บทที่ 663 หนักหน่วง
เสียงดนตรีเริ่มขึ้นจากความผ่อนคลายและค่อยๆ ได้ระดับขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด ซูอี้ที่อยู่หน้ากระจกกำลังโกนขนหน้าแข้งอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พอโกนเสร็จ เธอก็เงยหน้าขึ้น
ในกล้องที่ตอนนี้ได้้กล้องจับนิ่งที่ได้ติดตามใบหน้าของเธอ ท่ามกลางแสงไฟ มีหยดน้ำเล็กๆ ระเหยขึ้นกลางอากาศแล้วกลายเป็นหมอกบางๆ ทำให้โครงใบหน้าของเธอในกระจกดูอ่อนโยน
รอยยิ้มของเธองดงามมาก แต่ส่วนลึกของสายตาคู่นั้น เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัวกลับดูเย็นเยียบ ไม่เข้ากับบรรยากาศที่ดูอบอุ่นในตอนนี้เลย
ฮั่วจือหมิงให้เธอรับหน้ากับหน้ากล้องอยู่หลายวินาที เหมือนอยากจะดึงความงามของเธอออกมา วินาทีต่อมา ซูอี้ก็หยิบกรรไกรขึ้นตัดผมอันเปียกชุ่มของตนเองตัวเอง!
ซูเพ่ยเอินเบิกตาโต ฉากนี้กระทบกระเทือนจิตใจเขาเป็นอย่างมาก เสียงตัดผมและเสียงดนตรีรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ให้ความรู้สึกที่ทั้งแปลกและชวนขนลุก
เส้นผมเป็นกระจุกตกลงสู่พื้น ตอนนี้แม้เจียงเซ่อที่อยู่หน้ากระจกจะเงียบ แต่กลับให้ความรู้สึกมากกว่าคำพูดเป็นหมื่นแสนคำ
ผู้กำกับนำเสนอเรื่องราวอันสวยงามสู่สายตาของผู้ชม ก่อนจะทำลายมันอย่างไม่เหลือเยื่อใย ทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนกจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
วินาทีนี้ซูเพ่ยเอินลืมหนังไปจดหมดสิ้น ลืมเถาเฉิน ลืมคดีที่วิเคราะห์ตามเฉินซวินหรานอยู่ในใจ เหมือนถูกทุบหัว สิ่งที่ทั้งดวงตาและหัวใจสามารถมองเห็นได้ มีเพียงเส้นผมแต่ละกระจุกที่ตกลงพื้น
ความหนักแน่นที่ไม่สนอะไรทั้งนั้นและความเด็ดขาดถูกถ่ายทอดออกมาผ่านดนตรีที่มีพลังจนถึงจุดสุดยอด
ซูเพ่ยเอินไม่รู้ตัวว่า ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อย ความรู้สึกยากที่จะควบคุมเกิดขึ้นในจิตใจของเขาและกระจายขึ้นแผ่นหลัง จนทำให้ขนของเขาลุกชันไปทั้งแขนอย่างไม่มีสาเหตุและทำให้เขารู้สึกแน่นอกมาก
ตอนนี้ความสามารถด้านการฟังได้แสดงประสิทธิภาพอันสูงสุด เสียงตัดผมโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางเสียดนตรี
ในใจของซูเพ่ยเอินมีต้นกล้าต้นหนึ่งกำลังเติบโตทะลุผ่านพื้นดิน และกำลังจะพุ่งออกมาจากลำคอ ทำให้รู้สึกคันยุบยิบ แต่เกาอย่างไรยังไงก็เกาไม่ถูกจุดที่คัน เขาหดคอและกลืนน้ำลาย
บนพื้นเต็มไปด้วยผมยาวอันนุ่มสลวย ซูอี้ในกระจกเม้มปากและยิ้มให้ตัวเอง รอยยิ้มนั้นไร้ซึ่งความอบอุ่น ดูเย็นเยียบอย่างไม่มีสาเหตุ
