webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

661

บทที่ 661 สอบสวน

ครั้งนี้เฉินซวินหรานเรียกตัวผู้ต้องสงสัยในรายชื่อมาที่สถานีตำรวจทีละคนเพื่อสอบปากคำและซูอี้ก็เป็นคนสุดท้ายที่ถูกเรียกมา

ก่อนที่เธอจะมาถึง เฉินซวินหรานก็ได้รับ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ มานานแปดวันแล้ว นั่นก็หมายความว่า ตาม ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ อีกยี่สิบเก้าวันจะถึงวันตายของอู่ชุนเหอ

ขณะที่ได้รับรายงานจากลูกน้องว่าซูอี้กำลังมา เฉินซวินหรานก็กำลังวิเคราะห์จดหมายเหล่านั้น

ตำรวจที่เข้ามารายงานแก้มแดงเล็กน้อย เขาอายุยังน้อย เพิ่งจบจากโรงเรียนตำรวจได้ไม่นาน

เหนือริมฝีปาก มีไรเขียวบางๆ สายตาดูกระวนกระวาย ทำอะไรไม่ถูก

“เกิดอะไรขึ้น?”

เฉินซวินหรานขมวดคิ้วและต่อว่า

“ยืดตัวตรงก่อนค่อยพูด”

“หัวหน้า ซูอี้มาแล้วครับ”

ตำรวจนายนั้นพูดเบาๆ ตอนที่พูดถึงซูอี้เสียงดูเบามากเป็นพิเศษ เหมือนกลัวจะทำให้ใครตกใจ ท่าทางแบบนั้นเห็นได้ชัดว่ามีอะไรผิดปกติ

จากข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับบุคลิก นิสัยจากข้อมูลของซูอี้ รวมทั้งรูปในบัตรประจำตัวตอนเธอเรียนมหาวิทยาลัย เฉินซวินหรานพอจะรู้บ้างแล้วว่ารูปลักษณ์ของเธอเป็นอย่างไร

แต่หลังจากเจอตัวจริง เธอจึงรู้ว่าในโลกนี้มีคนประเภทหนึ่งที่กล้องถ่ายรูปก็ยังทำอะไรเธอไม่ได้

ความสวยของเธอ ไม่ใช่สิ่งที่คำสั้นๆ ที่ว่า ‘รูปลักษณ์งดงาม’ ในเอกสารสามารถบรรยายได้

ในทีมมีคนจำนวนมากหันไปมองเห็น ถึงขั้นที่ว่า แม้รู้ว่าเธอจะตกเป็น ‘ผู้ต้องสงสัย’ ก็ยังมีคนบริการเธอ เทน้ำแก้วหนึ่งมาวางบนโต๊ะที่อยู่ข้างเธอ

กลุ่มควันสีขาวกระจายออกจากแก้ว เธอก้มหน้า เธอสวมเสื้อกันหนาวที่ห่อหุ้มร่างอันผอมบางได้รูปเอาไว้ เส้นผมสีดำเงางามราวกับม่านน้ำตกถูกรวบเอาไว้กลางศีรษะเพียงหลวมๆ

ไรผมหลายเส้นระลงบนแก้ม จากช่องว่างสามารถเห็นขนตาอันยาวงอนของเธอ จมูกโด่งสวย ริมฝีปากได้รูป มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แม้ไม่แสดงความรู้สึกก็ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังยิ้ม

มือทั้งคู่ของเธอล้วงกระเป๋า ช่างดูไม่เข้ากับสำนักงานแห่งนี้สักนิด ถึงขั้นที่ท่าทางเกียจคร้านในตัวเธอ ทำให้บรรยากาศอันเคร่งเครียดของสำนักงานผ่อนคลายลงมาก

เฉินซวินหรานเองก็เริ่มสงสัยแล้วว่า คนที่ส่ง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ และต้องการชีวิตของอู่ชุนเหอใช่เธอจริงหรือไม่

รูปลักษณ์ของเธองดงามและบุคลิกก็ดี ยากที่จะเชื่อมโยงเธอกับฆาตกรเลือดเย็นเข้าด้วยกันได้

