webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

664

บทที่ 664 คดีพลิก

จากน้ำเสียงและท่าทางของซูอี้ในตอนนั้น การที่กล้าพูดแบบนี้แสดงว่า เธอต้องการท้าทายทางตำรวจ “บ้าที่สุด!”

เฉินซวินหรานกำหมัดแน่นแล้วทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง

ซูอี้ถูกเชิญตัวมาที่สถานีตำรวจวั่งจินอีกครั้ง ตอนเธอมาครั้งก่อน เพราะเป็นผู้ต้องสงสัยที่ส่ง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’

แต่ในครั้งนี้ที่เธอถูกเชิญมาที่สถานีตำรวจ เธอได้กลายเป็น ‘ผู้ต้องสงสัยในคดี’ เป็นคนที่เฉินซวินหรานสงสัยมากที่สุด

ผู้หญิงคนนี้ใช่ว่าจะสามารถรับมือได้ง่ายๆ หล่อนเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอกและจิตแข็งมาก ตอนเชิญเธอมา ‘ให้ความร่วมมือกับทางตำรวจ’ เมื่อครั้งที่แล้ว เธอก็พลิกบทบาทจากผู้ถูกสอบปากคำและยังทำให้เฉินซวินหรานโกรธอีก

เพราะฉะนั้นพอมาเจอซูอี้อีกครั้ง เฉินซวินหรานจึงทำการบ้านมาล่วงหน้าไม่น้อย ศึกษาคดีทั้งสองที่มีความเชื่อมโยงกันครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ปล่อยผ่าน

ความจริงทุกคนที่ดูถึงตรงนี้ ล้วนคิดว่าทางตำรวจเป็นผู้ถูกกระทำ

เฉินซวินหรานเปิดห้องสอบสวน วินาทีที่เห็นซูอี้ เธอเงยหน้าขึ้น สายลมอันเย็นเยียบ ค่อยๆ พัดผ่านเข้ามาในใจ

เธอสวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาล ชายเสื้อยาวประมาณเข่า เผยให้เห็นน่องเล็กเรียวเสลา แม้จะนั่งอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมืดแบบนี้ ท่าทางของเธอยังคงเรียบแทบนิ่ง เฉินซวินหรานหอบเอกสารเข้ามา เธอก็ยังมีกะจิตกะใจทักทาย

“หัวหน้าผู้กำกับเฉิน พบกันอีกแล้วนะคะ”

เฉินซวินหรานหรี่ตา มองเธออย่างพินิจ ผมของเธอถูกปล่อยสยายไไว้ข้างหลัง ถือจับกระเป๋าสะพายข้างไว้ใบหนึ่ง ปล่อยให้เฉินซวินหรานพิจารณาตามต้องการ ราวกับชินกับสายตาแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

“ผมของเธอคุณ...”

ตอนแรก เฉินซวินหรานสังเกตเห็นสภาพผมของเธอที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน

ผมของเธอเรียบลื่นเงางาม ดำเหมือนหมึก แม้จะเคยสัมผัสเห็นเพียงแวบๆเล็กน้อย แต่เฉินซวินหรานก็จำได้ดี

แต่พอมาเจอกันอีกครั้ง เส้นผมของเธอกลับแห้งเสียไร้ซึ่งความเงางามไปเสียแล้ว

“ใช่ค่ะแล้ว”

ซูอี้พยักหน้าอย่างเป็นนัย ตำรวจปิดประตูห้องสอบสวนของสถานีวั่งจิน ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองอยู่ในห้องเพียงลำพัง

“เปลี่ยนแปลงไปแค่เล็กน้อย ไม่คิดว่าคุณท่านจะดูออกนะคะ”

เฉินซวินหรานรู้สึกว่าคำพูดของเธอเหมือนมีความหมายอื่นแอบแฝง แต่เป้าหมายที่ต้องการเรียกเธอมา ไม่ใช่เพราะจะคุยเรื่องผม จึงเก็บเรื่องเล็กน้อยนี้เอาไว้ก่อน

“คุณรู้จักหลี่หนานเฟิงไหม”

