webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

662

บทที่ 662 ผู้ต้องสงสัย

เฉินซวินหรานพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ พูดจบ ถึงรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองมีอะไรผิดปกติ

ปกติเธอไม่ได้เป็นคนอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้โกรธง่ายขนาดนี้ ตำรวจที่แอบเหลือบมองการสนทนาของทั้งสองด้วยหางตาต่างแปลกใจกับท่าทางของเฉินซวินหรานที่ดูผิดปกติไปจากเดิม

ในสายตาคู่นั้นของซูอี้ ดูเจ้าเล่ห์และเยาะเย้ย ราวกับกำลังกลั่นแกล้งเหยื่อตัวหนึ่งและจงใจทำให้เธอโกรธ

ความคิดแบบนี้ ทำให้ความโกรธที่เฉินซวินหรานสามารถควบคุมไว้ได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง คนๆ นี้จองหองเกินไปแล้ว

เป็นตำรวจมาหลายปี เฉินซวินหรานเคยสัมผัสกับคนร้ายมาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะโหดร้ายมากเพียงใด เจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกมากแค่ไหน รูปลักษณ์ภายนอกจะโหดเหี้ยมมากเพียงใดหรือจะเป็นคนร้ายที่ปกปิดความอำมหิตด้วยท่าทางอันใสซื่อบริสุทธิ์มากอย่างไร ก็ยากที่จะเหมือนซูอี้ที่มีปฏิกิริยาแบบนี้

เธอไม่ได้มีท่าทีที่จะปกปิดความเสียดสีที่แฝงอยู่ในดวงตาอันใสดั่งกระจกของเธอ ทำให้เฉินซวินหรานรู้สึกว่าตัวเองรู้สาเหตุที่เธอเรียกมาสอบปากคำเป็นอย่างดี แต่จงใจแกล้งเธอ

ความรู้สึกแบบนี้ ต่างจากภาพที่เฉินซวินหรานเห็นเธอครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง

“คุณกลับมาทำอะไรที่วั่งจิน”

เฉินซวินหรานสามารถสัมผัสได้ แต่ก็รีบเก็บความรู้สึกและถามด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม

สีหน้าของเธอดูไม่ดี พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำให้ความรู้สึกเหมือนการสอบสวนมาบ้างแล้ว

คนปกติถ้าอุตส่าห์มาให้ความร่วมมือกับการทำงานของทางตำรวจแล้วถูกถามแบบนี้ อาจจะโกรธไม่น้อย

แต่ซูอี้กลับยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งยังพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ไหว้บรรพบุรุษ”

เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เธอลากับทางบริษัท ถือว่าตรงกับข้อมูลที่ทางตำรวจสืบมา

ท่าทางอันเคร่งขรึมของเฉินซวินหรานผ่อนคลายลงทันที วินาทีต่อมาก็พูดว่า

“ฉันว่าพวกคุณคงสืบมาแล้ว”

คำพูดนี้ทำให้ท่าทางของเฉินซวินหรานกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง!

บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอสงสัยในตัวของซูอี้ เธอเลยมักจะรู้สึกว่าคำพูดของผู้หญิงคนนี้เหมือนมีอะไรแอบแฝง ราวกับกำลังแอบให้เบาะแสอะไรบางอย่างกับเธอ ทำให้เธออยากสืบต่อไป

ความรู้สึกแบบนี้เหมือนทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของซูอี้ ตัวเองถูกเธอจูงจมูก เห็นได้ชัดว่าขณะนี้ตนกำลังถูกควบคุม

“ทำไมถึงกลับมาตอนนี้ล่ะค่ะ”

เฉินซวินหรานถามต่อ น้ำเสียงของซูอี้พลันขึ้นอ่อนโยน

“ใกล้ถึงวันครบรอบวันตายของพ่อแล้วน่ะค่ะ”

“แล้วคุณจะอยู่ที่วั่งจินนานเท่าไหร่”

น้ำเสียงของเธอถือว่าดีมากแล้ว แต่เฉินซวินหรานยังคงไม่ผ่อนคลายลง คนรอบข้างถึงกับทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว มีคนลุกขึ้นมองซูอี้แวบหนึ่ง และเตือนเฉินซวินหรานเบาๆ ว่า

“หัวหน้าเฉิน...”

