webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

665

บทที่ 665 คนร้ายตัวจริง

“อู่ชุนเหอเป็นคนร่างใหญ่และสูงโปร่ง จากการที่หลี่หนานเฟิงเป็นคนเขียน ‘จดหมายลาตาย’ ของอู่ชุนเหอเป็นการยืนยันว่าระหว่างทั้งสองมีความแค้นเก่าก่อนต่อกันจริงและเป็นความแค้นที่ไม่น้อยเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงกับเขียนจดหมายขู่เอาชีวิตเขา” นายตำรวจคาดเดาถึงตรงนี้ เมื่อเห็นว่าเฉินซวินหรานไม่ได้พูดอะไร เขาจึงพูดต่อว่า

“เป็นไปได้ว่า หลี่หนานเฟิงต้องการเอาชีวิตอู่ชุนเหอ แต่สุดท้ายอู่ชุนเหอรู้เรื่องนี้ จึงชิงลงมือฆ่าซะเขาก่อน!”

“สำหรับความแค้นของทั้งสองอาจจะเป็นเพราะการแบ่งผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวตอนเปิด ‘บริษัท’ ก็ได้”

ต่างก็ต้องการหลอกพ่อของซูอี้ทั้งคู่ แต่สุดท้ายหลี่หนานเฟิงได้แค่บ้านเก่าๆ หลังหนึ่งของตระกูลซู แต่อู่ชุนเหอกลับได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่า กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองวั่งจินอย่างรวดเร็ว ก็ไม่แปลกที่หลี่หนานเฟิงจะไม่พอใจ

 แต่ซูอี้เองก็มีแรงจูงใจที่จะฆ่าอู่ชุนเหอก็มีเช่นกัน

“จากคดีนี้ ในช่วงเวลาหลี่หนานเฟิงเสียชีวิตก็ไม่มีหลักฐานว่าอู่ชุนเหออยู่ที่ไหน”

พอนายตำรวจพูดแบบนี้ เฉินซวินหราน ก็นึกออกว่าช่วงนั้น อู่ชุนเหอกำลังหลบซ่อนตัวเพราะการข่มขู่จาก ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ จริง จนกระทั่งหลังจากหลี่หนานเฟิงเสียชีวิตและเฉินซวินหรานสืบจนรู้ว่าเขาเป็นคนเขียน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ เขาก็ไม่ถูกข่มขู่และกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเปิดเผยในสายตาของสาธารณชนอีกครั้ง

จากแง่มุมนี้ก็มีแรงจูงใจและเวลามากพอที่อู่ชุนเหอจะก่อเหตุ แต่เฉินซวินหรานรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ

“ตอนนั้นเขาหลอกตระกูลซูจนหมดตัว เป็นต้นเหตุทำให้คนอื่นต้องตาย คนๆ นี้ก็คงไม่ใช่คนดีอะไร มีความเป็นไปได้มากที่จะลงมือฆ่าคนที่ข่มขู่ตัวเอง”

เฉินซวินหรานแอบข้องใจหลายเรื่อง แต่คดีดำเนินมาถึงตรงนี้ ในเมื่อมีอีกหนึ่งผู้ต้องสงสัย เธอก็ควรไปตรวจสอบ

“นายลองไปตามสืบเรื่องของอู่ชุนเหอ ดูว่าช่วงที่หลี่หนานเฟิงเข้าพักที่โรงแรมเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนและทำอะไรบ้าง”

เรื่องนี้บังเอิญมากเกินไป ตอนที่ไม่คิดในแง่มุมนี้ก็ไม่รู้สึก แต่พอมาคิดดู เฉินซวินหรานก็รู้สึกว่ายังมีหลายประเด็นที่ต้องสืบค้น

เช่น การที่ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ถูกส่งมาที่สถานีตำรวจ ทำให้ทางตำรวจเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จากนั้นก็ส่งจดหมายมาอีกหลายฉบับ ทางตำรวจสืบยังไงก็ไม่มีความคืบหน้า ทำให้อู่ชุนเหอกลัวจนกลายเป็นกระต่ายตื่นตูม ท้ายที่สุดต้องไปหลบซ่อนตัว ไม่กล้าแม้กระทั่งจะกลับบ้าน ไม่กล้าให้ใครรู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหนเพียงเพราะกลัวว่าจะถูกฆ่า

