บทที่ 660 ผู้ต้องสงสัย
ผู้คนในป้อมวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ครู่หนึ่ง พนักงานคนที่หยิบจดหมายปึกนี้ขึ้นมาก็เก็บและเตรียมจะไปถามตามแผนกต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตำรวจคนไหนประมาทเขียนเบอร์โทรและที่อยู่ของสถานีแต่ลืมเขียนชื่อของตนเองลงไปบ้าง
สีของภาพในหนังปรับให้ดูเย็นเยียบ สร้างความรู้สึกอึดอัด นั่นเป็นภาพแรกที่ถูก ‘ประทับ’ เข้าไปในความทรงจำของทุกคน จากการเปิดเรื่องก็มีการเปิดประเด็นได้อย่างน่าสนใจ ยกระดับความสมจริงของหนัง
เมื่อซูเพ่ยเอินดูถึงตรงนี้ ความกังวลในตอนแรกก็หมดไป
หนังเรื่อง ‘Suspect’ ได้เปิดประเด็นตั้งแต่แรกและเปิดเผยข้อสงสัยออกมาจำนวนหนึ่ง อย่างไม่ได้ปิดบัง แสดงถึงความสามารถของฮั่วจือหมิงตอนโด่งดังถึงจุดสูงสุดออกมาให้เห็น ทำให้ซูเพ่ยเอินตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้มากกว่าเดิม
เถาเฉินนั่งอยู่ข้างฮั่วจือหมิง ตั้งแต่ที่หนังเรื่องนี้เริ่มถ่ายทำ เธออยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด แสดงอะไรไปบ้าง มีเนื้อหาอย่างไรบ้างทิศทางของหนังเป็นอย่างไรเธอล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ
ตอนถ่ายทำฉากนี้ เธอก็เห็นกับตา แต่หลังจากนำฉากเล็กๆ เหล่านี้มาร้อยเรียงกัน กลายเป็นหนังเรื่องเต็มเธอยังไม่เคยดู
บนหน้าจอ มีภาพชายที่ถือจดหมายเอาไว้ถามไปทั่วว่าช่วงนี้มีใครยังไม่ได้รับจดหมายหรือไม่ ทุกคนที่เขาถามต่างส่ายหน้า ตอนถามถึงแผนกสอบสวนทุกคนต่างส่ายหน้าไม่หยุด ชายหนุ่มถือจดหมายปึกหนึ่งเอาไว้หันหลังกำลังจะเดินออกมาและพึมพำว่า
“ดูเหมือนว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งนะ”
ทันทีที่เขาพูดจบเสียงเข้มงวดของหญิงสาวก็ดังขึ้น
“กลั่นแกล้งอะไรเหรอ”
ตอนที่ซูเพ่ยเอินได้ยินเสียงของเถาเฉินก็พยายามรวบรวมสมาธิ เปลี่ยนท่านั่งและจ้องหน้าจออย่างไม่คลาดสายตา
ถือว่าเถาเฉินควบคุมบทได้ดีมาก จังหวะการพูดเป็นพื้นฐานที่ต้องทำการบ้านมาเป็นอย่างดีและสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือน้ำเสียงที่พูดบทเป็นไปตามตัวละคร แม้เธอยังไม่ปรากฏตัว แต่เพียงแค่คำพูดหนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนจินตนาการถึงตัวละครตัวนี้
ในหัวมีแต่ภาพจินตนาการนิสัยของคนพูด ใบหน้าดูเคร่งขรึมมีทั้งความอ่อนโยนตามธรรมชาติของผู้หญิงแต่สิ่งที่มากกว่าคือความเข้มงวดและจริงจังของการเป็นตำรวจ
ทันทีที่สิ้นเสียงของเธอ คนที่ถือจดหมายเอาไว้ก็ตัวสั่น แม้ว่าจะยังไม่เห็นผู้มาเยือนก็จำเสียงของเธอคนนี้ได้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่แฝงการเอาใจทันที พอหันหน้ามาก็พูดทันทีว่า
“หัวหน้าเฉิน คุณมาแล้วเหรอครับ”