“จะกลับเมื่อไหร่”

เฉินซวินหรานไม่สนใจคำเตือนของลูกน้อง ยังคงค่อยๆ ถาม ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบีบบังคับ

ท่าทางของเธอดูแข็งกระด้างมากเกินไป แสดงให้เห็นถึงการบีบคั้นและน่าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่รู้สิคะ” ซูอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนและตอบอย่างมีมารยาท

“อาจจะสิบกว่าวันหรืออาจจะสักยี่สิบแปดยี่สิบเก้าวัน”

เธอพูดจบ เฉินซวินหรานก็พลันรู้สึกใจสั่น ช่วงนี้เธอหวั่นไหวกับตัวเลข เรื่อง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ของอู่ชุนเหอทำให้เธอเครียด จากวันที่บนจดหมายเหล่านั้น ใน ‘หนังสือแจ้งวันตาย’ อีกยี่สิบเก้าวันจะถึงวันตายของอู่ชุนเหอพอดี

ซูอี้บอกว่า ‘อาจจะสิบวันหรืออาจจะยี่สิบแปดยี่สิบเก้าวัน’ เธอพูดโดยไม่ได้คิดอะไร เป็นเพียงแค่ความบังเอิญ...

หรือบางทีเธออาจจะตั้งใจพูด จงใจให้เบาะแส

เฉินซวินหรานดูเหม่อลอยเล็กน้อย ซูอี้จึงเตือนว่า

“คุณตำรวจเฉิน ฉันไปได้หรือยังคะ”

ก่อนจะเจอซูอี้ คดีนี้ นอกจากจดหมายเหล่านี้ก็ไม่มีเรื่องอื่นที่เชื่อมโยงไปได้เลย สิ่งที่เฉินซวินหรานใช้อ้างอิงมีเพียงสัญชาตญาณของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้มีเบาะแสอื่นใดเลย

หลังจากเจอซูอี้ ก็ถือว่าได้เบาะแสไม่น้อย แต่เบาะแสเหล่านี้คลุมเครือและเกิดความสับสนอยู่ในหัวเธอ ยังไม่สามารถวิเคราะห์อะไรได้

เฉินซวินหรานอึดอัดแล้วยังมาได้ยินเธอบอกว่าจะไป ใบหน้าจึงเคร่งขรึมขึ้นมา

“ยังไม่ได้ ต้องเซ็นชื่อก่อน!”

เธอพูดจบก็ตะโกนโดยไม่มองหน้าซูอี้

“เสี่ยวจง!”

ตำรวจหนุ่มถือหนังสือเข้ามาเล่มหนึ่ง แล้ววางลงตรงหน้าของซูอี้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉินซวินหราน สายตาเผยความเข้าใจ

ในขณะที่เฉินซวินหรานคิดว่าเธอจะไม่เซ็น เธอก็เผยรอยยิ้ม หยิบปากกาขึ้นมา เขียนชื่อของตัวเองลงในหนังสือด้วยตัวบรรจงว่า ‘ซูอี้’

สามารถดูออกว่าเธอเซ็นชื่อบ่อย ตอนเขียนเก็บปลายปากกาได้สวยมากและถือปากกาด้วยท่าทางที่ถนัดอีกด้วย

ตัวหนังสือของเธอไม่ถือว่าสวย แต่กลับดูมีน้ำหนัก มีการหักมุมให้ดูสวย ทิศทางของแต่ละขีดแฝงความเฉียบแหลม ไม่เหมือนลายมือใน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ เลยแม้แต่น้อย

หลังจากเซ็นชื่อเสร็จ เฉินซวินหรานถึงขั้นขี้เกียจจะพูด เพียงโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้เธอไปได้แล้ว