แต่เพราะความระมัดระวังของอู่ชุนเหอ ทำให้คืนที่เกิดเหตุ ไม่มีหลักฐานว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน

ตอนแรกเฉินซวินหรานตามสืบเรื่อง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ จนมาถึงทางตัน ตอนนั้นเคยสงสัยว่าทำไมลายมือของซูอี้ไม่เหมือนใน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ จากนั้นหลี่หนานเฟิงก็มาเสียชีวิตในโรงแรม พอดีกับที่เธอพบว่าลายเซ็นชื่อของหลี่หนานเฟิงตอนเข้าพักในโรงแรมเหมือนลายมือใน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ไม่ผิดเพี้ยน

ท่ามกลางความมืดมนราวกับมีมือคู่หนึ่งคอยดำเนินเรื่องราวไปอย่างไร้ช่องโหว่ และเป็นคนที่ชี้นำ ‘ทางสว่าง’ ให้เธอ

“หวังว่าฉันจะคิดมากไปเอง...”

เฉินซวินหรานพึมพำ สายตาทอดไปบนทางเดินทอดยาวจนเห็นทางเลี้ยวตรงมุมที่เป็นจุดสิ้นสุด

ตรงนั้นมีหน้ากระจกที่เป็นกระจกบานหนึ่ง แสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาทางข้างหน้าต่าง แต่ราวกับสามารถส่องได้เพียงแค่ผิวเผิน ยากที่จะส่องเข้าไปในส่วนลึกของทางเดินได้

ท่าทางของเธอดูสับสนมาก บนใบหน้าเผยความเหนื่อยล้าที่ยากจะเก็บงำ เสียงถอนหายใจนี้ปะปนไปด้วยความจนปัญญาชนิดหนึ่ง

พอเปลี่ยนทิศทางการสืบคดีก็มีความคืบหน้าอย่างที่คาดเอาไว้

หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลซู อู่ชุนเหอและหลี่หนานเฟิงต่างก็ได้รับผลประโยชน์ เพราะรายได้จาก ‘การเปิดบริษัท’ ในตอนนั้นทำให้ธุรกิจของอู่ชุนเหอเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ฐานะก็ร่ำรวยมากขึ้นเช่นกัน

หลังจากอู่ชุนเหอและหลี่หนานเฟิน ‘หลอก’ ตระกูลซู จนเป็นสาเหตุทำให้มีคนต้องตายแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีปฏิสัมพันธ์กันอีกเลย ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง แต่เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ หลี่หนานเฟิงเริ่มพยายามติดต่ออู่ชุนเหอ ระหว่างนั้นก็เคยขอเงินเขา และขอไปจำนวนไม่น้อยเลย

จากเรื่องนี้ ทำให้ทั้งสองมีความขัดแย้งเรื่องเงิน ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างมีแรงจูงใจที่จะฆ่าอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เฉินซวินหรานรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ

หลังจากเกิดเรื่องกับตระกูล หลี่หนานเฟิงและอู่ชุนเหอไม่ได้ติดต่อกันนานเป็นสิบยี่สิบปี แต่ทำไมอยู่ๆ หลี่หนานเฟิงก็มาไถเงินจากอู่ชุนเหอได้?

เฉินซวินหรานคิดเรื่องนี้มานานหลายวัน การที่ทางตำรวจสืบจนรู้ว่าในเวลาแบบนี้ซูอี้ติดต่อกับหลี่หนานเฟิง เรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ในสองคดีนี้ มีเงาของซูอี้อยู่ที่ทุก ผู้หญิงคนนี้มาพร้อมความแค้นและเธอก็ไม่คิดจะปกปิดมัน ทุกสิ่งที่พูดและทำล้วนควรค่าแก่การวิเคราะห์