ตอนที่เฉินซวินหรานถาม ก็ได้หยิบรูปของหลี่หนานเฟิงออกจากแฟ้มแล้ววางตรงหน้าซูอี้ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ซูอี้ก็พยักหน้า

“รู้จักค่ะ”

หลี่หนานเฟิงเสียชีวิตในโรงแรมแบบมีหน้าต่าง วันที่พบศพ ผู้คนจำนวนมากที่พักอยู่ในโรงแรมต่างแห่กันเข้าไป ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้สื่อต่างๆ แตกตื่น เรื่องนี้ปิดอย่างไรยังไงก็ปิดไม่มิด

เรื่องนี้กลายเป็นคดีใหญ่ที่สร้างความกระวนกระวายใจสะเทือนขวัญเป็นอย่างมาก คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลี่หนานเฟิงช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ต่างก็ถูกเรียกตัวมาสอบปากคำ คนส่วนใหญ่ตอบคำถามอย่างระมัดระวัง กลัวเป็นอย่างยิ่งว่ามากว่าจะถูกเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรม มีเพียงซูอี้ที่ดูสงบแนบนิ่ง ทำให้เฉินซวินหรานที่สงสัยในตัวเธออยู่แล้วยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม

“จากการตรวจสอบ เมื่อก่อนหลี่หนานเฟิงเป็นเพื่อนบ้านกันกับบ้านตระกูลซู เคยทำธุรกิจกับอู่ชุนเหอและเคยมีความขัดแย้งกับพ่อของคุณเธอ”

เฉินซวินหรานกอดอก ซูเพ่ยเอินสังเกตเห็นว่า ในการพบกันในครั้งนี้ เฉินซวินหรานเคลื่อนไหวมากเกินไป ความตื่นตระหนกถูกแสดงออกทางสายตา

ในโลกแห่งความเป็นจริง เถาเฉินที่แสดงเป็นเธอและเจียงเซ่อที่แสดงเป็นซูอี้คอยแข่งกันอยู่แล้ว ทั้งสองเป็นคู่แข่งกันในชีวิตจริง จึงเอาความสัมพันธ์แบบนั้นมาใช้ในหนังด้วย

ในโลกแห่งความเป็นจริง ก่อนหนังเรื่องนี้จะเข้าฉาย เถาเฉินเพิ่งเจอเรื่องที่งานแบรนด์แอมบาสเดอร์ถูกเจียงเซ่อเข้าแทรกแซงและถูกแย่งหนัง ตอนนั้นเธอยังไม่ออกจากซื่อจี้หยินเหอ นักแสดงหญิงจากสองสังกัดเดียวกันก็คงจะกำลังแย่งตำแหน่ง ‘อันดับหนึ่ง’ กันอยู่

ความขัดแย้งในชีวิตจริง ถูกเธอเก็บซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ในหนัง ในขณะที่เธอเองก็ถูกซูอี้ที่รับบทโดยเจียงเซ่อ ‘กดดัน’ ความกระวนกระวายเหล่านั้นก็ซ่อนไม่ไว้อยู่อีกต่อไป

เถาเฉินในตอนนี้แสดงความกระวนกระวายออกมาได้อย่างพอดีและแน่นอนว่าเป็นความรู้สึกที่สมจริงมากกว่าการแสดง เฉินซวินหรานเป็นคนหนักแน่น ยิ่งทำให้ดูสมจริงมากขึ้น

ซูเพ่ยเอินที่อยากรู้เรื่องนี้แอบถอนหายใจ ในหนังเรื่อง ‘Suspect’ ฮั่วจือหมิงมีความสามารถมากพอที่จะรวมนักแสดงหญิงที่มีมากความสามารถไว้ด้วยกัน ทำให้พวกเธอได้ร่วมงานกัน ต่างแสดงศักยภาพของตัวนเองออกมา ฉากนี้เป็นฉากในตำนานที่ ชาตินี้อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

“สองเดือนก่อนหน้านี้ คุณโทรหาหลี่หนานเฟิงใช่หรือเปล่าไม่”

สายตาของเฉินซวินหรานจ้องซูอี้ เห็นเธอตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่ค่ะ”

“คุณคุยอะไรกับเขา”

“นานมากแล้ว ฉันเองก็จำไม่ได้ด้วยสิ”

แม้ซูอี้จะตอบแบบนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินซวินหรานไม่พอใจกับคำตอบนี้และยังคงถามอย่างต่อเนื่อง

“ตอนนั้นเขาก็เป็นหุ้นส่วนธุรกิจของอู่ชุนเหอและพ่อของคุณ บ้านเก่าของคุณถึงขั้นต้องเอาไปใช้หนี้และถูกเปลี่ยนมือยกให้เขาไป หลังจากบ้านถูกรื้อถอนดเขาก็ยังคงร่ำรวยขึ้นเพราะสาเหตุนี้ คุณเกลียดเขาไหม?”