เธอหยิบวิกผมออกมาจากลิ้นชักและสวมใส่มันอย่างระมัดระวัง
บนถนนที่มีต้นไม้เรียงราย แสงจันทร์ส่องสว่างทั่วทั้งถนนชิงสืซือ หญิงสาวร่างบางที่สวมเสื้อกันหนาวเดินอยู่บนถนนอันเงียบสงบนี้ เงาร่างอันสูงโปร่งบดบังแสงจากไฟข้างทางเอาไว้ ทำให้รู้สึกเหมือนความสว่างราวกับไม่สามารถหนีไปไหนได้ให้ความรู้สึกเหมือนแสงไฟนั้นไม่อาจหลบหลีกตัวเธอไปได้
ท่ามกลางเสียงสะท้อนดังก้องยงอันชัดเจน เงาร่างบอบที่ดูบางและสูงระหงของเธอเดินออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดของถนน เธอก็เลี้ยวเข้าไปบริเวณมุมและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากเจอซูอี้จนถึงตอนนี้ก็ได้ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว อีกยี่สิบสองวันจะถึงวันตายของอู่ชุนเหอตามกำหนดใน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’
วันที่เจอซูอี้และหลังจากได้รับจดหมายแจ้งวันตายอีกครั้ง เฉินซวินหรานไปพบหัวหน้า ต้องการหมายคำสั่งให้สะกดรอยตามซูอี้แต่กลับถูกปฏิเสธ
เธอวิเคราะห์มาหลายวัน จึงได้ตัดสินใจว่าจะดำเนินการก่อนแล้วอย่างเด็ดขาดแล้วค่อยรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จึงหาคนไปสะกดรอยตามซูอี้ก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากัน
ตามมาสองวันก็ยังคงไม่ได้เบาะแสอะไร
ชีวิตของผู้หญิงคนนี้เรียบง่ายมาก เวลาส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่บ้าน จากการที่แอบติดตามโทรศัพท์มือถือของเธอพบว่าส่วนใหญ่เธอมักจะคุยกับคนในบริษัทและจัดการเรื่องงานจากระยะผ่านทางไกล
นานๆ ทีจะออกจากบ้าน แต่เพียงแค่ไปซูเปอร์มาร์เก็ตหรืออ่านหนังสือในห้องสมุดเท่านั้น บางครั้งก็ไปนั่งในร้านกาแฟ ไม่ได้มดูีความน่าสงสัยอะไร
เฉินซวินหรานฟังรายงานมาสองวัน ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ และในขณะนั้นเองคดีใหญ่ที่สะท้านไปทั้งวั่งจินก็ได้เกิดขึ้นแล้ว!
ณ วั่งจิน ในโรงแรมแบบมีหน้าต่างแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งถูกฆ่าปบาดคอตายอยู่ในอ่างอาบน้ำ!
ตอนที่เฉินซวินหรานไปถึงที่เกิดเหตุ สถานที่เกิดเหตุก็ถูกทำลายไปก่อนแล้วได้ถูกทำลายแล้ว
ทางตำรวจได้เอาเชือกเทปมากั้น ห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป แต่ก็ดูออกแล้วว่า ก่อนหน้านี้มีคนเข้ามาเหยียบในนี้แล้ว
ผู้ดูแลโรงแรมใบหน้าขาวซีด ท่าทางดูทั้งหวาดกลัวทั้งทั้งคับแค้นใจโกรธเกลียด
