webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

658

บทที่ 658 ควบคุม

“มองในมุมเล็กๆ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เถาเฉินหามาได้ คุณลัวก็ยังคงได้ส่วนแบ่งและได้ไม่น้อยเลย ต่างตรงที่เถาเฉินเพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบในการทำงานให้คุณลัวเท่านั้น”

เซี่ยเชาฉวินเคาะโต๊ะ

“มองในมุมใหญ่ การเป็นหุ้นส่วนของคุณลัว ทำให้เขาสามารถเข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจของเถาเฉิน มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของบริษัท เขาสามารถควบคุมเถาเฉินได้โดยชอบธรรม เพื่อรักษาตำแหน่งนักแสดงหญิงอันดับหนึ่งในหัวเซี่ยของเธอ”

ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบริษัทของเถาเฉิน ยังคงขึ้นอยู่กับซื่อจี้หยินเหอ นี่คือจุดประสงค์หลักของลัวหยิ่น วันนั้นเขาเดินหมากตัวสำคัญ เถาเฉินคิดว่าตนเองออกจากเกมไปแล้ว กลายเป็นคนนอกเกมไปแล้ว แต่กลับไม่รู้เลยว่า ตนเองยังคงอยู่ในเกม เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่งถูกผู้คุมเกมควบคุมเท่านั้น

สำหรับนักธุรกิจ ความรู้สึกสามารถมีได้ แต่มีความสำคัญรองจากผลประโยชน์

ลัวหยิ่นเหมือนขิงที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด คาดเดาทุกก้าวเดินของเถาเฉินได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เถาเฉินจะรู้ตัวหรือยัง บางทีเรื่องเหล่านี้เธออาจจะรู้ดีมาโดยตลอด การจากไปของเธอ รวมทั้งการร่วมหุ้นของลัวหยิ่น มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นข้อเสนอที่ออกก่อนหมดสัญญา

แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนที่เธออยู่ที่ซื่อจี้หยินเหอ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ ลั่วหยิ่นจะพูดอะไรมากก็ไม่ดี ในบริษัทฐานะของเธอก็ถือว่าพิเศษ กลุ่มที่เข้าข้างเธอก็เริ่มมีผลกระทบต่อการตัดสินใจในบางเรื่องของบริษัท

การจากไปแบบนี้ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น

โม่อานฉีตั้งใจฟังจนอ้าปากอ้างอยู่นานกว่าจะได้สติ ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมการเคลื่อนไหวของเถาเฉิน เซี่ยเชาฉวินจึงรู้ก่อนใคร

หนทางยังอีกยาวไกล เถาเฉินคิดว่าตนเองปีกกล้าขาแข็งสามารถบินได้แล้ว แต่ความจริงก็ยังคงวนอยู่ที่เดิม ยังคงอยู่ในการควบคุมของลัวหยิ่น

โม่อานฉีขนลุก จนถึงตอนนี้ ถึงรับรู้ถึงความน่ากลัวของธุรกิจอย่างแท้จริง วิธีการของรุ่นใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่เถาเฉินจะรับมือได้

“คุณลัวรู้ดีว่า ชีวิตนักแสดงอยู่ท่ามกลางแสงสี เสียงปรบมือและคำชื่นชมทำให้ลืมตัวได้ง่ายจนลืมว่าตนเองเป็นใคร”

โดยเฉพาะนักแสดงหญิงอย่างเถาเฉินที่มีทั้งชื่อเสียง ผลงานความเป็นที่นิยมและอยู่ในกระแส การหมดสัญญาแล้วจากไปเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่เร็วก็ช้า

แต่ตอนนั้นบริษัทเสียเงินไปมากมายขนาดนั้น ทำให้ผู้หญิงที่ไม่เป็นที่รู้จักกลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของหัวเซี่ยในตอนนี้ สิ่งที่เสียไประหว่างนั้น ก็ยากจะประเมินค่า ถ้าไม่ใช้เธอให้คุ้มค่าที่สุด ลัวหยิ่นจะยอมปล่อยเธอไปได้อย่างไร