กล้องแพลนไปหาเฉินซวินหรานที่อยู่ข้างหลังตามสายตาของเขา ผมยาวของเธอถูกเก็บไปข้างหลังและมัดแน่นอยู่กลางศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามและขาวบริสุทธิ์
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ ผิวของเธอดูขาวซีด ใบหน้าผอมตอบ เม้มริมฝีปากแน่น ท่าทางดูเคร่งขรึม
กล้องลงรายละเอียดบนใบหน้าของเธอ ทำให้ผู้ชมเห็นว่านัยน์ตาของเธอไม่ได้ดำสนิท ค่อนไปทางสีน้ำตาลอ่อน ราวกับสามารถอ่านใจคนได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ทำให้ทุกคนต่างก้มหน้าให้เธออย่างไม่รู้ตัว
“‘กลั่นแกล้ง’ อะไรกัน”
เธอถามอีกครั้ง ชายที่ถือจดหมายไว้จึงตอบว่า
“คือช่วงนี้ที่ป้อมได้รับจดหมายที่ไม่มีชื่อผู้รับติดต่อกัน ผมถามแล้วทุกคนต่างบอกว่าไม่ใช่ของตนเอง ผมเดาว่าอาจจะมีใครสักคนกลั่นแกล้งก็เลยจะเอาไปทิ้งครับ”
ในสถานีตำรวจ เธอเป็นผู้มีอิทธิพล หลังจากเธอจบจากโรงเรียนนายร้อยก็เข้ามาในองค์กรตำรวจ หลายปีมานี้ได้เลื่อนขั้นอย่างต่อเนื่อง
ในการทำงาน เธอพูดคำไหนคำนั้น มีไหวพริบในการสังเกตการณ์และมีความกล้าเป็นอย่างมาก
ด้านนิสัย เธอมีทั้งความละเอียดอ่อนความอ่อนโยนในแบบของผู้หญิงและมีความเด็ดขาดที่ไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคดีที่หนักหนาหรือใหญ่มากเพียงใดเธอจะต้องมีส่วนร่วมและลูกน้องก็เชื่อในการตัดสินของเธอเป็นอย่างมาก
“กลั่นแกล้งงั้นเหรอ”
หลังจากได้ยินบทสรุปจากชายคนนี้ เธอก็ขมวดคิ้วและรู้สึกรางๆ ว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ
เธอยื่นมือไปให้ชายคนนั้นส่งจดหมายพวกนั้นให้เธอ
“เอาเถอะ เอามาให้ฉันก่อนเดี๋ยวฉันจะกลับไปสืบดู”
จดหมายกองที่ไม่มีชื่อผู้ส่งและผู้รับ มีทั้งหมดหกฉบับ ฉบับที่ได้รับเป็นฉบับแรกได้ผ่านมาครึ่งเดือนกว่าแล้วในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ ได้รับจดหมายแบบเดียวกันมากมายถึงเพียงนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
แม้ตอนแรกคนในป้อมจะตัดสินว่าเป็นการกลั่นแกล้ง แต่จะแกล้งเยอะขนาดนี่เชียวเหรอ คนที่กล้าล้อเล่นกับสถานีตำรวจ แน่นอนว่ามีไม่มาก
ไม่ว่าจะกล้าดีมาจากไหน ถึงได้มาล้อเล่นกับตำรวจแบบนี้ ถ้าฉบับเดียวจะไม่ว่าอะไร แต่นี่ต่อเนื่องมาถึงหกฉบับทุกอย่างจึงดูผิดปกติ
อีกอย่าง ในจดหมายนี้ไม่มีที่อยู่ผู้รับ นอกจากชื่อผู้เซ็นรับก็ไม่มีข้อความอะไรเลย จากประสบการณ์การไขคดีที่เฉินซวินหรานสะสมมานานหลายปี เธอรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
สถานีตำรวจวั่งจินเป็นผู้รับ ในเมื่อไม่ได้ระบุชื่อแต่ส่งมาที่สถานีตำรวจ หลังจากรายงานกับเบื้องบน เฉินซวินหรานจึงเปิดจดหมายออก
และก็เป็นอย่างที่เธอคาดการณ์ เธอเปิดจดหมายฉบับแรกที่ได้รับออก ด้านบนเขียนว่า ‘อีกสองเดือนจะถึงวันตายของอู่ชุนเหอ!’