แม้ว่าตามสติปัญญาของเฉินซวินหรานจะรู้ดีว่า ซูอี้เป็นผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดก็ตาม

“ซูอี้ใช่มั้ยคะ”

เฉินซวินหรานพยายามรวบรวมสติ หลังจากรู้ตัวว่าในใจของตนเองมีความหวั่นไหวที่ไม่ควรเกิดก็ได้สติขึ้นมาทันที

เถาเฉินเปลี่ยนอารมณ์ในชั่วขณะได้ดีมาก ตอนที่สาวงามทั้งสองที่อายุแตกต่างกัน กริยาท่าทางต่างกัน บุคลิกต่างกันแต่ยังคงเป็นที่ชื่นชมของผู้คนมานั่งอยู่ด้วยกัน ความสุขจากการเห็นภาพนี้มันยากเกินจะบรรยาย

และฮั่วจือหมิงก็ถ่ายทอดภาพอันงดงามนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด

ซูอี้เงยหน้าขึ้น วินาทีนี้ สายตาของเธอไม่ได้โฟกัสที่จุดใดจุดหนึ่ง มันดูพร่าเลือน ในขณะนั้นเองก็ให้ความรู้สึกไร้พิษภัย เหมือนมีความรู้สึกหม่นหมองวนเวียนอยู่ภายในใจเธอ ทำให้เฉินซวินหรานตะลึงงันไป

เธอเข้าใจความรู้สึกของตำรวจที่เข้ามารายงานเมื่อครู่นี้แล้ว เห็นเพียงด้านข้างก็แทบจะต้านทานไม่ไหวแล้ว ตอนเห็นหน้าตรง พลังทำลายล้างจากความงามก็ยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม เฉินซวินหรานสงสัยการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนเองอีกครั้ง ‘ผู้หญิงคนนี้ต้องการชีวิตของอู่ชุนเหอและท้าทายตำรวจจริงๆ เหรอ’

ความคลุมเครือในสายตาของซูอี้ค่อยๆ หายไป ความเจ็บปวดถูกเธอเก็บซ่อนเอาไว้ในสายตาอันเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกเป็นอย่างดี จากนั้นเธอลุกก็ขึ้นยืน

“คุณตำรวจเฉิน คุณยากพบฉันเหรอคะ?”

ตอนพูด เสียงของเธออ่อนโยน น้ำเสียงแผ่วเบา ไม่เร่งไม่รีบ ดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดเข้ามา ฟังแล้วสบายหูมาก

แต่ไม่รู้ว่าเพราะความอคติของเฉินซวินหรานหรือไม่ ที่มักจะทำให้เธอรู้สึกว่า น้ำเสียงของเธอเหมือนมีความขบขันซ่อนอยู่ ราวกับท้าทาย เยาะเย้ยและแฝงความเย็นเยียบ

“ฉันมีหลายเรื่องที่อยากรู้จากคุณน่ะค่ะ”

เฉินซวินหรานนั่งลง สายตาจับจ้องซูอี้เอาไว้ แม้สายตาของเธอจะไม่ได้บีบคั้น แต่กลับให้ความรู้สึกกดดัน เคยมีคนร้ายเจ้าเล่ห์มากมายที่ทนสายตาคู่นี้ของเธอไม่ไหว จนแสดงพิรุธออกมา

นอกจอ ซูเพ่ยเอินและผู้ชมทุกคนในโรงหนังต่างรับรู้ถึงแรงกดดันนั้น ความสามารถในการควบคุมของเถาเฉินดีอย่างไม่ต้องสงสัย เฉินซวินหรานที่เธอแสดง ภายนอกไม่ได้อยู่แข็งแกร่งมากนัก แต่กลับแสดงความกล้าหาญที่ไม่น้อยไปกว่าผู้ชายผ่านร่างอันผอมบางออกมา

สำหรับคำพูดที่แฝงความเคร่งขรึมของเฉินซวินหราน ซูอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยน และพูดว่า

“ได้สิคะ”

น้ำเสียงอันอ่อนโยนนี้ ทำลายความกดดันที่เฉินซวินหรานต้องการสร้างให้เธอในตอนแรกลงอย่างง่ายดาย