มีคนอาสาเดินไปส่งเธอ เฉินซวินหรานนวดขมับ การเจอซูอี้วันนี้ไม่ได้เป็นเรื่องดีมากนัก เธอรู้สึกว่าตัวเองทุ่มแรงไปเต็มที่ ปล่อยหมัดออกไปเพื่อโจมตี แต่หมัดนั้นกลับเหมือนกระทบเข้ากับสำลีอย่างนั้น ทำให้เธอรู้สึกแย่มาก

“ให้คนเอาลายมือของเธอไปเปรียบเทียบและตรวจสอบลายมือตอนเรียนและตอนทำงานของเธอ ว่าเหมือนลายเซ็นนี้ไหม”

ตอนแรก คนรอบข้างเธอคิดว่าการที่เฉินซวินหรานเจอซูอี้ในวันนี้ อาจจะทำให้ความสงสัยลดน้อยลง ผู้หญิงคนนั้นทั้งสวย บุคลิกก็โดดเด่น ยากที่จะเชื่อมโยงเธอกับคนร้ายอำมหิตเข้าด้วยกันได้

“หัวหน้าเฉิน คุณสงสัยเธอเหรอครับ?”

ใบหน้าของเสี่ยวจงที่เอาหนังสือเซ็นชื่อมาให้เต็มไปด้วยคำถาม คนอื่นๆ ในสำนักงานต่างรุมกันเข้ามา และแสดงความคิดเห็นของตัวเอง เฉินซวินหรานเงียบ สายตาหยุดอยู่ที่แก้วน้ำที่ไม่มีควันลอยออกมาอีกแล้ว ตอนที่ซูอี้มา มีคนเทน้ำแก้วนี้ให้เธอ

การบริการแบบนี้ น้อยมากที่จะเกิดขึ้นในสถานีตำรวจวั่งจิน

“นั่นของเธอใช่ไหม”

เสี่ยวจงพยักหน้า เฉินซวินหรานหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากันมือเอาไว้แล้วหยิบแก้วกระดาษขึ้นมา น้ำยังคงอุ่นอยู่เล็กน้อย ปากแก้วสะอาดสะอ้าน ขอบแก้วขาวดั่งหิมะไม่มีรอยลิปสติก คราบน้ำหลงเหลืออยู่ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้แตะต้องน้ำแก้วนี้

“เธอได้สัมผัสหรือเปล่า?”

“เหมือนจะไม่นะครับ”

ทุกคนต่างจับจ้องซูอี้ หลังจากเทน้ำแก้วนี้มาให้ นอกจากคำว่าขอบคุณแล้ว เธอไม่ได้แตะต้องมันเลย

เฉินซวินหรานหัวเราะอย่างเย็นเยียบออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ พับผ้าเช็ดหน้าแล้วเก็บในกระเป๋ากางเกง

“เธอน่าสงสัย!”

คำพูดนี้ของเฉินซวินหรานทำให้แตกตื่นกันขึ้นมาทั้งสำนักงาน และทำให้เลือดของผู้ชมที่อยู่นอกจอสูบฉีดอย่างรวดเร็ว เฝ้ามองหญิงสาวทั้งสองที่เป็นดั่ง ‘ราชินี’ ประชันฝีมือกันในหนัง

ซูเพ่ยเอินไม่เคยรู้สึกว่า หนังสืบสวนเรื่องหนึ่งจะทำให้ตัวเองตื่นเต้นจนหยุดดูไม่ได้

ฮั่วจือหมิงใช้การต่อบทของเถาเฉินกับเจียงเซ่อ ในระหว่างที่ปล่อยหมัดใส่กันในการให้เบาะแสกับผู้ชมจนเพียงพอแล้ว

การประชันกันของทั้งสองในฉากนี้ ซูเพ่ยเอินเข้าถึงเป็นอย่างมาก ความตรงไปตรงมา ปะทะกันอย่างจริงจัง ใช้วิธีการที่สุดยอด ดูแล้วสะใจมาก