“แขกคนนี้มาเข้าพักเมื่อสามวันก่อน” สมุดบันทึกถูกเอาออกมาแล้ว โรงแรมนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก เป็นของเอกชน สิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ ภายในโรงแรมแห่งนี้มีห้องพักไม่ถึงสามสิบห้องด้วยซ้ำ
นอกจากประตูทางเข้าและเคาน์เตอร์ด้านหน้าที่มีกล้องวงจรแล้ว กล้องวงจรปิดที่เจ้าของโรงแรมติดตั้งตามทางเดินและหน้าลิฟต์ถ้าไม่ใช่ของปลอมก็เสีย
ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการไขคดี เฉินซวินหรานสีหน้าหน้านิ่งขรึมเหมือนน้ำ พลางเปิดดูสมุดบันทึกพลางฟังเจ้าของโรงแรมพูดถึงตอนพบศพ
“หลังจากเข้ามาพัก เขาก็ได้จ่ายค่าเช่าไปห้าวันและสั่งไม่ให้ใครรบกวนเขา”
พรมราคาถูกที่ปูอยู่บนพื้นถูกน้ำท่วมไปแล้ว จากสีหน้าที่ไม่สู้ดีของตำรวจที่อยู่รอบข้าง คงจะสามารถจินตนาการได้ว่าในห้องได้เต็มไปด้วยกินคาวเลือด กลิ่นคาวที่ชวนคลื่นไส้
กล้องถูกหมุนไปรอบๆ ห้องอาบน้ำ มือข้างหนึ่งที่แช่จนขาวซีดวางอยู่บนขอบอ่างอาบน้ำ ชายคนหนึ่งใบเงยหน้าแหงนเงยขึ้น อยู่ลำคอถูกปาดจนขาด เลือดที่ไหลออกจากแผลใหญ่นั่น ถูกน้ำชำระล้างจนสะอาดไปหมดแล้ว รูปร่างดูคล้ายรอยยิ้มตรงมุมปากของปีศาจอย่างนั้น
“ที่โรงแรมของเรามีแขกแบบนี้เยอะมาก แขกไม่ได้ขอให้เข้าไปทำความสะอาด เราเองก็จะเข้าไปรบกวนไม่ได้”
ตอนที่เจ้าของโรงแรมพูดคำนี้ได้หลบสายตา เป็นเพราะการบริการที่ย่ำแย่ จึงทำให้ไม่รู้ว่าแขกถูกฆ่าในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่
แขกที่เข้าออกโรงแรมนี้ล้วนเป็นพวกที่ชอบของถูก ทุกคนต่างใช้ชีวิตของใครของมัน ไม่รู้จักกัน ไม่สนใจว่าคนที่อยู่ห้องข้างๆ เป็นชายหรือหญิงหน้าตาเป็นอย่างไรยังไง
จนกระทั่งเช้าวันนี้ น้ำในอ่างอาบน้ำท่วมออกมา หลังจากเต็มห้องก็ไหลออกจากประตู คนที่เดินผ่านหน้าห้องจึงเห็นและเรียกพนักงานในโรงแรมมาดู หลังจากเปิดประตูจึงพบว่ามีคนตายอยู่ข้างใน
ทันทีที่ข่าวคนตายในโรงแรมถูกเผยแพร่ออกไป คนที่พักอยู่ที่นี่ก็แห่กันเข้ามาเหยียบพื้นห้องจนไม่เหลือสภาพ เรื่องใหญ่แบบนี้สะเทือนไปทั้งวงการหนังสือพิมพ์และนิตยสารจะปิดอย่างไรยังไงก็ปิดไม่มิด
สถานที่เกิดเหตุถูกน้ำชำระล้าง รวมทั้งทุกคนเข้าไปเหยียบหลักฐานมากมายต่างถูกทำลาย จนเสียหาย เฉินซวินหรานควบคุมความโกรธเอาไว้ ให้คนเก็บพรมปูพื้น หลังจากตรวจค้นภายในห้องจนละเอียดแล้วจึงนำศพออกไป
เจ้าของโรงแรมยังคงนั่งเสียใจอยู่
“ถ้ารู้อย่างนี้จะไม่ทำธุรกิจนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้มีคนตายในโรงแรมฉันจะทำอย่างไรยังไงดี”
“ปิดโรงแรมและรอผลการตรวจสอบ!”
