webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

674

บทที่ 674 ผลกระทบ ฿

ใบหน้าของเจียงจื้อหยวนซ้อนทับกับความทรงจำของเจียงเซ่อ แต่น้ำเสียง ท่าทางของเขากลับแตกต่างจากคนในความทรงจำของเธออย่างสิ้นเชิง

สายตาของเขาไม่ได้ดูโหดเหี้ยมอีกต่อไปแล้ว แอบแฝงความอบอุ่นและดูระมัดระวังด้วยซ้ำ อีกทั้งยังดูสงวนท่าทีไม่น้อย

เจียงเซ่อตัวจริงผอมกว่าในจอเล็กน้อย เสื้อกันหนาวห่อหุ้มร่างบางของเธอเอาไว้ ไหล่เล็กกะทัดรัดของเธอมีสายกระเป๋าแขวนอยู่ แม้กระเป๋าไม่หนัก แต่เขากลับอยากช่วยเธอแบ่งเบา

เขากำมือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงและสัมผัสกับโทรศัพท์มือถือที่ยังคงดังไม่หยุด เขาหยิบออกมา ดูแวบหนึ่ง ก่อนจะโยนทิ้งไปข้างถนนโดยไม่ลังเล

โทรศัพท์มือถือถูกโยนออกไปไกลถึงชายหาด หมุนอยู่หลายรอบก่อนจะหยุดอยู่ท่ามกลางเม็ดทราย ยังสามารถเห็นแสงไฟที่ยังคงกะพริบอยู่

เจียงเซ่อมองแวบหนึ่ง เขาขยับริมฝีปากอธิบายว่า “ไม่มีประโยชน์แล้วน่ะ”

สายตาของเขาหยุดอยู่บนใบหน้าของลูกสาว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอตอนโตอย่างแท้จริง ไม่ได้เห็นผ่านนิตยสาร คลิปข่าว แต่เป็นเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเองตัวเป็นๆ ให้เขาได้เห็น หน้าตาที่ละม้ายคล้ายตนเองและสืบทอดรูปร่างที่สูงโปร่งจากเขา

การพบกันครั้งนี้ ไม่เหมือนตอนหนังเรื่อง ‘The Lost City’ เข้าฉาย ที่เขาเจอเธอใต้โรงหนัง IMAX เขาไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป แต่ยืนอยู่ตรงหน้าเธออย่างเปิดเผย สายตาสามารถวาดรูปลักษณ์ของเธอออกมา และสลักภาพเธอลงในใจ

โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นหมดประโยชน์ไปตั้งนานแล้ว แต่ที่ยังไม่ทิ้งก็เพราะในใจยังคงอาลัยอาวรณ์ก็เท่านั้น

เขาเคยใช้เบอร์นี้โทรหาเจียงเซ่อ บางทีเขาก็อาจจะเคยจินตนาการว่า วันหนึ่งเจียงเซ่ออาจจะรู้สึกว่าเบอร์แปลกที่ไม่มีคนพูดเบอร์นั้นแปลกๆ จึงโทรกลับมา

ตอนแรกคิดว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝัน เจียงจื้อหยวนไม่คิดเลยว่าความฝันนี้จะกลายเป็นจริง

เจียงเซ่อไม่เพียงแค่โทรกลับมา แต่ยังนัดเจอเขา วันนี้สิ่งที่เขาได้มานั้นเกินกว่าสิ่งที่ปรารถนาไปมากแล้ว

เขาเบี่ยงตัวออก เปิดให้เห็นทางขึ้นเขาเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลัง

“เดินเล่นกันหน่อยเถอะ”

ในสายตาของเจียงจื้อหยวน มีอะไรซ่อนอยู่มากมายเหลือเกิน เจียงเซ่อก้มหน้า รวบรวมความกล้าเพื่อก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เธอไม่ได้มองหน้าเขา จึงไม่เห็นว่าตอนนี้ใบหน้าของเขากำลังเผยรอยยิ้ม

ถนนขึ้นเขาเส้นนี้สะอาดมาก ระหว่างทางก็เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าตอนทั้งสองเดิน เสียงคลื่นทะเลและเสียงพุ่มไม้แคระที่ส่งเสียง ‘ซ่าๆ’ ตอนลมทะเลพัดผ่าน