เช่น การที่เธอไม่ใช้น้ำหอม อาจจะเป็นเพราะไม่อยากหลงเหลือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ในที่ใดที่หนึ่ง นี่เป็นการกระทำที่ฉลาดมากและไม่ทิ้งร่องรอยให้ตำรวจได้สืบค้น

ครั้งที่สองที่ถูกทางตำรวจเรียกตัว ทางตำรวจได้เก็บลายนิ้วมือและน้ำลายของเธอไป เพื่อจะเตรียมเปรียบเทียบหลังจากได้เบาะแสจากฝ่ายนิติวิทยาศาสตร์

สถานที่ก่อเหตุถูกน้ำท่วมไปแล้วและสถานที่ก็ถูกทำลาย ทั้งหมดที่ควรมีในตอนแรกล้วนถูกทำลายจนไม่สามารถเอามาเป็นหลักฐานได้อีก

ในขณะเดียวกันมีข่าวจากฝ่ายนิติวิทยาศาสตร์ว่า ในสถานที่เกิดเหตุไม่มีลายนิ้วมือหรือ DNA ของซูอี้ แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนค้นหามานานหลายวัน ในที่สุดก็พบว่า ในสถานที่เกิดเหตุมีเส้นผมที่มีหนังศีรษะติดอยู่เส้นหนึ่ง หลังจากผ่านการตรวจ DNA ยืนยันได้ว่าไม่ใช่ของหลี่หนานเฟิงแต่เป็นของคนอื่น

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผมเส้นนี้อาจจะถูกดึงตอนต่อสู้กัน มีความเป็นไปได้เป็นอย่างสูงว่าเจ้าของผมอาจจะเป็นคนร้ายที่ฆ่าหลี่หนานเฟิง

ถึงขณะนี้คดีแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับซูอี้เลย ทิศทางการตรวจสอบของทางตำรวจถูกเบนไปที่เจ้าของผมเส้นนั้น

ในฐานะผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมของหลี่หนานเฟิง อู่ชุนเหอเองก็อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนของทางตำรวจในครั้งนี้

ตำรวจในสถานีวั่งจินเรียกเขามา ให้เขาทิ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเอาไว้ เพื่อรอผลการตรวจสอบ

ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคนล้วนคิดว่าคดีฆ่าปาดคออันสะเทือนไปทั้งเมืองวั่งจินนี้ อาจจะคลี่คลายลงแล้ว

ทุกคนต่างก็กำลังดีใจแต่ เฉินซวินหรานยังคงรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เธอทำคดีมานานหลายปีมีประสบการณ์มากมายและมีไหวพริบในการสังเกตการณ์จึงรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลตามสัญชาตญาณ

มีเรื่องน่าสงสัยหลายเรื่องที่ยังไม่ถูกคลี่คลาย ทางอู่ชุนเหอก็ยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่ฆาตกรและมีทนายคอยจัดการให้ เขายืนยันว่าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น

ไม่นานก็ได้ผลลัพธ์จากการเทียบดีเอ็นเอ เส้นผมที่เจอในโรงแรมที่เป็นสถานที่เกิดเหตุนั้น จาก DNA ยืนยันว่าตรงกับของอู่ชุนเหอ

เมื่อเชื่อมโยง ‘ความสัมพันธ์’ อันพิเศษก่อนหน้านี้ของอู่ชุนเหอและหลี่หนานเฟิง เขาคงจะถูกข่มขู่ และเพราะหมดความอดทนจึงมีเหตุจูงใจที่ทำให้เขาลงมือฆ่าปิดปาก

วันที่เกิดการฆาตกรรมหลี่หนานเฟิง อู่ชุนเหอเองก็ตกอยู่ท่ามกลางเงามืดของ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ เขาหลบซ่อนตัวไปทั่ว ไม่กล้าแม้กระทั่งจะติดต่อกับคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากพอว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ

แต่บอดี้การ์ดข้างกายเขาคนหนึ่งบอกว่า คืนนั้นอู่ชุนเหอพักอยู่ในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง แต่บอดี้การ์ดเป็นคนของเขา คำพูดแบบนี้เมื่อไปขึ้นศาลผู้พิพากษาไม่มีทางยอมรับได้ โดยเฉพาะอู่ชุนเหอมีแรงจูงใจและยังมีเส้นผมเส้นหนึ่งที่เพียงพอจะยืนยันว่าเขาเคยเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุจริงมัดตัวเขาเอาไว้แน่น ก็มีความเป็นไปได้เป็นมากว่า สุดท้ายเขาจะถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง และเพราะคดีนี้ส่งผลกระทบร้ายแรง ความเป็นไปได้ที่จะถูกประหารชีวิตจึงมีสูงมาก

คดีใกล้จะปิดลงแล้ว จากสถานการณ์เบื้องต้นไม่มีความเป็นไปได้ที่คดีจะพลิกอีกแล้ว เฉินซวินหรานคิดถึง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ของอู่ชุนเหอแล้วก็ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

อู่ชุนเหอไม่ถูกคนร้ายที่ส่ง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ฆ่า แต่อาจจะตายเพราะกฎหมายแทน

ถ้าเป็นอย่างที่เขาพูดว่าตัวเขาถูกใส่ความจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคนที่ ‘ฆ่า’ เขาก็ต้องเป็นคนที่ตั้งใจขุดหลุมพรางเพื่อใช้กฎหมายลงโทษเขาอย่างเปิดเผย

หลี่หนานเฟิงที่เขียน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ตายไปแล้ว แต่อู่ชุนเหอก็ยังคงหนีไม่พ้นการข่มขู่จาก ‘จดหมายแจ้งวันตาย’

เฉินซวินหรานคิดได้ดังนี้ก็ขอเวลาพิสูจน์ความจริงจากเบื้องบน คิดว่าคดีนี้ยังมีหลายจุดที่น่าสงสัย มีอีกหลายเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจ

อู่ชุนเหออาจจะไม่ใช่คนดีจริงๆ แต่คดีฆาตกรรมในครั้งนี้ มีความเป็นไปได้เป็นอย่างสูงว่าเขาถูกใส่ความ

แต่ว่าตอนนี้จากหลักฐาน เส้นผมที่ DNA ตรงกับอู่ชุนเหอเป็นหลักฐานที่มัดตัวเขา คดีดูเหมือนจะจบลงแล้วไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะพิสูจน์อีก

การคัดค้านของเฉินซวินหรานทำให้เบื้องบนไม่พอใจมาก และยื่นคำขาดให้เธอหยุดและกลับไปพักผ่อนที่บ้านสักสองวันแล้วค่อยกลับมาว่ากัน

ทางตำรวจได้แถลงกับประชาชนว่าปิดคดีที่โรงแรมผายเฟิงอย่างเป็นทางการ คนที่ฆ่าหลี่หนานเฟิงคือนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในเมืองวั่งจินอย่างอู่ชุนเหอ ทันทีที่ข่าวถูกเปิดเผยก็สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก

ณ เมืองวั่งจิน ในร้านน้ำชาที่มีชื่อว่า ‘ชิงเถียวยี่เซิง’ เฉินซวินหรานนัดซูอี้มานั่งคุยเป็นเพื่อน

เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวทั้งสองไม่ได้เจอกันในสถานีตำรวจและอาจจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายของหญิงสาวทั้งสอง

ห้อง VIP ของร้านน้ำชาอยู่ติดกับแม่น้ำฉางเจียง ห้องส่วนตัวถูกตกแต่งอย่างคลาสสิก แฝงกลิ่นไอโบราณแบบหัวเซี่ย

หน้าต่างถูกเปิดเอาไว้ ผ้าม่านบังลมที่ปล่อยลงมาถูกเปิดออกแล้ว ลมพัดเข้ามาในห้องเบาๆ น้ำในโต๊ะน้ำชาเดือดแล้วและส่งเสียงดัง ‘ปุดปุด’

“คุณจะไปจากวั่งจินแล้วเหรอ” เธอเคยบอกว่า ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะจบลงเธอจะไม่ออกจากวั่งจิน

ตอนนี้เรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว ตามที่เธอตั้งใจไว้ เธออาจจะใกล้จากไปแล้ว