เธอไม่รับรู้ถึงความระมัดระวังและความสงสัยในคำพูดของเฉินซวินหรานจริงๆ หรือรับรู้แล้ว แต่ไม่สนใจ ในขณะนั่งลงเธอยังยื่นมือไปจัดเสื้อกันหนาวอีกด้วย

ทั้งสองไม่ได้คุยอะไรกันเลยแท้ๆ แต่กลับทำให้ฉากนี้ดูสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก ความตื่นเต้นจากการปะทะกันกลับสามารถกระจายออกจากในจอมายังนอกจอได้ แม้กระทั่งผู้ชมในโรงหนังยังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนี้ได้เป็นอย่างดี

ซูเพ่ยเอินเห็นว่า ผู้ชมชาวยุโรปและอเมริกาหลายคนที่ถึงแม้จะฟังภาษาหัวเซี่ยไม่รู้เรื่อง แต่จากซับและการแสดงของนักแสดงนำหญิงทั้งสองก็สามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงเปลี่ยนอิริยาบถ ถึงขั้นที่ว่ามีคนนั่งไขว้ข้างแล้ว

เถาเฉินมีความสามารถในการโน้มน้าวแบบนี้แล้วอย่างไร เพราะเจียงเซ่อก็มีไม่น้อยไปกว่าเธอ

หลายปีมานี้ ในหัวเซี่ย มักจะมีผู้หวังดีหรือแฟนคลับของทั้งสอง ที่อยากรู้ว่าระหว่างทั้งสองคนการแสดงของใครดีกว่า เพราะเรื่องนี้ไม่รู้ว่าถกเถียงกันกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว

คนจำนวนมากล้วนคิดว่า หลายปีมานี้ทั้งรูปลักษณ์ ความงามและชื่อเสียงเจียงเซ่อก็ล้วนมากกว่าเถาเฉิน แม้แฟนคลับของเถาเฉินจะไม่พอใจ แต่ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ เรื่องนี้ราวกับจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่มีอะไรให้ถกเถียงกันอีก

แต่คนจำนวนมากกลับคิดว่า ในเรื่องฝีมือการแสดง เถาเฉินเหมือนจะดีกว่าเจียงเซ่อ

แม้ว่าหลายปีมานี้ก็เจียงเซ่อจะสร้างตัวละครหลายตัวที่เป็นตำนาน แต่ทุกครั้งที่คนจำนวนมากคิดถึงเธอ ท้ายที่สุดก็จะคิดถึงรูปลักษณ์อันงดงามของเธอก่อนบทบาทการแสดง

รวมทั้งเพราะเธออายุยังน้อย ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนี้มากขึ้น

ซูเพ่ยเอินชื่นชมเจียงเซ่อ แต่ก็รับรู้ความอคติแบบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอนึกถึงเจียงเซ่อ สิ่งแรกที่เป็นห่วงคือเธอจะรับได้หรือไม่

ในหนังเรื่อง ‘Evil’ กลัวว่าเธอจะรับบทบาทของ ‘แม่’ ไม่ได้ กังวลว่าเธอจะถูกกดและได้รับผลกระทบจากการแสดงของหลิวเย่

ในหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ก็กลัวว่าการแสดงของเธอจะโดดเกินไป จึงดูด้วยความกังวลตั้งแต่ต้นจนจบ

จนกระทั่งหนังเรื่อง ‘Suspect’ ได้ข่าวว่าเธอมีบทที่แสดงร่วมกับเถาเฉินก็ยังคงกังวล สำหรับเขาแล้ว มักจะรู้สึกว่าเจียงเซ่อเป็นดาวดวงใหม่ของที่หัวเซี่ยที่ค่อยๆ เฉิดฉายมากขึ้นเรื่อยๆ มีความสามารถ มีความพยายาม ต้องการการปกป้อง แต่กลับลืมไปว่า ฝีมือของเธออาจจะพัฒนามากขึ้นอย่างรวดเร็วในผลงานทุกๆ ชิ้น

การต่อบทระหว่างเธอและเถาเฉินถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน

อิทธิพลจากบทของ ‘ยอดฝีมือ’ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ชมคือ ความสะใจ ทำให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหนังอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งเข้าถึงบทก็ยิ่งเข้าใจเนื้อเรื่อง

เธอไม่ได้ ‘แพ้’ เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งที่เถาเฉินแสดงออกมา เธอเป็นดั่งน้ำที่สามารถเข้าใจได้โดยไม่ต้องพูดอะไร มองไม่เห็นและไม่สามารถจับต้องได้ แต่ก็เหมาะเป็นหยดน้ำที่สามารถกัดกร่อนก้อนหินได้ ทำให้เถาเฉินเหมือนตกหลุมพราง ซูเพ่ยเอินรู้สึก ‘ไปเอง’ ว่า วินาทีที่เจอเถาเฉินก็ได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเธอด้วยเช่นกัน

“เดือนที่แล้ว ทางสถานีวั่งจินของเรา ได้รับจดหมายแปลกๆ”

หลังจากควบคุมสติและนั่งลง เฉินซวินหรานก็พูดถึงเนื้อหาใน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ อย่างเปิดเผย ตอนพูดสายตาของเธอยังคงมองเจียงเซ่ออย่างพินิจ หวังว่าจะจับพิรุธจากผู้หญิงคนนี้ได้บ้าง

แต่สิ่งที่ทำให้เธอผิดหวังคือ ตอนที่ได้ยินคำนี้ ซูอี้ไม่แสดงความรู้สึก ไม่ได้กระวนกระวาย ไม่มีท่าทีได้ใจหรือโกรธเกลียด เพียงแค่รอเธอพูดด้วยท่าทางสงบหนึ่ง

“ช่วงนี้ฉันได้สืบเรื่องของคุณ”

เมื่อวิธีนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เฉินซวินหรานจึงเปลี่ยนวิธีที่จะทำลายกำแพงในใจเธอ

“คนในครอบครัวของคุณเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว”

ผู้หญิงอย่างซูอี้ นอกจากความทุกข์ทรมานที่ต้องเจอในวัยเด็ก เธอไม่ได้รับการฝึกฝนอะไรมาเป็นพิเศษ ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับการสอบปากคำแบบนี้ คงจะไม่สามารถปกปิดความรู้สึกของตนเองได้ ตอนที่เธอได้ยินเฉินซวินหรานพูดถึงพ่อของตนเอง สายตาก็เปลี่ยนไปอย่างที่คิดเอาไว้ เผยให้เห็นถึงความอาลัยจางๆ

เธอยังคงยิ้ม เพียงแค่คิ้วขมวดลงเล็กน้อย เมื่อเห็นแล้วก็ทำให้รู้สึกสงสารและปวดใจ เธอพยักหน้า

“ใช่แล้วค่ะ”

“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?”

เฉินซวินหรานสะกิดความเจ็บปวดในใจของเธอแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งมากเพียงใด ก็อาจจะแสดงความโกรธออกมาก็ได้

ถ้าเธอขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ถึงขั้นที่แสดงความโกรธออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เฉินซวินหรานจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เธอเพียงแค่พยักหน้าอีกครั้งและหันหน้าหนีตั้งแต่ยังไม่ได้พูดอะไร

“พ่อของฉัน...”

พูดถึงตรงนี้ เธอก็หยุดไปครู่หนึ่ง

กรอบหน้าขาวละเอียดเรียบลื่นเผยออกมาสู่สายตาทุกคน เธอแต่งหน้าอ่อนๆ ขนบางๆ ที่อยู่บนผิวยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เธอดูแลตัวเองได้ดีมาก รูขุมขนกระชับ ผิวขาวสว่างสดใส ลำคอเรียวระหง จากรายละเอียดเหล่านี้ เห็นได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ แต่เฉินซวินหรานสูดจมูกหลายที ราวกับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

“ตอนแม่ฉันท้องท่านได้รับการว่าจ้างไปทำงานและติดเชื้อมาจากสำนักงานที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ทำให้น้องชายของฉันป่วยหนักตั้งแต่เกิด”