 ระหว่างทางทั้งสองไม่คุยกันเลย เจียงจื้อหยวนกลายเป็นคนที่คุ้นชินกับความเงียบไปแล้ว เมื่อก่อนเขามีประเด็นมากมายจะคุยกับคนรอบข้าง แต่หลังจากอยู่ในคุกนานเข้า ก็ทำให้เขาคุ้นชินกับการเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ พอนานไปก็กลายเป็นคนพูดน้อย

เจียงเซ่อกลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับเขา คนที่เคยลักพาตัว เกือบฆ่าเธอ หลายปีผ่านไป เธอกลับเกิดใหม่เป็นลูกสาวของเขา ยึดเอาร่างของ ‘เจียงเซ่อ’ มา คนที่เคยเกือบทำให้เธอตายก็กลับกลายมาเป็นพ่อของเธอ บนโลกใบนี้ เรื่องบางเรื่องก็ยากที่จะอธิบายจริงๆ

เดินไปเงียบๆ แบบนี้อยู่นาน บนขอบฟ้าก็เผยให้เห็นส่วนเล็กๆ ของพระอาทิตย์แล้ว แสงสว่างกระทบลงบนพื้นผิวทะเล ทำให้หนทางที่อยู่ข้างหน้าสว่างขึ้นมาก

หน้าผากและใต้จมูกของเจียงเซ่อเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอไม่ได้เดินเร็วมากนัก แต่เพราะการเดินกับเจียงจื้อหยวนยังสร้างความกดดันให้เธอในระดับหนึ่ง เธอเดินก้มหน้าอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ พลันเงยหน้าขึ้น จึงรู้ว่าเจียงจื้อหยวนหายไปแล้ว

เธอตกใจและหันไปมองกลับจึงเห็นว่าเขาอยู่ข้างหลังตนเองประมาณสิบกว่าเมตร มือทั้งคู่ยังคงล้วงกระเป๋าและยังคงเดินอย่างไม่เร่งรีบ

“เหนื่อยแล้วเหรอคะ?”

เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาเช็ดหน้าผาก ยืนรอเจียงจื้อหยวนอยู่ตรงที่เดิมแล้วเอ่ยถาม

ในกระเป๋าสายจากเผยอี้ยังไม่ถูกกดวาง นั่นหมายความว่ายังคงได้ยินทุกอย่างทางนี้ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลองเรียกเผยอี้และได้การตอบรับจากเขาทันที

เจียงจื้อหยวนส่ายหน้า ระยะทางเพียงแค่นี้แน่นอนว่าเขาไม่เหนื่อย เขาเพียงแค่เดินอยู่ข้างหลัง เพื่อมองเธอที่ก้าวเท้ายาวไปข้างหน้าด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม

จากเจียงเซ่อในตอนนี้ทำให้เขาย้อนคิดไปถึงตอนที่เธอเพิ่งหัดเดิน การที่ตอนนี้เธอสามารถเดินได้อย่างมั่นคงจะเป็นเพราะเมื่อก่อนหกล้มมากไปหรือเปล่า

คำถามนี้เขาไม่ได้ถามและเขาก็ไม่มีสิทธิ์ถาม เป็นครั้งแรกที่เขาเสียใจที่ตอนนั้นตนเองไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเองทำให้เขาสูญเสียความสุขที่จะเติบโตไปพร้อมกับเธอไป

เขาพลาดโอกาสที่จะได้เห็นทุกช่วงการเติบโตของเธอ ไม่ได้ยินเธอเรียกว่า ‘พ่อ’ ไม่รู้ว่าตอนหัด ‘เดิน’ เธอล้มไปกี่ครั้งและไม่รู้ว่าเธอล้มลุกคลุกฝุ่นจนเดินมาถึงวันนี้ได้อย่างไร

แต่เขาชอบการก้าวเดินที่มั่นคงของเธอในตอนนี้ เห็นเธอเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ แบบนี้แล้วเขามักจะรู้สึกมีความสุขมาก