เฉินซวินหรานพูดทิ้งท้ายเอาไว้และเอาสมุดบันทึกของโรงแรมกลับไปด้วย
เกิดคดีฆาตกรรมแบบนี้ ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงเป็นอย่างมาก เรื่องของอู่ชุนเหอจึงต้องพักไว้ก่อน เพราะอย่างไรยังไงก็ตาม แม้ทางตำรวจจะได้รับจดหมายขู่ แต่หลังจากตามสืบแล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้า เมื่อเทียบกับคดีที่กำลังเป็นที่สนใจแล้ว เบื้องบนขอให้เฉินซวินหรานวางมือจากคดีของอู่ชุนเหอก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ผู้ตายในครั้งนี้ถูกปาดคอตอนแช่น้ำ ก่อนตายผู้ตายไม่ได้ตอบโต้ขัดขืนมากมายนัก ทำให้ทางตำรวจสงสัยว่าคนร้ายมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ชายมากกว่า
หลังจากลงมือฆาตกรรมคนร้ายได้เปิดน้ำในโรงแรมเอาไว้เบาๆ ในทุกๆ วันทุกห้องในโรงแรมนี้จะได้รับน้ำร้อนในปริมาณที่จำกัด หลังจากน้ำร้อนหมดแล้วก็จะกลายเป็นน้ำเย็น ท่ามกลางการเข้ามาแทนที่ระหว่างน้ำร้อนกับน้ำเย็นจะเกิดผลกระทบต่อการคาดการณ์เวลาตายจากสภาพศพ
แต่ว่าจากพรมที่แช่อยู่ในน้ำและจากเวลาที่ผู้ตายเข้าไปพักในโรงแรม สามารถคาดการณ์ได้ว่าเวลาตาเสียชีวิตยของเขาน่าอาจจะอยู่ในช่วงกลางคืนของสามวันก่อนถึงเมื่อวาน
สถานการณ์แบบนี้ทำให้เฉินซวินหรานปวดหัวไม่น้อย คู่แข่งของเธอในครั้งนี้เป็นฆาตกรที่อำมหิตและรอบคอบ
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่และทางตำรวจก็ได้รับแรงกดดัน เบื้องบนขอให้เฉินซวินหรานรีบไขคดีให้ไวที่สุด เธอถือบันทึกของโรงแรมเอาไว้พลิกหารายชื่อผู้ที่เข้าพักโรงแรมในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่นานก็เจอชื่อของผู้ตาย
สิ่งที่ทำให้ตื่นตระหนกมากที่สุด ไม่ใช่เพราะรู้ว่าผู้ตายเป็นใคร แต่จากลายมือเซ็นชื่อ ‘หลี่หนานเฟิง’ ลายมือนี้มันเหมือนกับลายมือใน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ของอู่ชุนเหอที่ทางตำรวจได้รับเป็นอย่างมาก
เธอส่งลายมือชื่อของ ‘หลี่หนานเฟิง’ ไปตรวจสอบทันที ไม่นานก็ได้รับการยืนยันว่า ‘หลี่หนานเฟิง’ เป็นคนเขียน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ จริง คดีดำเนินมาถึงตอนนี้กลับเจอทางออกด้วยวิธีแบบนี้
คนที่อยากได้ชีวิตของอู่ชุนเหอตายในโรงแรมแบบนี้ เป็นอุบัติเหตุหรือความบังเอิญกันแน่
คดีซ้อนในคดีนี้ทำให้เฉินซวินหรานที่อยู่ในจอรู้สึกถึงความยากลำบาก ไม่เพียงแค่เธอ แม้กระทั่งผู้ชมที่อยู่นอกจอล้วนรู้สึกว่า เหมือนมีมือข้างหนึ่งคอยควบคุมเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้ทางตำรวจสับสนวุ่นวาย
หนังดำเนินมาถึงตอนนี้ก็เริ่มมาได้ถึงจุดสูงสุดของเรื่องแล้ว ซูเพ่ยเอินรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว กลัวเพียงว่าจะพลาดจุดใดจุดหนึ่งไป
ฮั่วจือหมิงไม่ได้ถ่ายทำฉากที่คนร้ายฆ่าคน แต่ซูเพ่ยเอินและผู้ชมทุกคนที่อยู่ในโรงหนังต่างคิดถึงฉากตัดผมและออกจากบ้านของซูอี้ ภาพที่ทับซ้อนกันเพียงเล็กน้อยแบบนี้ ทำให้คนคิดเชื่อมโยงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ซูอี้เป็นคนฆ่า!
เชื่อมต่อเรื่องราวสองเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันและใช้วิธีการถ่ายทำอันสุดยอดที่ให้คนได้มีพื้นที่จินตนาการ รวมทั้งการที่เฉินซวินหรานพิสูจน์ลายมือของ ‘หลี่หนานเฟิง’ ในตอนนี้ เมื่อเชื่อมคดีทั้งสองเข้ากัน ทำให้ซูอี้ที่ควรจะไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้มีความน่าสงสัยขึ้นมาและได้จุดประกายชื่อของหนังเรื่องนี้
“ผู้ต้องสงสัย ‘Suspect’!”
