนองของเขากลับเป็นการจับมันเอาไว้แน่น โทรศัพท์มือถือที่มีอุณหภูมิจากร่างกายของลูกสาวเครื่องนี้ แม้จะมีความอุ่นเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เขาก็ไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไป

เขาไม่สนใจว่าโทรศัพท์มือถือจะมีการตั้ง GPS จนตามจับตัวเองได้หรือเปล่า เขาไม่สนใจว่าในอนาคตหากตัวเองทำอะไรตามอำเภอใจอีกแล้วโทรศัพท์เครื่องนี้จะเปิดเผยร่องรอยของตัวเองออกมาจนคนอื่นสะกดรอยตามได้หรือไม่

“ในชีวิตของฉัน บทบาทของ ขาดบทบาทของ ‘พ่อ’ มาด้วยตลอด ‘พ่อ’ นี้มันว่างเปล่ามาโดยตลอด ฉันเองก็ยังไม่รู้วิธีการเป็นลูกสาวที่ดีและไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงถึงจะถูกต้อง” เธอยิ้ม เจียงจื้อหยวนกลับเริ่มรู้สึกขอบตาร้อนแผ่วและแสบไปหมด “การมี ‘พ่อ’ สำหรับฉันยังเป็นเรื่องแปลกใหม่ จะเป็นลูกสาวที่ดีได้ยังไง หลังจากนี้ฉันจะค่อยๆ ยอมรับ ค่อยๆ เรียนรู้ อาจจะต้องการเวลาเพื่อคุ้นชิน หวังว่าคุณจะเข้าใจไม่ถือสานะคะ”

รถรางข้ามผ่านยอดเขาลูกหนึ่งจนส่ายไหวไปมาเล็กน้อย ผ่านยอดภูเขาลูกหนึ่ง สีหน้าของเธอดูขาวซีด แต่ยังคงยิ้มอย่างสดใสและน่าเย้ายวน น่ารัก ทับซ้อนกับใบหน้าในความทรงจำของเขา

ปากของเขาเม้มเป็นเส้นตรง ผิวหนังบริเวณดวงเปลือกตาสั่นระริกเบาๆล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นในใจของเขา

“ฉัน...”

เสียงของเขาเหมือนสะอื้นลำคอของเขาจุกแน่น พูดอะไรไม่ออกสักคำ เขาไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาและผลกรรม แต่ตอนนี้จะไม่ขอบคุณโชคชะตาที่มอบเรื่องราวเหลือเชื่อแบบนี้มาให้กับเขาคงไม่ได้แล้ว

“เมื่อกลางปี เฝิงหนานได้แต่งงานกับทายาทของตระกูลจ้าวแห่งเจียงหัวกรุป” เธอหลุบตก้มสายตาและพูดเบาๆ ว่า “หลังจากนี้ระหว่างเรากับเฝิงหนานไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ได้ไหมคะ?”

“อื้ม!” เขาพยักหน้าอย่างสุดชีวิต

“หลังจากนี้ อย่าทำร้ายใครตามอำเภอใจอีกนะคะ” เธอขอร้องเบาๆ ดวงตาของเจียงจื้อหยวนร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะไหลออกมา หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยเลือดไหลแตก เหงื่อโทรมกายตก แต่ยังไม่เคยร้องไห้มาก่อนยน้ำตาตก คนตรงหน้านี้คือจุดอ่อนของเขา ไม่ใช่เพียงแค่การที่เธอบอกว่า หลังจากนี้ให้เขาอย่าทำร้ายใครอีก ถึงแม้ว่าตอนนี้วินาทีนี้เธอให้เขาโดดจากที่สูงแบบนี้ลงไป เขาก็จะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

“อื้ม!” เขาตอบรับอย่างหนักแน่น

วิวกลางคืนของฮ่องกงในคืนนี้งดงามไร้ที่เปรียบ ลบล้างความทรงจำเดียวที่เขามีต่อที่นี่

ครั้งแรกที่เข้ามาฮ่องกง สิ่งที่เห็นคือเงินทองที่อยู่เต็มพื้นที่นี้และโอกาสอันล้นฟ้า