“แน่นอน!”

คำตอบนี้ทำให้เฉินซวินหรานอึ้งไปครู่หนึ่ง

ตอนนี้กำลังคุยเรื่องคดีฆาตกรรม ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีว่า คำพูดทุกคำที่เชื่อมโยงไปได้ ล้วนมีความสำคัญกับคดี เพื่อไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อต้องสอบปากคำเหมือนเธอ คนส่วนมากมักจะปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าซูอี้จะยอมรับตามความจริง

พอเธอยอมรับแบบนี้ก็ถือเป็นผลดีกับรูปคดี แต่ไม่เป็นผลดีต่อเธอเลย เธอเป็นคนฉลาด ทำไมเหตุใดถึงจึงพูดแบบเช่นนี้นะ

“เพราะฉะนั้นคุณโกรธที่เขากับอู่ชุนเหอวางแผนกัน แย่งสมบัติบ้านคุณเธอไป อีกทั้งเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้พ่อแม่ของคุณต้องฆ่าตัวตาย เลยจึงคิดจะฆ่าเขาตั้งแต่สองเดือนที่แล้วอย่างนั้นสิ”

แม้ว่าเฉินซวินหรานจะแอบสงสัยปฏิกิริยาของซูอี้ แต่ในขณะที่ควรบีบบังคับ เธอกลับค่อยๆ คลายความสงสัยเพราะเรื่องนี้

“หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ คุณลากลับมาที่วั่งโจว หลายวันก่อนหลี่หนานเฟิงก็ตายในโรงแรมผายเฟิงแบบมีหน้าต่าง”

“ฉันเป็นผู้หญิง จะทำอะไรผู้ชายได้อย่างไรยังไงละคะ แถมยังฆ่าปาดคอเขาในอ่างอาบน้ำโดยที่เขาไม่สามารถตอบโต้ได้อีก คุณอย่าใส่ความฉันสิคะเลย” ตอนที่เธอพูดคำว่าใส่ความ ใบหน้าก็แฝงรอยยิ้มเหมือนกำลังออดอ้อน

คนหนึ่งสอบปากคำอย่างเข้มงวด สร้างแรงกดดันและตั้งคำถามอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ อีกคนตอบอย่างผ่อนคลาย แม้จะกดดัน แต่ยังคงระมัดะวัง หนักแน่น ไม่แสดงความกระวนกระวาย

ฉากของผู้หญิงสองคนนี้ ถึงขั้นสุดยอดตามตำราแล้วและยังแพร่กระจายออกมาสู่นอกจอ ทำให้คนดูตื่นเต้นจนถึงที่สุด

“คุณรู้ได้อย่างไรยังไงว่าก่อนตายหลี่หนานเฟิงไม่มีเรี่ยวแรงตอบโต้ ถูกฆ่าปาดคออยู่ในอ่างอาบน้ำ คุณเห็นกับตาเหรอ?”

ซูอี้ยิ้มเม้มปาก ยื่นมือออกไปปิดบังริมฝีปากเอาไว้ หรี่ดวงตาอันงดงามลง แรงอาฆาตแสงประกายวูบเคลื่อนไหวอยู่ในดวงตาของเธอ

“อ่านเจอเห็นในในเนื้อข่าวบนในอินเทอร์เน็ตน่ะค่ะ”

“วันเกิดเหตุ คุณไปที่ ‘ร้านกาแฟชิงเถียวยี่เซิง’ ใช่หรือเปล่า”