ซูเพ่ยเอินพึมพำเบาๆ จนถึงตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของฮั่วจือหมิงบ้างแล้ว
ฐานะของ ‘หลี่หนานเฟิง’ ถูกสืบออกมาอย่างรวดเร็ว ชื่อเดิมของเขาคือ ‘หลี่หนานเฟิเฝิง’ เป็นคนวั่งจิน แต่งงานแล้ว มีลูกสองคน ทะเบียนบ้านของเขาเคยถูกย้ายเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาและที่อยู่ในตอนแรกของเขาก็คือถนนฉชางเหิง ชิงสุ่ชุ่ย เมืองวั่งจิน
ที่นั่นเคยเป็นบ้านเกิดในทะเบียนของซูอี้และเป็นที่อยู่ตามทะเบียนเดิมของอู่ชุนเหอด้วยเช่นกัน
จากข้อมูลเกี่ยวหลี่หนานเฟิงของที่สืบมาได้ เขาอาจจะรู้จักอู่ชุนเหอมาอตั้งนานแล้ว หลังจากที่อู่ชุนเหอลาออกไปทำธุรกิจ ทั้งสองก็เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อนและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตอนที่ก่อตั้งบริษัทเขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
การตายของพ่อซูอี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทวงหนี้ของเขา
“หลังจากถนนฉชางเหิงถูกรื้อถอน บ้านเดิมของตระกูลซูถูกเปลี่ยนเป็นชื่อของหลี่หนานเฟิง” หลี่หนานเฟิงเองก็ได้เงินมาจากการรื้อถอนก้อนหนึ่ง จนได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
นั่นก็หมายความว่า ‘หนี้’ ในตอนนี้มีเพียงตระกูลซู เท่านั้นที่เสียเปรียบ แม้กระทั่งอู่ชุนเหอที่ร่วมลงทุนซื้อขายกับหลี่หนานเฟิงยังได้กำไร
ความจริงในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าคนที่ไม่ปิดหูปิดตาดูก็รู้ว่ามีคนจงใจขุดหลุมพรางเพื่อหลอกคนในตระกูลซู
สืบมาจนถึงตอนนี้ หลังจากคดีพลิกไปพลิกมา ในที่สุดก็ได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์บ้างแล้ว
เชื่อมทั้งสองคดีนี้เข้าด้วยกัน ทุกคนที่ได้รับผลกระทบก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซู
และซูอี้ก็กลับวั่งจินตอนนี้พอดี เฉินซวินหรานนึกถึงครั้งก่อนตอนพบกับซูอี้ เธอเคยพูดว่า “มีคนโยนกระดูกชิ้นหนึ่งเข้ามา ขอทานที่หิวจนตาลาย ยื่นมือออกไปอยากหยิบขึ้นมา แต่ไม่คิดว่าไม่เพียงแค่ไม่ได้กระดูก แต่มือที่ยื่นออกไปก็ถูกคนตัดขาด”
ตอนนั้นเธอพูดดอย่างแฝงรอยยิ้มๆ พอมาคิดดูดีๆ ตอนพูดท่าทางของเธอดูเย็นเยียบ นัยน์ตาดูโหดเหี้ยมและซ่อนความอำมหิตเอาไว้
ความหมายที่เธอต้องการจะสื่อในคำพูดนี้ คือเธอมั่นใจว่าพ่อของตนเองตัวเองถูกหลอก!