เรื่องนี้ แม้ที่ผ่านมาโม่อานฉีคิดไม่ถึงก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้เซี่ยเชาฉวินมาจุดประกายความคิด ทำให้เธอรู้สึกชาไปทั้งตัว

เธอคิดถึงทางเลือกที่แตกต่างกันของเจียงเซ่อและเถาเฉิน เพราะความสนิทสนมที่เธอมีกับฉางยวี่หูในตอนนั้น จึงได้เซ็นสัญญากับซื่อจี้หยินเหอ ยอมจะต้องลดค่าตัว แต่ก็ยอมเซ็นสัญญามาอยู่ในสังกัดในระยะสั้น

ช่วงที่อยู่ในวงการ ในเรื่องการเลือกงานก็ไม่มักมาก ไม่ห่วงเรื่องรายได้ แต่คว้าคำชื่นชมเอาไว้ก่อน

และโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้เป็นนักแสดงนำในหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ จึงยกฐานะของเธอขึ้นมาระดับหนึ่ง ท้ายที่สุดจึงมีความมั่นใจและมีสิทธิ์ยื่นข้อเสนอกับลัวหยิ่น

ในระหว่างที่เธอแข่งกับเถาเฉิน เธออดทนต่อการแย่งชิงและการถูกกด แม้แต่ในขณะที่ทั้งสองแย่งกันดุเดือดที่สุด ทางบริษัทก็กดดันเธอให้เธอเห็นตัวประกอบในหนังเรื่อง ‘Suspect’ เธอก็อดทนอดกลั้น ตอนหมดสัญญา ไม่ได้มีความคิดที่จะออกจากบริษัทไปตั้งตัว ยังคงต่อสัญญากับซื่อจี้หยินเหอ ยังคงอยู่กับบริษัทนี้

ในทางกลับกัน ตอนนั้นเถาเฉินออกไปอย่างสะใจ ตั้งตัวเป็นใหญ่ เหมือนจะโล่งใจ แต่ถึงแม้สบายใจ แต่ก็ตกหลุมพรางที่ทำให้ลำบากกว่าอีกหลุม ยังคงไม่สามารถออกจากการควบคุมของลัวหยิ่นได้

“เมื่อก่อนฉันไม่ชอบเถาเฉิน”

โม่อานฉีพึมพำ เธอไม่ชอบเถาเฉินตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่น งานแรกในประเทศของเธอก็คือการติดตามเจียงเซ่อ เป็นผู้ช่วยของเธอ เจียงเซ่อเข้าวงการอย่างเป็นทางการมากี่ปี เธอก็อยู่กับเจียงเซ่อมานานเท่านั้น

ทั้งสองสนิทสนมกัน แม้เป็นลูกน้องกับเจ้านาย แต่ความจริงสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง เพราะเรื่องที่เถาเฉินเคยทำกับเจียงเซ่อในตอนนั้น ทำให้โม่อานฉีรู้สึกแย่กับคนๆ นี้มาก

“แต่ ทำไมตอนนี้ฉันถึงรู้สึกสงสารเธอก็ไม่รู้สิ”

เซี่ยเชาฉวินฉีกยิ้ม เผยรอยยิ้มอันน่าขนลุกให้โม่อานฉีได้เห็น

“สงสารอะไร”

“คุณลัว...” โม่อานฉีเพิ่งพูด เซี่ยเชาฉวินก็พูดต่อว่า

“การที่ลัวหยิ่นเริ่มจากศูนย์จนได้ธุรกิจนี้มาครอบครอง มีแค่เพียงความเมตตาไม่พอหรอกนะ”

เธอพูดอย่างสงบนิ่ง

“นักแสดงของซื่อจี้หยินเหอเยอะขนาดนี้ คนที่สามารถเข้ามาได้ ส่วนมากหน้าตาก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น”

ในวงการนี้ไม่เคยขาดผู้หญิงที่ทั้งสาวและสวย แต่เพราะเหตุใดตอนนั้นเจียงเซ่อถึงได้โดดเด่นเหนือคนเหล่านั้น