ช่วงเวลาอันแสนวิเศษหลังจากนั้น เขาล้วนใช้มันในคุก ภาพจำที่เขามีต่อฮ่องกง เหลือเพียงแค่ห้องขังแคบๆ และผนังสูงทั้งสี่ทิศ

พอกลับมาอีกครั้งก็มาพร้อมกับความตาย ไม่เคยคิดว่าจะมีชีวิตกลับไปอีก

เช้าตรู่วันที่เขานัดเจอกันเจียงเซ่อ ระหว่างทางที่เดินขึ้น ‘ดวงตาของวิคตอเรีย’ เขาไม่ทันได้มองวิวทิวทัศน์ ความสนใจแทบจะอยู่ที่ลูกสาวของตัวเองทั้งหมด เพราะมัวแต่กังวลกับคำพูดของเถาเฉินเฝิงหนาน กลัวว่าเธอจะเกลียดตัวเอง กลัวว่าเธอจะปฏิเสธ กลัวเธอจะหวาดระแวง กลัวว่ากรรมจะตามสนอง จึงเดินด้วยความกังวล

แต่ในละเขารู้สึกว่าตอนนี้ วินาทีนี้เขาได้รู้แล้วว่านี่เป็นวิวที่สวยที่สุดบนโลกใบนี้

ในกระเป๋าเล็กๆธรรมดาๆ ของเขานี้ไม่ได้มีเพียงแค่เสื้อเก่าๆ สองตัวและโฟมล้างหน้าชิ้นหนึ่งอันเท่านั้น เขาเพิ่มโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่เข้าไป ลูกสาวของเขาบอกว่า ในอนาคตกระเป๋านี้ของเขาจะมีของเพิ่มเข้ามาอีกมากขึ้นเรื่อยๆ

อาจจะมีรูปถ่ายของเธอและของใช้ของลูกสาว บางทีอาจจะมากจนเขาไม่สามารถแขวนถสะพายบ่าไปทุกที่อย่างผ่อนคลายได้อีกต่อไป บางทีเขาอาจจะต้องหางานใหม่ หาที่อยู่ใหม่เพื่อเก็บสัมภาระที่เพิ่มเข้ามานี้

เขาก็ยังไม่สามารถเป็นพ่อที่ดีได้ ไม่มีใครคุ้นชินกับฐานะใดๆ ตั้งแต่เกิด ในอนาคต เขาก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่ต้องได้เรียนรู้

ในขณะที่เขากำลังเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ยินตอนลูกสาวฝึกพูด คำว่า ‘พ่อ’ คำแรก ที่เรียกออกมา บางทีในอนาคต เขาอาจจะได้ยินมันก็ได้

รถรางค่อยๆ หยุดบนทางลงเขาดอย ตอนที่ประตูรถเปิดออก เจียงเซ่อที่เดินออกมาจากข้างในก็เห็นเผยอี้ที่ยืนอยู่นอกประตูพอดี

เขาเหมือนต้นสนต้นหนึ่งบนภูเขา รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม สายตาของเขาสะท้อนเงาร่างของเธอ ตอนที่มองเจียงเซ่อ ความเย็นชาก็พลันอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา พร้อมเผยความอ่อนโยนจบางๆ ออกมา 

 เขาเป็นแบบนี้เสมอมา เวลาที่เธอตัวเองต้องการเขา เขาก็มักจะรออยู่ตรงนั้น

 เจียงเซ่อพุ่งเข้าหาเขา สองขาของเขารับร่างของเธอเอาไว้อย่างมั่นคง

“อาอี้! คุณสามี!”

“อื้ม”

บนร่างกายของเขายังมีกลิ่นไอของความหวานเย็นชื่นใจจากลมกลางคืน ตรงมุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองเจียงจื้อหยวนแวบหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าบุคคลอันตรายคนนี้ไม่ได้ข่มขู่อะไรเจียงเซ่อ จึงก้มลงจูบผมของเธอเบาๆ หลายที ผู้ชายอย่างเขาเอง ก็สามารถเผยแววสายตาที่อ่อนไหว่อนไหวดั่งสายน้ำตา และตอบรับด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนได้เช่นกัน

(จบบริบูรณ์‘อื้ม’)