ไม่ใช่เพราะเขาเดินไม่ไหวแล้ว เขาเพียงแค่อยากให้ถนนเส้นนี้ยาวกว่านี้เสียหน่อยก็เท่านั้น

เขารู้ว่าตัวเองเคยทำอะไรเอาไว้และรู้ว่าตนเองจะมีจุดจบอย่างไร หลังจากที่เธอโทรนัดเจอตนเองไม่นาน เขาก็ได้รับสายจากฝั่งตระกูลเฝิงอย่างต่อเนื่อง

เจียงจื้อหยวนรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้หมายความว่าอย่างไร ตระกูลเฝิงจะต้องหาวิธีใช้อำนาจที่มีในการค้นหาตำแหน่งที่เขาอยู่ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตแน่

บางทียังไม่ทันเดินพ้นจากถนนสายนี้ คนของตระกูลเฝิงก็อาจจะปรากฏตัวขึ้นมา หรือถึงขั้นที่ไม่ต้องรอให้คนของตระกูลเฝิงปรากฏตัว สามีของเธอก็อาจจะมาถึงก่อนและจับตัวเขาไปก็ได้

เขาอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้เหลือเกิน เธอหันมองเขา พวงแก้มแดงเล็กน้อย หน้าผากและปลายจมูกมีเม็ดเหงื่อผุดซึม ท่าทางบริสุทธิ์ไร้การระแวดระวังโดยสิ้นเชิง

“คงจะกลางเขาแล้ว”

เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ลมเย็นอัดเข้าไปในปากของเธอ ทำให้สติเธอมั่นคงมากขึ้น ตอนนี้ยังเช้ามาก ฟ้าเพิ่งจะสว่างคนที่มาวิ่งออกกำลังกายในยามเช้าอาจจะเพิ่งออกจากบ้านระหว่างทางจึงไม่มีใครรบกวน ทิวทัศน์ที่เช้าที่สุดเป็นของเธอและเจียงจื้อหยวน

เขาพยักหน้า รู้สึกเสียใจที่ถนนสายนี้สั้นเกินไป

เจียงเซ่อรอเขาอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับเห็นเขายังยืนอยู่ที่เดิม ราวกับจงใจเว้นระยะห่างกับเธอ จึงสบายใจขึ้น

เธอหันไปมองอีกข้าง ภายใต้ภูเขาสีเขียวขจีที่ล้อมรอบอยู่ มีตึกสูงที่ทับซ้อนกับทะเลผืนนั้นถูกล้อมเอาไว้ตรงกลาง น้ำทะเลใสดั่งเพชรแวววับ

แสงอาทิตย์สาดลงบนพื้นผิวทะเลเป็นทิวทัศน์ที่งดงามเกินบรรยาย

เผยอี้คงจะอยู่ระหว่างทางขึ้นเขาแล้ว เธอถือโทรศัพท์เอาไว้คุยกับเขา ให้เขาช้าลงหน่อย ไม่ต้องรีบ

เธอเข้าใจความกังวลของเผยอี้ เพื่อความสบายใจของเขา ระหว่างทางจึงไม่ได้วางสายเลย แต่บางเรื่องเธอต้องเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง

เธอกับเจียงจื้อหยวนเดินมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ คนที่มาวิ่งออกกำลังกายในยามเช้าและนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปเที่ยวบนเขาต่างแซงหน้าทั้งสองและวิ่งขึ้นยอดเขาไปแล้ว

ระหว่างทางมีผู้คนมากขึ้น ไม่ได้เงียบสงบเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

ตอนที่ทั้งสองขึ้นไปถึงบนยอดเขาก็ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงกว่าแล้ว ท้องฟ้าสว่างแล้ว หน้าสนามที่อยู่บนยอดเขาก็มีเสียงพูดคุยดังอยู่

เจียงเซ่อหามุมที่คนน้อยๆ แล้วนั่งลง เจียงจื้อหยวนนั่งลงในบริเวณที่ห่างจากเธอประมาณหนึ่งเมตร

“วิวกลางคืนของที่นี่ สวยกว่าตอนนี้อีก”