ข้อความเพียงสั้นๆ แต่เนื้อหากลับชวนขนลุกเป็นอย่างมาก
จดหมายฉบับที่สอง สามและสี่หลังจากนั้นล้วนมีเนื้อหาเหมือนฉบับแรก สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนคือเวลาที่แจ้งให้ทราบเท่านั้น
มีคนจะฆ่าอู่ชุนเหอและส่งจดหมายรายงานเวลาตายในรูปแบบของการนับถอยหลังให้กับตำรวจ
นี่มันอะไรกัน นี่เป็นการท้าทายอย่างเปิดเผยเหรอ หลงตัวเองและจองหองมากเกินไปแล้ว
ทันทีที่เนื้อหาในจดหมายถูกเผยแพร่ออกมา ทั้งสถานีก็ดุเดือดขึ้นมา
มีทั้งคนหัวเราะ มีทั้งคนเสียดสี คิดว่าคนส่งจดหมายคงจะรู้สึกว่าชีวิตราบเรียบเกินไปจึงหาอะไรทำ
“อู่ชุนเหอคือใคร อู่ชุนเหอคือท่านประธานอู่ ในวั่งจินแน่นอนว่าไม่มีใครไม่มีรู้จัก”
ในทีม คนกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะเสียงดัง “หลายปีมานี้ธุรกิจของอู่ชุนเหอกำลังไปได้ดี จนอาจทำให้ใครหลายคนไม่พอใจ”
มีคนไปยืนอยู่ข้างเฉินซวินหราน หยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่เปิดออกแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม
“แต่ว่าบุคคลที่มีอำนาจแบบนี้ สิ่งที่ไม่ขาดคือบอดี้การ์ดและคนคุ้มกันความปลอดภัย ถ้าอยากได้ชีวิตเขาจริงจะต้องลอบฆ่าถึงจะสำเร็จ ตอนนี้เรื่องแดงขึ้นมาแล้ว ท่านประธานอู่ไม่ได้โง่คงจะเพิ่มกำลังคุ้มกันแล้ว จะฆ่าสำเร็จได้อย่างไร”
เฉินซวินหรานขมวดคิ้วไม่พูดอะไรอีก เธอรู้สึกรางๆ ว่ามีอะไรผิดปกติ
คนร้ายที่เตรียมจะฆ่าคนกล้าเปิดเผยแผนการฆ่าคนของตนเองออกมา ทั้งยังเปิดเผยต่อตำรวจ เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ดูอันตราย
อย่างที่เพื่อนร่วมงานพูด ถ้าจดหมายแจ้งวันตายถูกเปิดเผย อู่ชุนเหอ มีเงินทองมากมายรัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจของเขาเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าจะต้องรักษาความปลอดภัยให้กับเขา ทุกคนก็จะเฝ้าติดตามเรื่องนี้มากกว่าเดิม หลังจากข่าวของคนร้ายถูกเปิดเผยความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จก็ต่ำมาก
“เขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”
ถ้าใช้สติปัญญา อู่ชุนเหอมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนเพื่อนร่วมงานที่ล้วนเชื่อว่าคนเขียนจดหมายโง่เกินไปอาจจะเป็นเพราะต้องการระบายความโง่ในชั่วขณะจึงวางแผนกลั่นแกล้ง เอาคืนหรือปั่นหัวคนรอบข้าง
แต่ตามสัญชาตญาณ เฉินซวินหรานรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก
จากจดหมาย ไม่ได้มีข้อความอะไรมากนัก จำนวนของตัวอักษรก็ถูกควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่แน่นอนกระดาษที่ใช้ก็เป็นกระดาษที่ตัดจาก A4 ธรรมดา พยายามทิ้งร่องรอยไว้ให้ทางตำรวจน้อยที่สุด