เฉินซวินหรานเอารูปที่ทางตำรวจถ่ายซูอี้ออกมาวางตรงหน้าซูอี้รูปหนึ่ง ตอนนี้บรรยากาศระหว่างทั้งสองอึดอัดมาก ซูอี้ยื่นมือออกไปกำลังจะหยิบ เฉินซวินหรานกลับทับทับรูปเอาไว้แน่น สายตาจับจ้องเธอ ต้องการจับพิรุธจากสีหน้าของเธอ เพื่อทำลายกำแพงในใจเธอทะลวงปราการป้องกันในใจเธอ

ซูอี้จับมุมของรูปถ่ายเอาไว้ จนในที่สุดเฉินซวินหรานก็ปล่อยมือ

ในรูปนร่ปรากฏภาพซูอี้นั่งอยู่ในมุมข้างกระจกของ ‘ร้านกาแฟชิงเถียวยี่เซิง’ สวมเสื้อไหมพรหมสีดำ ปกคอเสื้ออันสูงปกปิดลำคออันเรียวเล็กของเธอ เธอยกแก้วกาแฟขึ้นมา สิ่งที่สายตากำลังจับจ้องคือ ตำแหน่งของ ‘โรงแรมผายเฟิงแบบมีหน้าต่าง’

“ใช่ค่ะ”

ซูอี้ดูรูปนี้ของตนเองตัวเองอย่างชื่นชม สำหรับเรื่องที่เฉินซวินหรานจับได้ว่าเธอไปนั่งอยู่ในร้านกาแฟแถวโรงแรมในวันที่พบศพนั้น เธอไม่ได้กระวนกระวาย แต่กลับยอมรับพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่ได้ไปแค่วันนั้น วันก่อนก็ไปค่ะ”

“นั่นก็หมายความว่า คุณคุ้นเคยกับแถวนั้นดี”

“ใช่ค่ะ”

เธอพยักหน้า รอยยิ้มในดวงตาชัดเจนมากกว่าเดิม

เพื่อได้คำตอบที่ต้องการ ท่าทางของเฉินซวินหรานก็เคร่งขรึมขึ้นมา พลันรู้สึกว่าเบาะแสเหล่านี้ได้มาง่ายเกินไป ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เหมือนซูอี้จงใจให้เบาะแสกับเธอ

“’ร้านกาแฟชิงเถียวยี่เซิง’ ห่างจาก ‘โรงแรมแบบผายเฟิงมีหน้าต่าง’ อีกซอยแค่ถนนกั้นเดียว ที่นั่นเกิดคดีฆาตกรรม และคุณก็ดื่มกาแฟอยู่ตรงนั้นพอดี คุณอย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ”

“หรือคุณตำรวจอผู้กำกับเฉินคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญล่ะคะ”

ซูอี้กระตุกมุมปากและย้อนถาม เฉินซวินหรานตบโต๊ะดัง ‘ปัง’ อย่างแรงทีหนึ่ง เอกสาร ปากกาและของอื่นๆ บนโต๊ะล้วน ‘กระเด้งกระดอน็นขึ้น’ เพราะแรงของเธอ

“ฉันกำลังถามคุณ ไม่ได้ให้คุณมาย้อนถามฉัน”

เธอยิ้มอย่างเย็นเยียบ

“นอกจากความบังเอิญแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ คุณซู คุณรู้ไหมว่าคืออะไร”

ทั้งสองคุยกันถึงตรงนี้ บรรยากาศอึดอัดมาก แม้กระทั่งผู้ชมยังปาดเหงื่อแทนพวกเธอ ซูอี้กลับไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศแบบนั้น และยังถามว่า

“อะไรเหรอคะ”

“ทุกคนมักจะภูมิใจกับ ‘ผลงาน’ ของตนเองตัวเอง บางทีที่คุณไปที่นั่น อาจจะเพื่อ ‘ชื่นชม’ ผลงานของตนเองตัวเองก็ได้”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเฉินซวินหราน ซูอี้ก็หัวเราะออกมา

“ผู้กำกัคุณตำรวจบเฉินมีอารมณ์ขันจังค่ะมองโลกในแง่ดีจัง”

เธอยัดรูปในมือเข้ากระเป๋า ท่าทางเหมือนจะไม่คืนรูปนี้ให้ทางตำรวจแล้ว เฉินซวินหรานรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรยังไงกับเธอดี

“จริงใช่สิแล้ว”

เมื่อซูอี้เก็บวางรูปเสร็จเอาไว้ ก็ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ท่าทางเหมือนยิ้มและไม่ยิ้มในขณะเดียวกัน

“เพราะความแค้นในตอนนั้น เรื่องการตายของหลี่หนานเฟิงคุณตำรวจผู้กำกับเฉินเลยจึงสงสัยฉัน แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอู่ชุนเหอ ทางตำรวจก็คงจะอีกสงสัยฉันอีกใช่ไหมคะ”

เธอพูดถึงอู่ชุนเหอขึ้นมาเอง เฉินซวินหรานก็คิดถึง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ พวกนั้นขึ้นมาทันที ตอนนี้รู้แล้วว่าจดหมายเหล่านั้นมาจากหลี่หนานเฟิฝิง นอกจากนี้ก็ไม่มีเบาะแสอะไรอีกเลย แต่เฉินซวินหรานแอบสงสัยซูอี้ เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ จึงพูดว่า

“คุณวางใจเถอะ ทางตำรวจจะดูแลอู่ชุนเหอเป็นอย่างดี”

ซูอี้ได้ยินแบบนี้ก็ยักคิ้ว สายตาพลันดูเสียดสี “ฉันคิดมากไปเองละคะ บุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างอู่ชุนเหอ แน่นอนว่าควร ‘ดูแลดีๆ ’ หน่อย”

คำพูดของเธอมีอะไรแอบแฝง สายตาที่ดูเสียดสีทำให้เฉินซวินหรานขมวดคิ้วอีกครั้ง การคุยกับซูอี้ในครั้งนี้ทำให้เธอสงสัยผู้หญิงคนนี้มากกว่าเดิม ถึงขั้นที่แอบมั่นใจแล้วว่า เธอเป็นคนฆ่า!

ความรู้สึกแบบไร้ที่มาเช่นนี้ ซูอี้เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะปกปิด กลับยิ่งจงใจให้เบาะแสเธอ เฉินซวินหรานคิดอย่างไรยังไงก็คิดไม่ตก รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยปริศนา

คำพูดของซูอี้ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเริ่มจับต้นชนปลายได้แล้ว แต่พอคิดดูดีๆ กลับรู้สึกว่าไม่มีเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์เลย

“ฉันไม่อยากต่อปากต่อคำกับคุณ”

ใบหน้าของเฉินซวินหรานเคร่งขรึมขึ้นมา

“ก่อนที่จะไขคดีของหลี่หนานเฟิงสำเร็จ คุณห้ามออกจากวั่งจิน และควรให้ความร่วมมือกับทางตำรวจ เรียกเมื่อไหร่ก็ต้องมาเมื่อนั้น”

“คุณท่านวางใจเสียเถอะค่ะ” ซูอี้ยื่นนิ้วมือออกไปลูบไล้จับแก้มของตัวเองใบหน้า ก่อนจะหรี่ตา ภายใต้ส่วนลึกของดวงตาคู่นั้นสาดประกายเย็นเฉียบแฝงความเย็นเยียบ

“ก่อนเรื่องจะจบ ถึงแม้ว่าคุณจะไล่ฉัน ฉันก็ไม่ไปหรอกค่ะ”

หลังจากเธอกลับไป ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเฉินซวินหรานก็เก็บเอาไม่อยู่อีก ทุกคำพูดของเธอล้วนควรค่าแก่การไตร่ตรองมันชวนให้คนขบคิดเสียจริง

มีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ง่ายเลย ตอนที่คุยถึงเรื่องการตายของหลี่หนานเฟิงกับเธอ ทำไมเหตุใดเธอจึงพูดถึงอู่ชุนเหอขึ้นมานะ

ถ้าผู้หญิงคนนี้คิดจะแก้แค้นให้ครอบครัวจริงๆ อยากจะ ‘คาดลงโทษโทษ’ ฆาตกรที่ฆ่าคนในครอบครัวของเธอ หลี่หนานเฟิงถูกฆ่าปาดคอในโรงแรม แล้ว ‘คนร้ายเพชฌฆาต’ ที่แท้จริงอย่างอู่ชุนเหอล่ะ เธอจะ ‘ลงโทษ’ อย่างไรยังไง