นอกจากเพราะคุณสมบัติในตัวเธอ ความทะเยอทะยานและความช่วยเหลือจากเซี่ยเชาฉวิน ยังเป็นเพราะทรัพยากรจำนวนมากของบริษัทที่ยินยอมใช้เพื่อปูทางให้หญิงสาวผู้มากความสามารถคนนี้ด้วย

แต่สิ่งที่บริษัททุ่มเทไปไม่ใช่เป็นเพราะต้องการเลี้ยงให้เธอปีกกล้าขาแข็ง ทะเยอทะยานแต่เป็นเพราะต้องการผลตอบแทนจากตัวเธอ

“อยู่ในวงการก็ต้องมีกฎของวงการ” เถาเฉินสามารถเลือกที่จะอยู่ในบริษัทด้วยความซื่อสัตย์ได้ อยู่ให้ครบสัญญา แล้วออกไปในเวลาที่เหมาะสม ออกจากที่นี่ แน่นอนว่าจะไม่ถูกควบคุมและไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของธุรกิจอีกต่อไป

แต่ความทะเยอทะยานและจิตใต้สำนึกของเธอ ทำให้เธอไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ยืนยันที่จะเดินตามหมากที่วางไว้ก็ไม่แปลกที่จะถูกจับจุดอ่อน

“ที่ฉันเล่าเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง ไม่ได้ให้เธอคิดอะไรไม่เข้าท่า” เซี่ยเชาฉวินขมวดคิ้ว “เธออยู่กับเซ่อเซ่อมานาน กินเงินเดือนในฐานะผู้ช่วย ไม่เคยคิดอยากก้าวหน้าบ้างเหรอ”

เงินเดือนหลายแสนไม่ใช่น้อยๆ แต่เงินเดือนของโม่อานฉีก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ทำงานมา

เธออยู่กับเซี่ยเชาฉวินมานาน เรียนรู้อะไรกมากมาย ประสบการณ์ก็ไม่น้อย เซี่ยเชาฉวินอยากสนับสนุนเธอผลักดันเธอให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น

ตอนนี้ฐานะของเจียงเซ่อเปลี่ยนไป ในอนาคตต้องการคนที่จะจัดการเรื่องต่างๆ ให้เธอมากกว่าเดิม ถ้าโม่อานฉีเป็นแค่ผู้ช่วยธรรมดาอย่างสบายใจ ชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็จะเรียบง่ายแบบนี้ ยากที่จะทำผลงานและจะต้องถูกคนที่มาทีหลังตามทัน

เซี่ยเชาฉวินพูดจบ โม่อานฉีที่ในตอนแรกกำลังเอาแผ่นมาสก์วางบนใบหน้าก็ชะงัก แต่ไม่ได้พูดอะไร ท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ 

เธอก็ไม่อยากสนใจโม่อานฉีอีก จึงพูดต่อว่า

“ตอนนี้เถาเฉินอยู่ในช่วงขาลง”

ความจริงเธอควรจะรับรู้ถึงความผิดปกติตั้งนานแล้ว ที่เธอประกาศก่อตั้งบริษัทได้เป็นเวลาตอนแรกเพราะอยากจะใช้เรื่องนี้สร้างกระแสเพื่อกดหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ที่เพิ่งได้รับรางวัลในงานหนึ่งร้อยปีของคนสร้างหนัง จนส่งผลกระทบต่อรายได้และเบี่ยงประเด็นความสนใจ

ไม่คิดว่าท้ายที่สุดจะไม่สำเร็จ ข่าวการก่อตั้งบริษัทใหม่ถูกกระแสอื่นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกลบทับ สุดท้ายตอนที่คนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าเถาเฉินออกจากซื่อจี้หยินเหอมาก่อตั้งบริษัทใหม่ก็กลายเป็นเรื่องในอดีตที่ยากจะสร้างกระแสได้อีก

ไม่ว่าเถาเฉินจะยอมรับหรือไม่ ความโด่งดังระหว่างเธอกับเจียงเซ่อ ก็เห็นกันอยู่ว่าใครแพ้ใครชนะ