คนที่สามารถทำแบบนี้ได้ คงจะเป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมากและมีความสามารถในการเอาตัวรอด ซึ่งแตกต่างจากการกระทำที่เหมือนจะ ‘พลาด’ ของ ‘เขา’ รายละเอียดนี้มีความขัดแย้งซ่อนอยู่
แต่ว่าจดหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้มีข้อ ‘บกพร่อง’ เพราะมันเขียนด้วยลายมือ คนเขียนจดหมายปกปิดตัวเอง แต่ยังจงใจใช้ในมือของตนเอง การกระทำแบบนี้ทำให้รู้สึกว่า ‘เขา’ กำลังท้าทายตำรวจ
เธอยืนยันความคิดของตนเอง ตัดสินใจตรวจสอบที่มาของจดหมายเหล่านี้
แม้กระดาษจะถูกตัด ยากที่จะสืบที่มา แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะให้คนไปตรวจสอบลายมือเหล่านี้ว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่
จากการตรวจสอบลายมือ จากความคุ้นชินในการเขียนและเอกลักษณ์ของตัวหนังสือ จะสามารถรู้ได้ว่าผู้เขียนจดหมายปลอมหรือเลียนแบบลายมือหรือไม่
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเฉินซวินหรานรายงานกับเบื้องบนแล้วก็เตรียมจะสืบว่าช่วงนี้อู่ชุนเหอ ทำให้ใครไม่พอใจหรือไม่
หนังฉายมาถึงตอนนี้ บรรยากาศมากพอที่สร้างข้อสงสัยอันใหญ่หลวงเอาไว้ ทำให้ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมา
ตรงข้ามกับสถานการณ์ที่ทุกคนในโรงหนังถูกดึงดูดความสนใจ เถาเฉินกลับเหม่อลอย
เธอกังวลอยู่ไม่น้อย ความกังวลเหล่านั้นไม่มีที่มาและเธอพยายามต่อสู้กับมัน เหมือนไม่อยากจะยอมรับ
ฮั่วจือนำเสนอฉากออกมาถึงขีดสุดแล้ว ท่ามกลางความร่วมมือจากนักแสดงหรือเรื่องดำเนินไปอย่างมีเหตุผล เมื่อเทียบกับผลงานเมื่อหลายปีมานี้ของเขาถือว่าน่าทึ่งมาก
แต่เถาเฉินยากที่จะสงบจิตใจได้ เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังปูทางให้กับ ‘ผู้ต้องหา’ ที่เจียงเซ่อแสดง เชื่อว่าตอนนี้ไม่เพียงแค่เธอคนเดียว เธอเชื่อว่าคนจำนวนมากในโรงหนังล้วนมีความรู้สึกเดียวกับเถาเฉินที่ทั้งกังวลและรอคอยกับการปรากฏตัวของ ‘ผู้ต้องหา’
คนยังไม่ทันได้ปรากฏตัวก็กระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาได้ กระทั่งเถาเฉินเองยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะตกอยู่ใน ‘เกม’ ที่ฮั่วจือหมิงสร้างขึ้น เชื่อว่าคุณคงจะสามารถจินตนาการความรู้สึกของผู้ชมที่กำลังดูหนังได้
หลังจากผ่านการสืบสวนอย่างลึกซึ้ง ทางตำรวจก็รู้ว่าอู่ชุนเหอเคยทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ
เมื่อก่อนเขารับราชการ หลังจากนั้นก็ลาออกมาทำธุรกิจ แม้ตอนแรกจะล้มเหลว แต่สุดท้ายก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง สร้างวิสาหกิจ จนตอนนี้เป็นผู้นำด้านธุรกิจของเมืองวั่งจิน มีทั้งบ้านและธุรกิจที่ใหญ่โตก็ไม่แปลกที่คนจำนวนมากจะอิจฉา