มีความเจ็บปวดบางอย่างวนเวียนอยู่ในดวงตาอันงดงามของเธอ เธอพูดถึงเรื่องในอดีตเบาๆ ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างช้า แต่กลับทำให้รู้สึกขนลุก

“ครอบครัวของฉันไม่ได้ร่ำรวยมากนัก แต่รักกันมาก”

เธอพูดถึงเรื่องนี้อย่างแฝงความนัยและมองเฉินซวินหรานที่ได้ยินคำพูดนี้แล้วจำเอาไว้อย่างแม่นยำพร้อมรอยยิ้ม

  “เพราะเรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ของฉันทำงานหนักเพื่อรักษาน้องชายมาโดยตลอด”

ซูอี้เล่าไปเรื่อยๆ และเข้าประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว

“ในขณะนั้นเองที่วั่งจินมีนักการเมืองที่ชื่ออู่ชุนเหอที่ลาออกมาทำธุรกิจ ซึ่งมีชื่อเสียงมากในพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่”

เธอถอนหายใจและถามเฉินซวินหรานพร้อมรอยยิ้ม

“อู่ชุนเหอ คุณรู้จักไหมคะ”

เฉินซวินหรานจะไม่รู้จักได้อย่างไร เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในโลกธุรกิจ การที่สืบจนรู้จักซูอี้และนัดเธอมาสอบปากคำก็เพราะเรื่องของอู่ชุนเหอที่เบื้องบนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

“รู้จักค่ะ”

เฉินซวินหรานรู้สึกว่า วิธีการสอบปากคำของตนเองดูแปลกๆ และรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกเธอจูงจมูก เฉินซวินหรานไม่ได้รู้สึกไปเอง เพราะวินาทีต่อมาเธอก็เปลี่ยนท่านั่ง อยากจะทำลายบรรยากาศที่ถูกซูอี้ควบคุม ความอึดอัดแบบนั้น แม้กระทั่งท่านผู้ชมที่อยู่นอกจอยังสัมผัสได้

ซูอี้พูดพร้อมรอยยิ้ม

“ฉันก็คิดว่างั้น”

เธอพึมพำ ตอนที่พูดถึงคำสุดท้ายได้ลากเสียงยาวเล็กน้อยและยกหางตาขึ้น ความดูถูกเสียดสีที่มาจากส่วนลึกของหัวใจถูกแสดงออกมา เธอไม่ได้ปิดบังและเห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยากจะปิดบังความรู้สึกของตนเอง

“เมื่อก่อนพ่อแม่ของเขาเป็นเพื่อนบ้านกับย่าของฉัน สนิทกันมาก หลังจากธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ ก็อยากตั้งตัวอีกครั้งจึงชวนพ่อของฉันไปร่วมลงทุน”

เรื่องนี้เฉินซวินหรานสืบมาลึกซึ้งกว่าที่เธอพูด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในเรื่องนี้นั้นอู่ชุนเหอหลอกลวงพ่อของซูอี้อย่างแน่นอน ตอนที่เขาก่อตั้งบริษัทสำเร็จรูปนั้นเพราะในอดีตเคยล้มละลายความน่าเชื่อถือจึงไม่มากพอ ดังนั้นตรงช่องผู้ค้ำประกันทางกฎหมายจึงเป็นชื่อของคุณซู

อู่ชุนเหอใช้ชื่อของคุณซูกู้เงินก่อตั้งบริษัท สุดท้ายได้ยักยอกเงินแล้วหนีไป เหลือไว้เพียงแค่ความว่างเปล่าและหนี้ไว้ให้พ่อของซูอี้

เขาเป็นคนมีประสบการณ์ รู้จักคนมากมายจากการทำธุรกิจ เคยอยู่ในหน่วยงานรัฐบาลมาก่อน กับเป็นคนเจ้าเล่ห์ เพียงแค่มิตรภาพระหว่างเพื่อนบ้านและผู้ชายที่มีปัญหาเรื่องเงินจะเป็นคู่แข่งของเขาได้อย่างไรชายซื่อๆ ที่เชื่อมั่นเรื่องมิตรภาพของคนบ้านใกล้เรือนเคียงจนต้องรับเคราะห์จากหนี้สินจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรกัน

สุดท้ายเงินก้อนนั้นกลายเป็นต้นทุนธุรกิจใหม่ของอู่ชุนเหอ เป็นพื้นฐานให้กับความสำเร็จในเวลาต่อมาของเขา แต่พ่อของพ่อซูอี้กลับต้องรับหนี้สินมหาศาลเอาไว้ ถูกคนไล่ทวงหนี้ จนหมดหนทาง

“มีคนโยนกระดูกชิ้นหนึ่งออกมา ขอทานที่หิวจนตาลายยื่นมือออกไปคว้า ไม่คิดว่าไม่เพียงแค่ไม่สามารถเก็บกระดูกชิ้นนั้นขึ้นมาได้แต่มือที่ยื่นออกไปก็ต้องถูกตัดทิ้ง!”

เธอยิ้มอย่างเย็นเยียบ ในสายตาแฝงความเย็นชาและความโหดเหี้ยม ซึ่งแตกต่างจากรูปลักษณ์อันงดงามและรอยยิ้มอันอ่อนโยนดั่งลมในฤดูใบไม้ผลิของเธอเป็นอย่างมาก ทำให้เฉินซวินหรานที่เห็นสายตานี้ของเธอรู้สึกว่าฝ่าเท้าเริ่มเย็นเยียบและค่อยๆ เย็นไปทั่วทั้งร่างกาย

“หลังจากนั้นล่ะคะ”

เสียงของเฉินซวินหรานแหบแห้งเล็กน้อย เธอไอทีหนึ่ง ในเวลาแบบนี้ เสียงไอเสียงนี้ชัดเจนเป็นอย่างมากจนเธอเองยังรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจึงขมวดคิ้ว

ซูอี้กลับเคลื่อนสายตาออก เม้มปากและเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยน

  “หลังจากนั้นเหรอคะ แม่ของฉันเคยมาฟ้องและแจ้งตำรวจ” เธอพูดถึงตรงนี้ได้เอียงคอเล็กน้อยและมองเฉินซวินหรานราวกับยิ้มและไม่ยิ้มในขณะเดียวกัน

 “ทางตำรวจน่ะเห็นใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้!”

หลังจากเธอพูดออกมาทีละคำจนจบประโยค ดวงตาก็ได้หรี่เล็กตาลง และสายตาก็ได้แหลมคมราวกับดั่งดาบเล่มหนึ่งในทันที เธอโน้มตัวเข้าหาเฉินซวินหรานเล็กน้อย เฉินซวินหรานคิดว่าเธอจะบอกความลับอะไรกับตนเอง จึงโน้มเข้าไปหาเธออย่างให้ความร่วมมือ เธอพูดออกมาเบาๆ ว่า

 “ไม่มีร้ความสามารถนัก!”

คำพูดที่เสียมารยาทและท้าทายแบบนี้ แตกต่างจากภาพลักษณ์ของซูอี้มากจริงๆ เฉินซวินหรานคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะพูดแบบนี้จึงอึ้งไปครู่หนึ่งกว่าจะได้สติ พอรู้ตัวว่าก่อนหน้านี้ตนเองที่ทำอะไรลงไปตระหนักได้ถึงการกระทำของตนก่อนหน้านี้ ใบหน้าถึงกับก็พลันขาวซีดขึ้นมาทันที

เรื่องราวดำเนินมาจนถึงตอนนี้ การแสดงของทั้งสองได้ควบคุมความรู้สึกของผู้ชมเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว ทำให้หยุดดูไม่ได้และยิ่งอยากรู้เรื่องราวหลังจากนี้

“ฉันไปได้หรือยังคะคุณตำรวจผู้กำกับเฉิน” เธอจัดผมด้วยท่าทางอันเคร่งขรึมและถามเฉินซวินหรานพร้อมรอยยิ้ม

ทิ้งระเบิดลงในใจของเฉินซวินหรานลูกหนึ่ง หลังจากทำให้เธอสับสน ตนเองกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เปลวเพลิงในใจของเฉินซวินหรานค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มรู้สึกเหมือนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้

“ไม่ได้!”