ซูเพ่ยเอินดูออกว่า ในฉากนี้ ทั้งสองต่างถูกจำกัดแต่ก็ทำทุกอย่างเพื่อบท

ความแข็งแกร่งของเฉินซวินหราน ความบ้าบิ่นของซูอี้ ตอนที่เห็นฉากนี้เขารู้สึกเข้าถึงเป็นอย่างมาก

“เธอน่าสงสัย!” เฉินซวินหรานวิเคราะห์

“อย่างแรกตระกูลซูกับอู่ชุนเหอมีความแค้นต่อกัน เธอยอมรับเองว่า ครอบครัวของเธอรักใคร่กลมเกลียว เพราะฉะนั้นหลังจากที่คนในครอบครัวของเธอตายเพราะอู่ชุนเหอ ก็มีความเป็นไปได้ว่าเธอจะอยากแก้แค้น”

หลังจากมั่นใจว่ามีแรงจูงใจจึงมีคนสงสัยขึ้นมา

“แต่หัวหน้าเฉิน ซูอี้ไม่ได้ดูเป็นคนโง่ แม้ว่าเธออาจจะมีแรงจูงใจและยอมรับเอง แต่จะจงใจพูดว่าครอบครัวของตัวเองรักใคร่กันเพื่ออะไรล่ะครับ ทำแบบนี้ก็เหมือนเป็นการยัดจุดอ่อนใส่มือคุณไม่ใช่รึไงกัน?”

นี่เป็นอีกเรื่องที่เฉินซวินหรานสงสัย เธอยังไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่กลับไปพูดถึงอีกเรื่อง

“ฉันเห็นว่า เธอแต่งตัวดีมาก แต่งตัวทันสมัย แต่งหน้าอย่างประณีต แม้กระทั่งเล็บยังถูกดูแลมาเป็นอย่างดี”

จากภายนอก ซูอี้ดูแลตัวเองดีมาก ทุกคนต่างเห็นจึงพยักหน้า เฉินซวินหรานพูดต่อว่า

“แต่พวกนายสังเกตไหม ว่าสวยไม่สมบูรณ์ เธอไม่ได้ฉีดน้ำหอม”

นี่คือสิ่งที่เฉินซวินหรานรู้สึกแปลกใจมากที่สุด แม้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะสมบูรณ์แบบ แต่คนอย่างซูอี้ ประณีตตั้งแต่หัวจรวดเท้า จะลืมฉีดน้ำหอมทั้งที่แต่งหน้าเสร็จแล้วได้อย่างไร

สำหรับหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง น้ำหอมก็เหมือนผิว ‘ชั้นที่สอง’ ของเธอ สามารถเพิ่มเสน่ห์ให้เธอได้ไม่น้อย เหตุผลที่เธอไม่ฉีดเป็นเรื่องที่น่าคิดมาก

“บางทีเธออาจจะแพ้น้ำหอมก็ได้นะครับ”

มีคนพูดขึ้น ใบหน้าของเฉินซวินหรานไร้ซึ่งความรู้สึกและพยักหน้า

“เป็นไปได้” เธอพูดต่อ

“แต่ก็เป็นไปได้ว่า ทำเพื่อไม่ให้ ‘กลิ่น’ ของตัวเองถูกจับได้”

ความระมัดระวังแบบนี้ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“น้ำที่เสี่ยวหยางเทให้เธอ ซูอี้ไม่แตะต้องเลยและไม่ได้ดื่ม ฉันดูในกล้องวงจรปิดแล้ว ตั้งแต่ซูอี้เข้ามาในสถานีจนออกไป ตั้งแต่ต้นจนจบปลายนิ้วของเธอไม่ได้สัมผัสกับอะไรเลย”

โชคดีที่หลังจากเธอเซ็นชื่อเสร็จ ปากกาได้ส่งไปพิสูจน์ลายนิ้วมือแล้ว แต่ตอนนี้ผลยังไม่ออกมา