เฉินซวินหรานอ่านจบก็เรียบเรียงรายชื่อบุคคลที่มีความแค้นอันใหญ่หลวงกับอู่ชุนเหอและมีความเป็นไปได้ว่าต้องการชีวิตของเขาออกมา ท่ามกลางคนเหล่านั้นผู้หญิงที่ชื่อ ‘ซูอี้’ ดึงดูดความสนใจจากเฉินซวินหราน ได้มากที่สุด
“ซูอี้ บ้านเกิดอยู่ที่ถนนฉางเหิง ถนนชิงซุ่ย 167/2 เมืองวั่งจิน ปีนี้อายุยี่สิบแปด”
ผู้หญิงที่ชื่อซูอี้เกิดที่วั่งจิน ที่เธอมีความแค้นกับอู่ชุนเหอเพราะพ่อของเธอ
ตอนนั้นเพราะอู่ชุนเหอทำให้พ่อของเขาเป็นหนี้จำนวนมหาศาลอย่างไม่มีสาเหตุ ท้ายที่สุดเพราะไม่สามารถใช้คืนได้จึงตัดสินใจผูกคอตาย
บ้านซูอี้จนอยู่แล้ว พอพ่อเสียชีวิตไป เสาหลักของบ้านล้มลง น้องชายป่วยหนักไม่มีเงินรักษา จึงเสียชีวิตตามไป
เพื่อใช้หนี้แม่ต้องทำงานหนักทุกวัน จนท้ายที่สุดเพราะเหนื่อยเกินไปจึงป่วยตายที่บ้าน
แม้ตอนเด็กครอบครัวของเธอเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เธอก็ไม่ได้ล้มลงเพราะเรื่องนี้ กลับกันที่ผลการเรียนของเธอดีมาตลอด ตอนมัธยมปลายสอบติดมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศและออกจากวั่งจิน
ตอนเรียนมหาลัยเธอเป็นคนดังของโรงเรียน ผลการเรียนโดดเด่น รูปลักษณ์ภายนอกงดงาม มีความสามารถ
อักษรไม่กี่ตัวเหล่านี้ แทบจะบรรยายถึงนิสัยของซูอี้ออกมาได้ทั้งหมด
หลังจากรู้เฉินซวินหรานว่าจะตรวจสอบเรื่อง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ของอู่ชุนเหอ ทางสถานีตำรวจก็ได้ขอข้อมูลของซูอี้จากปักกิ่งและส่งมาให้เฉินซวินหราน
“ซูอี้”
เฉินซวินหรานขมวดคิ้ว พลิกดูเอกสารไป ปากก็พึมพำชื่อของผู้หญิงคนนี้ไป สายตาไปหยุดอยู่ที่รูปถ่ายในเอกสารของซูอี้
รูปนี้ น่าจะถ่ายสมัยเรียน แม้จะเป็นบัตรประจำตัวและดูออกว่าเก่าแล้ว แต่ก็ยังคงโดดเด่นมาก
ผู้หญิงในรูปตาใสฟันขาว ยิ้มให้กล้อง รูปในบัตรประจำตัวแบบนี้โหดร้ายมาก ผู้หญิงสวยๆ ส่วนมากยังไม่สามารถรับมือกับกล้องแบบนี้ได้เลย แต่รูปของเธอกลับถ่ายออกมาได้งดงามมาก สมกับที่ในเอกสารบอกว่า ‘รูปลักษณ์งดงาม’
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แม้ผู้หญิงในรูปจะยิ้ม แต่อาจจะเพราะรูปเก่าแล้ว ไม่ว่าไฟล์จะถูกเก็บไว้ดีมากเพียงใด สีของรูปก็อาจจะเปลี่ยนไป ทำให้เฉินซวินหรานรู้สึกว่ารอยยิ้มของหล่อนทำให้เธอขนลุกโดยไม่มีสาเหตุ
เธอขมวดคิ้ว อยากรู้ว่าในแววตาของผู้หญิงคนนี้มีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ การตายของคนในครอบครัวของเธอ พูดได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอู่ชุนเหอ ความจริงถ้าจะบอกว่ามีคนแค้นอู่ชุนเหอจนอยากได้ชีวิตเขา เฉินซวินหรานคิดว่านอกจากซูอี้ก็คงเป็นใครไปไม่ได้อีก
“ให้คนไปสแกนรูปออกมาแล้วขยายใหญ่มาให้ฉันดู...”