แต่ถ้าตั้งข้อสงสัยด้วยความกล้ามากกว่านี้อย่างใจกล้าสักหน่อย ถ้าหลี่หนานเฟิงเป็นคนเขียน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ แต่คนที่ส่งจดหมายว่าให้ทางตำรวจคือซูอี้ ถ้าแล้วอย่างนั้น เธอก็จงใจฆ่าทั้งอู่ชุนเหอและหลี่หนานเฟิง เกิดเรื่องกับหลี่หนานเฟิงไปแล้ว วิธีการที่ไม่ทิ้งร่องรอยแบบนี้ จึงจะสอดคล้องกับะเหมือนความคิดของฆาตกรรมปกติ

ตอนนี้เรื่องราวกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทางตำรวจให้ความสำคัญกับ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ เป็นอย่างมาก เบื้องบนส่งคนไปคุ้มกันอู่ชุนเหอ ไม่ให้เธอมีโอกาสลงมืออีก ความคิดที่จะ ‘แก้แค้น’ ของเธออาจจะจบลง

แต่ไม่สิ! การกระทำของเธอดูขัดแย้ง เธอดูแนบนิ่ง พูดอย่างไม่เร่งไม่รีบ ราวกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ ล้วนอยู่ในการควบคุมของเธอ

เฉินซวินหรานขยุ้มเกาผมหัว พร้อมเรียกตำรวจเข้ามาสั่งการ

“ส่งกำลังคนไปคุ้มกันอู่ชุนเหออีก ให้ทุกคนรวบรวมสติ จับตามองเขาไว้ให้ดี”

แค่หลี่หนานเฟิงก็ทำให้เรื่องวุ่นวายมากเพียงนี้ เฉินซวินหรานไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ซูอี้เป็นคนที่อันตรายมากและเธอไม่ใช่คนที่จะดูถูกได้ง่ายๆ

เธอกำลังคิดว่าซูอี้จะ ‘ฆ่า’ อู่ชุนเหออย่างไรยังไง ผู้ชมที่อยู่นอกหน้าจอเองก็กำลังคิดเรื่องนี้เช่นกัน

ตำรวจได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก่อนจะอนจะรับคำ จึงอยากจะถามลองใจแล้วลองถามหยั่งเชิงดูว่า

“แต่ว่าหัวหน้าผู้กำกับเฉินครับ ทำไมคุณถึงท่านเอาแต่สงสัยซูอี้ละครับ ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนแค่ผู้หญิงนอ่อนแอคนนึง แม้จะมีวิชาทักษะป้องกันตัวเอง แต่จะควบคุมทำจนให้คุณลุงชายฉกรรจ์คนหนึ่งไม่สามารถตอบโต้ได้จนยอม และยังปล่อยให้เธอปาดคอได้อย่างไรยังไงกันครับ มันยากากเลยนะ แต่ถ้ากลับกัน...”

ตำรวจในทีมพูดถึงตรงนี้ เฉินซวินหรานรู้สึกว่าเบาะแสที่อยู่ในหัวเริ่มจะได้ข้อสรุปแล้ว เธอหันตัวดัง ‘ขวับ’ จ้องคนพูดเขม็ง ฟังเขาพูดอึกอักต่อไปว่า ก่อนจะพูดต่อว่า

“กลับกันที่แต่หลายวันนี้ จากที่เราหารือเกี่ยวกับคดีนี้มาหลายวัน ต่างก็รู้สึกว่าก็มีเหตุผลที่อู่ชุนเหอเองก็ต้องสงสัยว่าจะเป็นฆ่าเขา”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ไม่เพียงแค่ในหัวของเฉินซวินหรานเท่านั้นที่เกิดความสับสน แม้กระทั่งซูเพ่ยเอินที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้ชมยังรู้สึกเหมือนถูกฟาดหัวอย่างไม่รู้ตัว ในหัวเหมือนดัง ‘วิ้งโหม’ ขนลุกไปทั้งแขน ก่อนจะลามขนลุกไปทั่วทั้งตัว