เฉินซวินหรานมองหญิงสาวที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้า ท่าทางของเธอดูผ่อนคลายและสงบนิ่ง ราวกับภาระบนบ่าและในใจได้ถูกวางลงแล้ว ท่าทางดูสบายใจ

เมื่อเทียบกันแล้ว ตัวเองอาจจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่กว่า

เธอคิดมาโดยตลอดว่า คดีของอู่ชุนเหอมีอะไรไม่ชอบมาพากล ถึงแม้เบื้องบนจะขอให้เธอพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เธอก็ยังแอบสืบ แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้

ตอนที่อยู่ในสถานีตำรวจ เธอคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่ต้องพูดถึงเวลาพักที่ถูกใช้ไปไม่น้อย หลังจากสืบมาสองวันก็ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ทางตำรวจได้แถลงสถานการณ์ของคดีกับประชาชนแล้วเพื่อยืนยันว่าคดีนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น

ตอนที่เฉินซวินหรานถาม ก็รู้สึกเหมือนกำลังเสียดสีไม่น้อย เธอพยายามกระตุกมุมปากอยากจะยิ้มหลายครั้งแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ท้ายที่สุดมุมปากยังคงคว่ำอยู่

“ใช่ค่ะ” ซูอี้พยักหน้า ผมของเธอไม่ได้ถูกมัดอย่างเป็นธรรมชาติ สภาพผมดูไม่เหมือนจริงนัก สิ่งสำคัญคือเธอไม่มีท่าทีว่าจะปิดบัง กลับเปิดเผยต่อหน้าเฉินซวินหรานอย่างไม่ใส่ใจเหมือนกำลังเยาะเย้ยเธอ

ผมของเธอเหมือนจะเป็นของปลอม ตอนเจอเธอครั้งแรกผมของเธอเป็นผมจริงที่มีสภาพดีมาก หลังจากพบกันอีกครั้งเพราะเรียกตัวเธอมาสอบสวนเรื่องการตายของหลี่หนานเฟิง ตอนที่เธอไปพบเฉินซวินหรานก็เห็นได้ชัดว่าใส่วิกผม

“ในเมื่อสมดั่งปรารถนา ศัตรูถูก ‘ประหาร’ ไปแล้ว คุณก็คงไม่มีความปรารถนาอะไรอีก”

เฉินซวินหรานยิ้มอย่างเย็นเยียบ ในใจมีกองเพลิงที่สามารถปะทุออกมาได้ตลอดเวลา

ซูอี้เพียงแค่ยิ้ม เธอไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดกับข้อกล่าวหานี้

“คุณใส่วิกผมเหรอ” เฉินซวินหรานหายใจเข้าลึกๆ อยู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ที่ไม่ฉีดน้ำหอมเพราะกลัวจะหลงเหลือกลิ่น ที่ตัดผมเพื่อไม่ต้องการทิ้งหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ”

วางแผนอย่างรอบคอบ เรื่องราวทั้งหมดสัมพันธ์กัน ค่อยๆ ลงมือทีละขั้นตอน บีบบังคับจนศัตรูจนตรอก

“ฉันดูผลการชันสูตรศพของหลี่หนานเฟิงแล้ว วันที่เข้าพักในโรงแรม เขาทานอาหารที่ส่งผิดและแพ้อาหารชนิดนั้นพอดี ตอนแรกเขายังไม่รู้ตัว จนกระทั่งกลับไปอาบน้ำ เพราะว่าไอร้อนทำให้อาการของเขายิ่งหนัก เพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะถูกปาดคอก็สูญเสียความสามารถที่จะตอบโต้ไปแล้ว”

สำหรับเรื่องนี้ สามารถปฏิเสธข้อสรุปในตอนแรกของทางตำรวจ ที่ว่าจากรูปร่างของหลี่หนานเฟิงคนที่จะปาดของเขาได้อย่างง่ายดายต้องเป็นผู้ชาย

ความจริง ในสถานการณ์ตอนนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะลงมือฆ่าหลี่หนานเฝิงที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