ซูอี้เรียนกลับจากเรียนต่อต่างประเทศ หลังจากเรียนจบก็ทำงานอยู่ที่ตี้จิง จากที่อยู่ ความน่าสงสัยของเธอก็ลดลงไปบ้าง
“หัวหน้าเฉิน คุณแค่อยากเห็นหน้าเธอ ทำไมต้องลงทุนขนาดนี้ด้วยล่ะครับ”
ทันทีที่คนเอาเอกสารมาให้ได้ยินคำพูดของเฉินซวินหรานก็พลันหัวเราะออกมา
“หลังจากที่คุณเคยสั่ง พวกเราก็จับตามองเอาไว้ตลอด หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้ซูอี้ลากิจกับทางบริษัท ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมาที่วั่งจิน บอกว่าจะมาไหว้พ่อแม่ ตอนนี้เธออยู่ในวั่งจินครับ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของเฉินซวินหรานก็เปลี่ยนไปทันที
หนังดำเนินมาจนถึงตอนนี้ในที่สุดก็เข้าประเด็นแล้ว
เมื่อซูเพ่ยเอินดูถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมา
ถ้าพูดตามหลักเหตุผล ความสามารถในการควบคุมของฮั่วจือหมิงยังอยู่ รายละเอียดของทั้งสีและภาพ สถานที่และด้านอื่นล้วนส่งเสริมเรื่องราว แต่สิ่งที่ซูเพ่ยเอินคิดไม่ตกคือ เรื่องราวไม่ได้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น
ปกติแล้ว หนังสืบสวนส่วนใหญ่ มักจะเอาคดีฆาตกรรมไว้ข้างหน้าแล้วจึงตามล่าคนร้ายจากเบาะแสที่มี ให้ผู้ชมเดินทางรอยเท้าของตำรวจ เดินตามเนื้อเรื่องถึงจะจับคนร้ายที่แท้จริงได้ในที่สุด
แต่หนังของฮั่วจือหมิงกลับตรงกันข้าม ใช้จดหมายที่เหมือนจะเป็น ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ในการถ่ายทอดคดีที่ยังไม่ได้เกิดได้อย่างสมจริงสู่สายตาของทุกคนและเปิดเผยผู้ต้องสงสัยที่น่าสงสัยมากที่สุดตั้งแต่ตอนแรก
ซูเพ่ยเอินดูถึงตรงนี้ก็ดูนาฬิกา ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ฮั่วจือหมิงควบคุมบทได้ไม่เลวเลย แต่สำหรับหนังสอบสวน ‘ตัวหลัก’ ที่ใหญ่ที่สุดทั้งสองถูกเปิดเผยออกมาตั้งแต่ตอนนี้ แล้วที่เหลืออีกแปดสิบกว่านาที เขาจะดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้อย่างไร