อยู่ๆ เจียงจื้อหยวนก็พูดขึ้น ทำให้เจียงเซ่อแปลกใจ

การมีปฏิสัมพันธ์กับเขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิด รอบข้างมีเสียงพูดคุยและหัวเราะทั้งยังมีสายจากเผยอี้ที่ยังไม่วางไป ไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกวางใจ

ระหว่างทางท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ตรงกันข้ามกับบ้านไม้ที่มืดสนิทไม่เห็นเดือนเห็นตะวันในความทรงจำของเธอ ท่าทางของเขาทำให้เธอสัมผัสได้ว่าเขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ฝันร้ายที่ไม่มีทางเอาชนะได้

เขาก็พูดได้ เหงื่อไหลได้และหายใจเป็น

เจียงจื้อหยวนไม่ได้รับการตอบโต้จากเจียงเซ่อ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขามีคำพูดมากมายอยากพูดกับเจียงเซ่อ แม้เธอจะแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาและเธออาจจะไม่อยากฟัง แต่เขาก็กลัวว่าถ้าตนเองไม่พูดตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้พูดกับเธออีก

“เสียดายที่ไม่ได้พาเธอมาดูตอนกลางคืน ตอนกลางคืนตรงนั้นมีแสงสว่างจากไฟตรงทะเลสามารถไปนั่งรถรางได้”

ความจริงเขาก็ไม่เคยนั่งเจ้าสิ่งนี้ แต่ช่วงนี้มักเห็นนักท่องเที่ยวที่พาครอบครัวมา จูงมือลูกและคนในครอบครัวขึ้นรถไป บางคนดูตื่นเต้น บางคนดูกล้าๆ กลัวๆ ทำให้เขาอิจฉาไม่น้อย

โอกาสแบบนี้ บางทีทั้งชีวิตนี้ของเขาก็อาจจะไม่มี

เจียงเซ่อเงียบ ฟังเขาพูดต่อ

“ความจริง ก่อนหน้านี้ ฉันเคยเจอเธอแล้ว”

“ฉันรู้ค่ะ”

เจียงเซ่อก้มหน้าลง “หลายปีก่อน หน้าโรงหนัง IMAX ตอนที่ฉันกำลังคุยกับเฝิงหนาน”

เจียงจื้อหยวนอึ้งไป พลันอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ เจียงเซ่อเงยหน้าขึ้นมองเขา

“คุณมีความคิดที่จะลักพาตัวเธออีกครั้งตั้งแต่ตอนนั้นแล้วใช่ไหม”

เจียงจื้อหยวนยังคงยิ้ม เธอจริงจังมากจนคิ้วผูกกันเป็นโบว์

“ที่คุณทำเรื่องพวกนี้ เพราะฉันใช่ไหม?”

เขาเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เจียงเซ่อคาดเดาเป็นความจริง

“คุณเข้าใจไหม” เธอกำหมัด แล้วเอาแนบกับท้อง งอตัว โน้มใบหน้าเข้าไปติดกับเข่า ซ่อนมือเอาไว้

“สิ่งที่ฉันต้องการ ไม่ใช่ให้คุณทำแบบนี้”

ร่างกายของเธอขดจนเป็นก้อนกลมเล็กๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเจียงจื้อหยวนขึงเกร็ง อยากยื่นมือออกไปปลอบใจเธอ แต่ก็ต้องเศร้าใจที่ตนเองไม่มีสิทธิ์นั้น

เขาขยับริมฝีปากและออกห่างเธอมากกว่าเดิม กลัวว่าถ้าตนเองใกล้เธอมากเกินไปจะทำให้เธอไม่ชอบใจได้

“ฉันเป็นแค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร แต่ไม่อยากให้ใครมาเป็นหนี้บุญคุณ” เธองอตัวอยู่ครู่หนึ่ง น้ำตาทำให้กางเกงบริเวณเข่าเปียกปอน จากนั้นเธอก็เปิดกระเป๋าแล้วเอากระดาษทิชชู่ออกมา

“เฝิงหนานคิดร้ายกับฉันจริง แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”

 ถ้าชีวิตในอนาคตของเธอจะราบรื่นได้ด้วยวิธีการลักพาตัวเฝิงหนานของเจียงจื้อหยวน ถ้าอย่างนั้น ชาตินี้ทั้งชาติเธอก็ยากจะมีความสุขได้