เมื่อก่อนตระกูลซูเป็นเพื่อนบ้านกับหลี่หนานเฟิง การจะรู้ว่าหลี่หนานเฟิงแพ้อาหารอะไรไม่ใช่เรื่องยาก

สำหรับเรื่องที่หลี่หนานเฟิงไปทำอะไรที่โรงแรม เส้นผมของอู่ชุนเหออยู่ในที่เกิดเหตุได้ยังไงและเธอให้หลี่หนานเขียน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ได้ยังไง เพราะการตายของหลี่หนานเฟิงความลับมากมายถูกปกปิด

“คนที่ต้องการชีวิตของอู่ชุนเหอคือคุณใช่ไหม?”

เฉินซวินหรานกำหมัดแน่น “ฆาตกรในโรงแรมคือคุณใช่ไหม?”

ร่างกายของเธอเกร็งไปทั้งตัว ขาทั้งคู่ที่นั่งไขว่ห้างอยู่ออกแรงเกร็งแน่น ท่อนบนของร่างกายยืดตรง ทำให้เห็นถึงเปลวเพลิงแห่งความโกรธที่ยากจะกักเก็บของเธอ

น้ำเดือดแล้ว ซูอี้ยกกามาเติมน้ำร้อนให้เต็ม กลิ่นหอมชากระจายไปทั่วทั้งห้อง เธอได้ยินข้อกล่าวหาของเฉินซวินหราน แต่ก็ไม่กระวนกระวาย มือที่เทน้ำยังคงไม่หยุด น้ำร้อนไหลเข้ากาดัง ‘จ๊อกๆ’

“ไหนล่ะคะหลักฐาน”

น้ำในกามีประมาณสองในสามแล้ว เธอวางกาน้ำลง หลังจากล้างด้วยน้ำชาก็เติมน้ำให้เต็มอีกครั้ง ก่อนจะเทชาให้เฉินซวินหรานและตัวเองคนละแก้ว เสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงเก็บมือและมองเฉินซวินหรานพร้อมรอยยิ้ม

“คุณตำรวจเฉิน คุณบอกว่าฉันเป็นฆาตกร แล้วไหนหลักฐานล่ะคะ”

น้ำเดือดในกาดัง ‘ปุดปุดปุด’ ทำให้บรรยากาศอันเย็นเยียบอบอุ่นขึ้นมาก เธอยกแก้วน้ำชาขึ้น มองเฉินซวินหรานพร้อมรอยยิ้มและจิบชาเบาๆ ทีหนึ่ง

“ตำรวจก็ไร้ความสามารถแบบนี้ละนะ”

“เมื่อสิบปีก่อน พ่อของฉันถูกหลอก ทางตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนนี้พอมีคนตาย เกิดคดีขึ้นสองคดี ทางตำรวจก็ยังคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อยู่ดี” เธอยื่นมือไปจัดวิกผมที่เบี้ยวเล็กน้อย รอยยิ้มบนหน้างามเย้ายวนเป็นอย่างมาก เธอไม่ได้แสดงสีหน้าเยาะเย้ยหรือดูถูก แต่กำลังเสียดสีทุกทาง ซึ่งส่งผลกระทบมากกว่าการแสดงออกอย่างชัดเจนเสียอีก

“แต่กลับมาสงสัยผู้หญิงอ่อนแออย่างฉัน”

“ผู้หญิงอ่อนแองั้นเหรอ?”

คำพูดของเธอทำให้รู้สึกเฉินซวินหรานขำ แต่จะหัวเราะยังไงก็หัวเราะไม่ออก เธอลองหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถยกมุมปากขึ้นได้ สุดท้ายจึงยอมแพ้

“ผู้หญิงอ่อนแออย่างคุณน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพวกผู้ชายแรงเยอะหลายคนซะอีก”

เธอทำงานมาหลายปีจับคนร้ายมามากมาย คดีที่ไขสำเร็จก็ไม่น้อย เคยมีปฏิสัมพันธ์ทุกรูปแบบกับคนร้าย แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่รู้สึกจนปัญญาเหมือนครั้งนี้