เฉินซวินหรานคิดถึงตรงนี้ยิ่งมั่นใจว่าซูอี้ทำอะไรลงไปบ้าง
เธอเรียกตำรวจที่ไปสะกดรอยตามซูอี้ ถามว่าวันที่หลี่หนานเฟิงตาย ซูอี้ทำอะไร
วันที่หลี่หนานเฟิงเข้าพักในโรงแรมผายเฟิง ตำรวจยังไม่ได้สะกดรอยตามซูอี้และเริ่มสะกดรอยตามเธอวันที่สอง แต่หลังจากวันที่สองการกระทำของเธอก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย
“ได้ไปใกล้ๆ บริเวณโรงแรมผายเฟิงแบบมีหน้าต่างหรือเปล่า?ไม่”
“ไปครับ!” นายตำรวจตอบอย่างมั่นใจ “ไปนั่งในร้านกาแฟที่อยู่บริเวณนั้นครับ แต่ไม่ได้เข้าใกล้โรงแรมเลย”
เฉินซวินหรานหน้าเสียทันที คดีนี้ เวลาเสียชีวิตสายของหลี่หนานเฟิงไม่สามารถยืนยันได้ ทำได้เพียงคาดเดาว่าน่าจะเป็นในระหว่างวันที่เข้าพักจนถึงวันที่สอง นั่นก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะตายตั้งแต่คืนวันที่เข้าพักหรือและอาจจะตายในวันที่สอง
คืนที่เขาเข้าพักในโรงแรมทางตำรวจไม่ได้สะกดรอยตามซูอี้ วันที่สองที่สะกดรอยตามเธอก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ก็พูดได้ว่าสำหรับเรื่องการตายของหลี่หนานเฟิง มีหลักฐานเพียงครึ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าเธอไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ
ไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ นั่นก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่เขาจะตายคืนที่เข้าพัก ตอนนั้นซูอี้ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของทางตำรวจ เมื่อเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว เธอก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย!
เฉินซวินหรานตัดสินใจจะชันสูตรศพของหลี่หนานเฟิงอีกครั้ง รูปร่างของซูอี้สูงยาเพรียววผอมบางบอบบาง การจะฆ่าผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งโดยที่เขาไม่สามารถดิ้นรนได้เลย เธอจะต้องทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ชายคนนี้ไม่สามารถตอบโต้ได้
ในขณะเดียวกัน เธอก็ให้คนไปรวบรวมบันทึกสายเข้าออกในโทรศัพท์ของหลี่หนานเฟิงย้อนหลังครึ่งปี หลักฐานยืนยันว่าระหว่างนั้นเขาติดต่อกับซูอี้จริง ดูจากเวลาน่าจะก่อนส่ง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ของอู่ชุนเหอ
ยิ่งเป็นการยืนยันการคาดเดาของเฉินซวินหราน
ซูอี้และหลี่หนานเฟิงเคยติดต่อกัน สำหรับเรื่องที่ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ของอู่ชุนเหอมาจากหลี่หนานเฟิงที่ตายในโรงแรม ถ้าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับซูอี้งั้นก็คง้ก็เหมือนอย่างที่เธอบอกว่า คนในครอบครัวของเธอรักใคร่กลมเกลียวกัน เธอเลยจะแก้แค้นแทนพ่อแม่ ถ้าหลี่หนานเฟิงเองก็ถูกเธอฆ่าล่ะก็ แต่การที่เธอจะฆ่าอู่ชุนเหอก็ไม่ควรจะยืมมือของหลี่หนานเฟิงสิ หลังจากอู่ชุนเหอตายค่อยฆ่าหลี่หนานเฟิงไม่ดีกว่าไม่ใช่เหรอ?
เหตุใดทำไมเธอจึงต้องทำให้เรื่องราวยุ่งยาก ใช้ลายมือของหลี่หนานเฟิงเขียน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ให้เบาะแสการตายของอู่ชุนเหอกับตำรวจก่อน แล้วค่อยจึงฆ่าหลี่หนานเฟิงจนทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วยนะ
ทำแบบนี้ เธอจะได้รับประโยชน์อะไร ทางตำรวจจะยิ่งติดตามอู่ชุนเหอ จากนั้นเขาก็จะตกอยู่ท่ามกลางการคุ้มกันที่หนาแน่นกว่าเดิม ซึ่งตรงกันข้ามกับแผนการ ‘สังหารฆ่า’ ของเธอ
เฉินซวินหรานขมวดคิ้วแน่น นึกถึงคำพูดที่เธอโน้มตัวเข้ามาพูดข้างหูตัวเอง “ทางตำรวจเห็นใจเรื่องนี้แต่ไม่สามารถช่วยได้ ไร้ความสามารถนัก!” ก็ขนลุกขึ้นมาทันที ลมหายใจที่รดข้างหูในตอนนั้นเย็นเยียบมากเป็นพิเศษ ทำให้เธอถึงกับยกมือขึ้นจับหลังคอและใบหูของตนเองตัวเอง