ตอนนี้คนแก่หัวดื้ออย่างฮั่วจือหมิงพาหนังเรื่อง ‘Suspect’ ไปร่วมเทศกาลหนังฝรั่งเศสและยังลงชื่อนักแสดงนำหญิงสองคน สำหรับเถาเฉินแล้วเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก เพราะจะทำให้นักข่าวและแฟนหนังคิดถึงตอนที่เธอยอมรับกับปากว่าในหนังเรื่อง ‘Suspect’ ตนเองเป็นนางเอก แล้วเจียงเซ่อเป็นตัวประกอบ

 ถูกนักข่าวจับจุดอ่อนได้แบบนี้ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่น่าอับอายมากที่สุดตั้งแต่เธอเข้าวงการมา เพราะอย่างไรแฟนคลับของเจียงเซ่อก็ไม่ได้โง่

หลายปีมานี้การที่เถาเฉินจะรักษาภาพลักษณ์แบบนี้ไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย ระหว่างทางจะต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เถาเฉินเองก็รู้ดีแก่ใจว่า ถ้าถูกผู้คนหัวเราะเยาะก็จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเธอ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะส่งผลกระทบต่อคนที่ตามกระแส จนทำให้แบรนด์หรูจำนวนมากที่อาจจะเซ็นสัญญากับเธอหรือแอบเฝ้าดูเธออยู่ถอยหลังกลับไป

เซี่ยเชาฉวินพูดถึงครึ่งหนึ่ง โม่อานฉีก็พูดลองใจว่า

“เพราะฉะนั้นเธอต้องคิดหาทาง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน”

คำตอบของเธอเป็นไปตามที่คิดเอาไว้และไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรมากนัก แต่โชคดีที่เซี่ยเชาฉวินไม่ได้ต่อว่าเพียงส่ายหน้าและพูดว่า

“เธอตอบตกลงรับหนังเรื่อง ‘Born Of Fire’ ของหนิงจ้านผิงแล้ว ถือว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกหลังจากออกจากซื่อจี้หยินเหอ

พอเจียงเซ่อฟังถึงตรงนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้

  “เถาเฉินกับผู้กำกับหนิงก็ไม่ได้ร่วมงานกันเป็นครั้งแรก จะใช้เรื่องนี้สร้างกระแสหลังจากเปิดบริษัท หนังเรื่อง ‘Born Of Fire’ มีดีอะไรเหรอคะ”

เซี่ยเชาฉวินรับคำ ‘อืม’ ซึ่งเป็นการยืนยันการคาดเดาของเจียงเซ่อ

“ในหนังเรื่องนี้มีบทที่เธอเปลือย”

ตั้งแต่เธอเข้าวงการมานี่เป็นครั้งแรกที่เธอถวายตัวให้งานศิลปะ จะต้องดึงดูดความสนใจจากแฟนหนังจำนวนมากได้แน่นอน

เจียงเซ่อจึงไม่ถามอะไรอีก

หลังจากพักผ่อนหลายวันดอกกุหลาบสดที่ทีมงานของ Melovin สั่งมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ก็มาถึงแล้ว เจียงเซ่อเริ่มถ่ายงานในช่วงหลัง จนกระทั่งสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากถ่ายทำเสร็จ ในที่สุดทีมของ ‘Suspect’ ก็เริ่มเดินทางมาฝรั่งเศสแล้ว

สำหรับหนังเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่ผู้ชมในประเทศที่ติดตาม แม้กระทั่งชาวเน็ตไม่น้อยในต่างประเทศก็ให้ความสนใจเช่นกัน

หนังเรื่อง ‘Suspect’ เป็นหนังใหม่อีกเรื่องของเจียงเซ่อหลังจาก ‘The second coming of Jesus Christ’ ซึ่งตอนนั้นหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ทำลายสถิติด้วยรายได้ทั่วโลกถึงสามพันสามร้อยล้าน

ปีนั้นถือเป็นปีทองของหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ หลังจากหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ เข้าฉายทั่วโลก รายได้ก็มีแนวโน้มที่จะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมากในวงการหนัง

ปรากฏการณ์แบบนี้ ถึงแม้จะผ่านมาปีกว่าแล้ว แต่ก็ยังคงอยู่ในใจของชาวเน็ตจำนวนมาก

แม้หลังจากหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ออกโรง ผู้ชมต่างต่อต้าน ทำให้ในช่วงนั้นรายได้ของหนังไม่ดีและตกลงไปมาก

รายได้ของ ‘The second coming of Jesus Christ’ กลายเป็นตำนานและได้รับการการันตีจากงาน หนึ่งร้อยปีของคนสร้างหนัง ทำให้คนจำนวนมากคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีที่สุดในเส้นทางการเป็นนักแสดงของเจียงเซ่อแล้วและยากที่จะบรรลุได้อีก

เว้นมาปีกว่า ตอนนี้เธอมีผลงานใหม่แล้ว ไม่แปลกที่จะทำให้แฟนหนังจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศต่างติดตามและเกิดการเปรียบเทียบ

“เธออายุน้อยเกินไป”

 ซูเพ่ยเอินไม่สบายใจ กังวลแทนเจียงเซ่อ

ความจริงแล้วอายุอย่างเจียงเซ่อ การที่มีชื่อเสียงมากเกินไป ซูเพ่ยเอินคิดว่าไม่ใช่เรื่องดี

ตอนนี้เจียงเซ่อใช้เวลาแปดปีกว่า โด่งดังเท่าเถาเฉินที่ใช้เวลาสิบกว่าปี หนังทุกเรื่องล้วนโด่งดังเป็นอย่างมาก สถานการณ์แบบนี้ทำให้ผู้ชมคาดหวังในตัวมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว

หนังที่เจียงเซ่อจะแสดง ทุกคนจะให้ความสำคัญกับฝีมือการแสดง รายละเอียดมากขึ้นและตั้งความหวังสูงขึ้น

และการมีชื่อเสียงก็หมายความว่าเจียงเซ่อจะกลายเป็นจุดศูนย์กลาง เคยมีหนังระดับเทพที่ยากจะบรรลุทั้งในด้านรายได้คำชื่นชมอย่างเรื่องหนัง ‘The second coming of Jesus Christ’ จากนั้นก็มีงานแต่งของเธอที่ทุกคนต่างให้ความสนใจมาก

การเป็นสะใภ้ของตระกูลเผยถือเป็นเกียรติ แต่ในขณะเดียวกันก็หมายความถึงมาตรฐานอันสูงส่งและความคาดหวังที่ผู้ชมทั้งในและต่างประเทศมีต่อเธอด้วย

ถ้าในหนังเรื่อง ‘Suspect’ การแสดงของเธอมีจุดบกพร่องแม้แต่น้อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนทุกคนจะคิดว่าเธออายุยังน้อยและหักล้างกับรูปลักษณ์อันงดงามมาเป็นข้ออ้าง แต่ตอนนี้ถ้าเกิดข้อผิดพลาดก็จะทำให้ทุกคนเยาะเย้ยและเสียดสี

หนังเรื่องนี้ตอนแรกเถาเฉินเป็นตัวหลัก เธอเป็นตัวประกอบ แค่นี้ก็ดึงดูดความสนใจได้จากคนจำนวนมากแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าฮั่วจือหมิงไม่ทำตามแผน ตอนสมัครเขียนชื่อของเจียงเซ่อที่ควรจะเป็นตัวประกอบลงในช่องของนักแสดงนำหญิง ตอนนี้ได้ดึงเจียงเซ่อลงเหว ถึงตอนนั้นระเบิดอาจจะมาลงที่เธอคนเดียว

ชื่อเสียงของเธอโด่งดังอย่างรวดเร็วและมีผลงานอย่างต่อเนื่อง แต่อายุและความแกร่งทางจิตใจใช่ว่าจะมากขึ้นตามด้วย ซูเพ่ยเอินกลัวเป็นอย่างยิ่งว่า เธอจะรับแรงกดดันแบบนี้ไม่ไหว ถึงตอนนั้นต้นกล้าที่หายากอาจจะล้มลง

ตอนที่ซูเพ่ยเอินโทรหาชุยจางเฉิงก็ได้พูดถึงความกังวลในใจของตนเอง

  “รูปแบบของฮั่วจือหมิงเดายากจริงๆ”