“ฉันถามเธอว่าจะออกจากวั่งจินเมื่อไหร่ เธอบอกว่าสิบวันหรืออาจจะยี่สิบแปดยี่สิบเก้าวัน นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมากที่สุด” เฉินซวินหรานพูดสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ออกมา ก่อนจะพูดว่า

“หาคนไปสะกดรอยตามเธอ”

เฉินซวินหรานออกคำสั่ง พอเธอพูดแบบนี้ เพื่อนร่วมงานต่างก็ดูหนักใจ “หัวหน้าเฉิน แบบนี้ไม่ดีมั้ง”

สำหรับเรื่องจดหมายแจ้งวันตายของ ‘อู่ชุนเหอ’ คดีต้องถูกกำหนดขึ้นมาก่อน ทางตำรวจจึงจะสามารถลงมือได้ จากหลักฐานที่มีตอนนี้ ไม่สามารถส่งคนไปสะกดรอยตามเธอได้

อีกอย่างทุกคนยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจดหมายแจ้งเหล่านี้เป็นการกลั่นแกล้งหรือเป็นเรื่องจริง ถ้าทำอะไรโดยพลการ แล้วถูกซูอี้จับได้ อาจจะเกิดการร้องเรียนขึ้นได้

แม้จะฟังดูไม่ดี แต่กฎหมายของประเทศ แม้จะได้รับ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ แต่คดียังไม่เกิดขึ้น จะถือว่ามันเป็นคดีใหญ่โตไปได้อย่างไร

ถ้าข่าวถูกเผยแพร่ออกไป อาจจะทำให้ประชาชนคิดว่าตำรวจใช้ภาษีของประชาชนอย่างสุรุ่ยสุร่าย

“ผลจากการพิสูจน์ลายมือออกมาแล้ว หลังจากผ่านการเปรียบเทียบ ลายมือของซูอี้ เหมือนกับตอนเธอเรียนมหาวิทยาลัยและตอนทำงาน ซึ่งต่างจากลายมือใน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ศาสตราจารย์เหยียนคิดว่า ลายมือใน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ดูไม่บรรจง เว้นช่องว่างน้อย ไม่ค่อยมีการยกปากกา จากสถานการณ์เหล่านี้สามารถตัดสินได้ว่า ผู้เขียนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง”

การรายงานของตำรวจ ทำให้การคาดเดาก่อนหน้านี้ของเฉินซวินหรานเกิดความสับสนขึ้นมาทันที

คำพูดจากผู้เชี่ยวชาญ แน่นอนว่าเฉินซวินหรานต้องยอมรับ

ในชั่วชีวิตลายมือของคนอาจจะเปลี่ยนแปลงได้หลายครั้ง อาจจะไม่เหมือนเดิม แต่นิสัยการเขียน การลงปากกา น้ำหนักที่ใช้จะไม่เปลี่ยน ในเมื่อทางผู้พิสูจน์ลายมือคิดว่าไม่ใช่ซูอี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เข้ากับการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเฉินซวินหราน

ถ้า ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ยังไม่ใช่ลายมือของเธอ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยเธอ

เฉินซวินหรานรู้สึกหมดหวังไม่น้อย จึงขมวดคิ้ว

“หัวหน้าเฉิน ยังต้องสะกดรอยตามเธอไหม”

ไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้นอีกต่อไป แค่อาศัยความจองหองของเธอ ก็ต้องจับตาดูเธอเหรอ? เฉินซวินหรานเลียเลียริมฝีปากแห้งผาก ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น ตำรวจในทีมเดินไปที่ประตู ตำรวจจากป้อมยืนอยู่ข้างนอก ใบหน้าดูตื่นตระหนก

“หัวหน้าเฉิน ได้รับ ’จดหมาย’ อีกแล้วครับ”

ช่วงนี้สถานีได้รับจดหมายแบบไหน ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ เฉินซวินหรานกำลังร้อนรนเพราะ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ ได้รับ ‘จดหมาย’ อีกฉบับ จึงสร้างความกดดันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จดหมายที่ส่งมามีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ จริงเสียด้วย ข้างบนเขียนว่า : อีกยี่สิบเก้าวันจะถึงวันตายของอู่ชุนเหอ