 เธอไม่สามารถทนเห็นชีวิตหนึ่งต้องหายไปเพราะตนเองและเธอก็ไม่ยอมให้เจียงจื้อหยวนชดใช้ให้ ‘ลูกสาว’ ด้วยวิธีแบบนี้

 เธอได้ร่างกายของ ‘เธอ’ มาครอบครอง ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองปรารถนา เธอกล้ากลับมาห้ามเจียงจื้อหยวน ไม่ได้มาเพื่อช่วยชีวิตเฝิงหนาน และไม่ใช่การพาตนเองมาอยู่ในที่อันตรายเพราะเฝิงหนาน แต่นอกจากไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้ใครต้องตายแล้ว เธอยังรู้สึกเหมือนติดหนี้บุญคุณ ‘เจียงเซ่อ’

บางเรื่อง ‘เจียงเซ่อ’ ไม่สามารถพูดได้อีกแล้ว แต่เธอก็ยังสามารถทำได้

 เธอยังคงหวาดกลัวเจียงจื้อหยวน ไม่สามารถเห็นเขาเป็นพ่อของตนเองได้ แต่เธอก็ไม่อยากให้เขาแก้ไขปัญหาแทน ‘ตนเอง’ จนเดินเข้าหาอันตรายและทำเรื่องผิดกฎหมายแบบนี้

 “ทำแบบนี้มันไม่ถูก ไม่มีใครมีสิทธิ์ทำร้ายใคร” เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเจียงจื้อหยวนด้วยความกล้า ไม่หลบสายสายตา ไม่หลีกเลี่ยง เพื่อแสดงการตัดสินอันเด็ดขาดของตนเอง “ทุกทางเลือก ทุกอย่างที่มนุษย์ทุกคนเคยกระทำ ล้วนทำให้ส่งผลกระทบและนำพาการเปลี่ยนแปลงมากมายในอนาคต”

 เธอเป็นแบบนั้น ‘เจียงเซ่อ’ คนเดิมก็เช่นกัน

 เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว ถ้าไม่มีการเกิดใหม่ครั้งนี้ จากวิธีการดำเนินชีวิตของ ‘เจียงเซ่อ’ คนเดิม เธออยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างบ้านตระกูตู้ มีแม่เป็นคนอ่อนแอ ตู้ชางฉวินรังเกียจเธอมาก ทั้งต่อว่าและทำร้ายสารพัด ทำให้เธอมีนิสัยดื้อรั้นและโหดเหี้ยม ขาดความอบอุ่นจากครอบครัว ขาดความดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ ถูกพี่น้องต่างพ่อเอาเปรียบ คิดแต่จะเข้าวงการ

 อาจจะเป็นเพราะแผนที่ ‘เธอ’ วางเอาไว้ในตอนแรก ทิ้งการเรียนตั้งแต่อายุสิบเจ็ด เข้าสู่สังคม เข้าวงการบันเทิงอย่างที่ ‘เธอ’ คิดเอาไว้ในตอนแรก

ชีวิตของ ‘เธอ’ จะราบรื่นหรือไม่ เจียงเซ่อไม่รู้ แต่การที่ ‘เธอ’ สามารถรู้จักกับคนอย่างเฝิงหนานจนมีความแค้นต่อกันได้ เธอก็พอจะเดาออกบ้างแล้ว

ลองคิดดูว่าถ้าตอนนั้นไม่ได้ทำผิด ได้สั่งสอนลูกสาวด้วยตัวเอง ชีวิตในวัยเด็กของเจียงเซ่อจะทุกข์ทรมานแบบนี้หรือเปล่า แม้ว่าชีวิตตอนนั้นจะลำบาก แต่ก็คงจะไม่ลำบากเท่าช่วงแรกๆ ที่เธอเพิ่งเกิดใหม่

“ฉันก็แค่อยากจะลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นจากฉันเพื่อเธอ”