อีกฝั่งของโทรศัพท์ ชุยจางเฉิงถามอย่างลังเล

“หรือที่ฮั่วจือหมิงทำแบบนี้เพราะจะให้เจียงเซ่อรับกรรมคนเดียว”

หลายปีมานี้ผลงานของเขาไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก รายได้ก็ไม่ดี ถึงขั้นที่นักแสดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและอิทธิพลต่างไม่ยอมร่วมงานกับเขา บริษัททุนก็ไม่ยอมควักเงินออกมาให้เขา พูดได้ว่าชื่อเสียงและศักดิ์ศรีที่สะสมมาถูกฮั่วจือหมิงในหลายปีมานี้ทำลายจนแทบจะไม่เหลือแล้ว

ซูเพ่ยเอินได้ยินแบบนี้ก็ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้”

  ต่างก็อยู่ในวงการเดียวกัน ซูเพ่ยเอินรู้จักนิสัยใจคอของฮั่วจือหมิงอยู่บ้าง

 รู้ว่าคนแก่คนนี้ดื้อรั้นแต่ถือว่าเป็นคนจริงใจคนหนึ่ง ไม่ใช่คนชอบวางแผนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การที่เขาสามารถเขียนชื่อเจียงเซ่อลงในช่องนักแสดงนำหญิงตอนสมัครได้มีความเป็นไปได้อยู่สองทาง

ประการที่หนึ่งคือ แม้ว่าตอนแรกหนังเรื่องนี้จะมีเถาเฉินเป็นตัวหลักและเจียงเซ่อเป็นตัวรอง แต่ความจริงเป็นเพียงแค่การแผนการ ความจริงหนังเรื่องนี้คงจะกำหนดให้มีนักแสดงนำหญิงสองคน

ประการที่สองคือ ก่อนเปิดกล้องอาจจะเป็นจริงอย่างที่ลือกันว่าเถาเฉินเป็นตัวหลัก เจียงเซ่อเป็นตัวรอง แต่ในระหว่างการถ่ายทำได้ ฮั่วจือหมิงค่อยๆ เพิ่มบทของเจียงเซ่อจนในที่สุดทำให้เธอพลิกบทบาทเป็นตัวเอก

สำหรับซูเพ่ยเอินแล้ว ประการหลังมีความเป็นไปได้สูง ในวงการ ฮั่วจือหมิงขึ้นชื่อในเรื่องความไม่แน่นอน

ผู้กำกับคนอื่นๆ ไม่กล้าเปลี่ยนบทอย่างกะทันหันระหว่างถ่ายทำมากนัก กลับใช้การตัดต่อในช่วงหลัง เพื่อตัดต่อให้หนังแตกต่างจากเดิม แต่ฮั่วจือหมิงมีความเป็นไปได้ที่จะทำแบบนี้อย่างแน่นอนและอาจจะมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่แรก

หลายปีก่อนหน้านี้หนังของฮั่วจือหมิงไม่เลวเลย ถ้าเป็นช่วงที่เขารักษาสไตล์ของตนเอง ถ่ายทำหนังที่แปลกใหม่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้คน ซูเพ่ยเอินก็คงไม่กังวลแทนเจียงเซ่อ อาจถึงขั้นที่สนับสนุนการร่วมงานระหว่างคนแก่หัวดื้อกับนักแสดงที่มีความตั้งใจอย่างเจียงเซ่อด้วยซ้ำไป

แต่จากการดูหนังหลายเรื่องของฮั่วจือหมิง แม้จะมีความโดดเด่นในการควบคุม แต่ยังขาดจิตวิญญาณของเนื้อเรื่อง จนท้ายที่สุดเหลือเพียงแค่เปลือกนอก ระหว่างนักแสดงกับนักแสดงและนักแสดงกับผู้กำกับได้ถูกแยกออกจากกัน เนื้อเรื่องไม่เป็นไปในทางเดียวกัน จนสุดท้ายคนดูต่างอึดอัด ก็ไม่แปลกที่จะทำให้ฮั่วจือหมิงโดนต่อว่ามากกว่าเดิม