เฉินซวินหรานหลับตา พลันกำหมัดแน่น คนที่อยู่เบื้องหลังชักจะจองหองเกินไปแล้ว

คนในสถานีตำรวจคิดว่าตอนนี้เรื่องกลายเป็นเรื่องสับสนวุ่นวายไปเสียแล้ว เฉินซวินหรานคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ จึงสั่งคนไปสืบข้อมูลของคนที่อยู่รอบข้างอู่ชุนเหอ จะต้องสอบปากคำทุกคนที่มี ‘ความแค้น’ กับเขาโดยมีผู้ชายเป็นหลัก

เธอยังคงคิดถึงซูอี้ ยังยากที่จะเลิกสงสัยผู้หญิงคนนี้

ทางด้านของอู่ชุนเหอส่งข่าวมาว่ารู้ข่าวแล้วว่ามีคนต้องการชีวิตเขา จึงได้วางกำลังคุ้มกันหนาแน่นกว่าเดิมและไม่กลับไปนอนที่บ้านแล้ว

บ้านภายใต้ชื่อของเขามีเยอะมาก มีที่ซ่อนมากมาย และตัดสินใจไปพักบ้านหลังใดหลังหนึ่งชั่วคราว เพื่อไม่ให้คนร้ายมีโอกาสลงมือและยังไม่อยากบอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งกับญาติหรือเพื่อนที่สนิทกัน

ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายรู้ที่ซ่อนของเขาล่วงหน้าจนลงมือกับเขาได้

ตอนนี้ความตื่นเต้นของหนังเรื่องนี้ได้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปอยู่ในใจของทุกคน สีอันมืดมนยิ่งเป็นการส่งเสริมความรู้สึกแบบนี้เข้าไปอีก

เนื้อเรื่องดึงดูดให้ทุกคนคิดตาม ซูเพ่ยเอินยังหยุดคิดถึงฉากการปะทะกันระหว่างเจียงเซ่อกับเถาเฉินไม่ได้

หนังของฮั่วจือหมิงดำเนินมาถึงตรงนี้ ถือว่ามีความกระชับ สอดคล้องกันและดีกว่าหนังเรื่องที่ผ่านๆ มามาก

ความสุดยอดของการปะทะกันในฉากก่อนหน้านี้ เพียงพอที่จะเอาหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว แม้หลังจากนั้นจะไม่มีจุดเด่นแบบนี้แล้ว แต่ถ้ารักษาจังหวะแบบนี้เอาไว้ก็ยังสามารถส่งเสริมให้กลายเป็นหนังคุณภาพเรื่องหนึ่งได้เลย

ม่านแห่งราตรีกาลโรยตัวลงมา ตำรวจก็ยังคงไม่ได้เบาะแสอะไรเลยแม้แต่น้อย ฝั่งทางอู่ชุนเหอก็เริ่มทำตัวลึกลับมากขึ้นทุกที คนรวยก็มักจะกลัวตายแบบนี้แหละ เขาตัดสินใจว่าจะหลบซ่อนตัวจนผ่านเวลาที่กำหนดในจดหมายแจ้งวันตายไปให้ได้

มุมกล้องถูกเปลี่ยนและปรับสีอันมืดมนก่อนหน้านี้ ในห้องแสงไฟสว่างจ้า ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก เผยให้เห็นซูอี้ที่อยู่ในชุดอาบน้ำค่อยๆ เดินออกมาจากไอร้อน

ประตูห้องน้ำที่อยู่ข้างหลังเธอถูกเปิดไว้ ยังมีไอร้อนที่ยังไม่กระจายตัวลอยออกมา

ฉากนี้ทำให้ซูเพ่ยเอินขนลุก มีความรู้สึกรางๆ ว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

วินาทีนี้ เสียงในหนังถูกตัดออก เสียงเพลงกลบทับทุกสิ่ง ผู้ชมต่างพากันมองดูการกระทำของเธอผ่านเสียงเพลง