เจียงเซ่อพูดจบ เจียงจื้อหยวนหยุดไปนาน ก่อนจะพูด

ในโลกนี้ เขาเป็นคนที่ไม่อยากเห็นเธอร้องไห้มากที่สุด ทว่าตอนนี้คนที่ทำให้เธอร้องไห้กลับเป็นตัวเขาเอง

‘ผลกระทบ’ บางอย่างใช่ว่าจะสามารถลบล้างได้ง่ายๆ แบบนั้น เจียงเซ่อกอดตนเอง เขามองเจียงเซ่ออยู่ตลอดเวลา สายตานั้นดูลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ความหวังและความหมดหวังที่ปะปนจนสับสนวุ่นวายถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้แววตาของเขา

“เธอเกลียดฉันไหม?”

เขาพูดเป็นนัย “ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ แต่ยังไงฉันก็อยากจะได้ยินเธอเรียกฉันสักครั้ง”

ตอนที่พูดคำนี้สายตาของเขาดูอ่อนแอและเต็มไปด้วยความหวัง สายตาที่มองเหมือนกำลังอ้อนวอน

หญิงสาวก้มหน้าลงเม้มริมฝีปาก ความรู้สึกในดวงตาคู่นั้นของเขาค่อยๆ จางหายไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นความสงบ ในที่สุดเหมือนน้ำนิ่งที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกได้อีก

ท่าทางของเขานิ่งเฉยจนแทบจะกลายเป็นเฉยชาไปแล้ว หลังจากนั้นครู่ใหญ่ก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั่นดูอ้างว้างหมดหวังทั้งยังเจือไปด้วยความเสียใจ แต่ก็ราวกับเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดีและเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าจุดจบจะเป็นแบบนี้

เขาถอนหายใจ ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนร่างกาย ลุกขึ้นมองในบริเวณที่ไกลออกไปแวบหนึ่ง

เจียงเซ่อมองตามสายตาของเขา ในระยะอันห่างไกล ไม่รู้ว่าเผยอี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่และกำลังจ้องทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงนี้อย่างไม่ละสายตา

เฝิงจงเหลียงที่กำลังโกรธถือไม้เท้าเอาไว้ จ้องมองมาอย่างเย็นเยียบ ความแข็งแกร่งไม่ได้น้อยไปกว่าในอดีตเลย ทำให้เจียงจื้อหยวนนึกถึงชายชราที่พาตำรวจบุกเข้ามาในตอนนั้น

เขาดีใจที่ทั้งสองเป็นห่วงลูกสาวของตนเองขนาดนี้ เจียงจื้อหยวนจ้องเผยอี้อย่างเปิดเผย มองเขาอย่างชื่นชมและถามเจียงเซ่อว่า

“คนนี้เผยอี้เหรอ?”

วินาทีที่เธอเห็นหน้าเผยอี้และคุณปู่ปรากฏตัวพร้อมกันดวงตาคู่นั้นสว่างไสวขึ้นมา ความมืดมนเสี้ยวสุดท้ายที่เกิดขึ้นเพราะการถูกลักพาตัวค่อยๆ จางหายไปเพราะการปรากฏตัวของทั้งสองที่เป็นห่วงเธอ เธอพยักหน้าและตอบกลับว่า

“อืม”

“เขาดีกับเธอไหมฦ”

เจียงจื้อหยวนเห็นสีหน้าของเธอแล้วในใจพลันรู้สึกซับซ้อน ทั้งดีใจแทนลูกสาวและรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย เขารู้ฐานะของเผยอี้แล้ว รู้ว่าตระกูลเผยสูงส่งมากแค่ไหนและรู้ว่าเผยอี้เก่งกาจมากเพียงใด

แต่เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ สิ่งเดียวที่เขาสนใจ ก็คือผู้ชายคนนี้ดีกับลูกสาวของเขาหรือเปล่าก็เท่านั้น

เจียงเซ่อแปลกใจกับคำถามนี้ของเขา แต่ก็เข้าใจความหมายในสิ่งที่เจียงจื้อหยวนพูดรางๆ

ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ เธอยังไม่ค่อยคุ้นชินมากนัก แต่เธอก็ยังคงตอบว่า

“เขาดีกับฉันมาก รักฉันมาก เอาใส่ใจฉันและมักจะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน”