webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

642-1

บทที่ 642-1 เสือสองตัว

ในใจของลัวหยิ่น หล่อนสามารถดื่มชาแก้วนี้ที่เขาเป็นคนชงให้ได้ แต่ไม่สามารถที่จะเอาผลกำไรไปจากมือของเขาได้

เถาเฉินยกแก้วน้ำชาขึ้นมา แล้วจิบมันเล็กน้อย กลิ่นหอมเย็นๆ ของชายังคงติดอยู่บนริมฝีปาก ปลายลิ้นของหล่อนลิ้มรสได้ถึงความเจ็บขมและฝาด สถานการณ์แบบนี้ มันก็เหมือนกับความเป็นไปของหล่อนในตอนนี้นั่นแหละ

หล่อนไม่ชอบชา เทียบกับชาที่ต้องลิ้มลองพิจารณารสชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว หล่อนก็ชอบที่จะดื่มกาแฟมากกว่า กาแฟที่ทั้งหอมและเข้มข้น

“ดิฉันจำได้ว่า ครั้งล่าสุดที่ได้นั่งดื่มชากับคุณแบบนี้ คือเมื่อเจ็ดปีก่อน”

หล่อนวาวแก้วชาลง ลัวหยิ่นเองก็ยิ้มขึ้นมา

สาเหตุการมาของเถาเฉินในครั้งนี้ ในใจของทั้งสองคนต่างก็รู้ดี

ตอนนี้ในซื่อจี้หยินเหอเจียงเซ่อกำลังพัฒนาและก้าวหน้าไปอย่างฉุดไม่อยู่ และดูเหมือนว่าเถาเฉินกำลังตามหลังเธอห่างออกไปแล้ว

พอมีหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ เข้าฉาย เจียงเซ่อที่ถึงแม้ว่าจะเข้าวงการช้ากว่าเถาเฉินไปหลายปี แต่ก็มีโอกาสสูงที่แค่ยอดขายของหนังเรื่องนี้ก็สามารถดึงยอดขายของทั้งคู่ห่างออกไปได้

และถ้าหากว่ายอดขายของเจียงเซ่อไม่ต่ำไปกว่าของเถาเฉินเมื่อไหร่ จุดแข็งที่ว่าเถาเฉินมียอดขายหนังภาพยนตร์และอายุการอยู่ในวงการมากกว่า ก็จะถูกเจียงเซ่อตัดออกไปในทันที

บวกกับทั้งที่เจียงเซ่อเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกับเชี่ยซ่าเหลยแถมหนังที่แสดงก็ยังได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากงาน ‘หนึ่งร้อยปีของคนสร้างหนัง’ อีก ความก้าวหน้าของเธอในอนาคตจะต้องไปได้ไกลและมีอิทธิพลมากกว่าเถาเฉินแน่นอน

ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าทุกคนจะยอมรับหรือไม่ แต่เรื่องที่เจียงเซ่อจะสามารถพัฒนาต่อไปได้ดีกว่าเถาเฉินก็เป็นเรื่องจริงอยู่ดี

“นั่นสินะ”

ลัวหยิ่นพยักหน้า เจ็ดปีก่อนที่เถาเฉินพูดถึง เป็นตอนที่พูดคุยกันถึงเรื่องการต่อสัญญาของเถาเฉินนั่นเอง

“ตอนที่เธอเพิ่งจะเซ็นสัญญาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ฉันเองก็เข้าข้างและเอ็นดูเธออยู่ไม่น้อยเลย” ลัวหยิ่นเองก็วางแก้วชาลงตามหล่อน แสดงถึงว่าเดาออกแล้วว่าเถาเฉินมาที่นี่ทำไม แต่เขาก็ไม่ได้ทีท่าทีที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

“ตอนนั้นอายุเธอยังน้อย แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเปล่งประกายและทะนงตน” เขาพูดขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ เขาโน้มตัวขึ้นมาเล็กน้อย งอนิ้วชี้ข้างขวา แล้วเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ

“ตอนนั้นฉันสัมผัสได้ว่า โลกแห่งภาพยนตร์ใบใหญ่ของหัวเซี่ย คงกำลังรอให้เธอเป็นคนนำพาความสำเร็จมา”

เมื่อพูดถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา ก็เหมือนว่าลัวหยิ่นนั้นได้พูดทุกอย่างออกมาจากใจ “ในตอนนั้น ฉันไม่เคยเห็นใครที่มีสายตาแบบนั้นมาก่อนเลย มีความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม เผยความทะเยอทะยานเด่นชัดในสายตา

ที่สำคัญก็คือ หลังจากนั้นหล่อนก็สามารถทำสำเร็จจริงๆ

เปิดบริษัท เซ็นสัญญากับชายหนุ่มและหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์งดงามดูดี ที่จริงกับคนที่มีแค่เปลือกนอกที่สวยงามลัวหยิ่นเองก็เห็นมาบ่อยแล้ว ดารานักแสดงที่ซื่อจี้หยินเหอเลือกมาเซ็นสัญญาด้วยล้วนแล้วถูกคัดเลือกแล้วทั้งนั้น และทุกคนก็ล้วนมีหน้าตารูปโฉมไม่ธรรมดา แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นทุกคนที่ลัวหยิ่นจะให้ความสนใจ

คนแบบไหนมีมูลค่าแบบไหนลัวหยิ่นนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ ตอนนั้นเถาเฉินยังอายุน้อย สดใสและอ่อนเยาว์ แต่กลับมองออกได้ว่าอนาคตของหล่อนจะต้องงดงามมากแน่นอน

ลัวหยิ่นที่อยู่ในวงการนี้ สิ่งที่ต้องพึ่งก็คือดวงตาที่สามารถมองการณ์ไกลได้ ดังนั้นในบรรดานักแสดงหน้าใหม่ เขาก็เลือกที่จะดึงเถาเฉินออกมา

“นักแสดงของซื่อจี้หยินเหอ อย่างน้อยต้องมีการเซ็นสัญญากันถึงสิบปี หรือสิบห้าปี แต่ฉันยื่นของเสนอให้เธอต่างออกไป ยอมให้การเซ็นสัญญาในครั้งแรกของเธอ มีระยะเวลาแค่แปดปีเท่านั้น”

เถาเฉินที่ได้ยินเขาพูดขึ้นมาแบบนั้น ก็พยักหน้ายอมรับ

“ใช่ค่ะ เป็นเพราะว่าในตอนนั้นคุณยังให้ความสนใจ ดังนั้นหลังจากที่สัญญาหมด และคุณก็ได้คุยเรื่องต่อสัญญากับดิฉันอีกครั้ง ดิฉันถึงได้ยอมเซ็นต่อสัญญาไปอีกสิบปี และไม่คิดที่จะออกจากบริษัทเลย” เนื้อแก้มของ เถาเฉินมันกระตุกเบาๆ เมื่อได้พูดถึงเรื่องการต่อสัญญาสิบปีในครั้งนั้น

“แต่ว่านะคะคุณลัวหยิ่น ดิฉันคิดว่าคุณไม่มีความยุติธรรมเลยสักนิด”

หล่อนแค่นยิ้ม และพูดในสิ่งที่หลายๆ คนได้ยินแล้วคงดูเป็นการ ‘เนรคุณ’ ออกมา ก้าวเท้าเผชิญหน้าต่อกับซื่อจี้หยินเหอ แน่นอนว่าจะต้องดึงดูดและสะเทือนต่อคนในซื่อจี้หยินเหอมากแน่ๆ แต่หล่อนก็ไม่คิดที่จะอ้อมค้อมอะไรอีก

“หลังจากที่เชาฉวินหมดสัญญา ในตอนที่จะต่อสัญญา คุณก็เลือกที่จะไปพบเธอด้วยตัวเอง เพื่อคุยถึงเงื่อนไขต่างๆ และมอบหุ้นให้เธอถึง 0.1% เป็นของกำนัล เพื่อดึงเธอให้อยู่กับซื่อจี้หยินเหอต่อไป”

สีหน้าของผู้ช่วยส่วนตัวของลัวหยิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย มาจนถึงตอนนี้แล้ว การที่ได้อยู่เป็นผู้ช่วยของลัวหยิ่น คอยจัดการเรื่องเล็กใหญ่ให้เขามาตลอด ทั้งนิสัยใจคอและความตั้งใจของลัวหยิ่น แน่นอนว่าเขาต้องรู้ดีและรู้ลึกกว่าพนักงานทั่วไปโดยที่จะไม่แสดงออกมาให้เห็น

แต่ในตอนนี้พอได้ยินเถาเฉินพูดออกมาแบบนั้น มันก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้า

แต่ลัวหยิ่นกลับยิ้มแย้ม ราวกับว่าแม้แต่ขนตาก็ยังไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ เขาทำแค่นั่งฟังเถาเฉินพูดต่อไปเงียบๆ

“แต่พอถึงตอนที่ดิฉันต้องต่อสัญญา แล้วคุณว่ายังไงล่ะ” เธอเว้นไป แล้วเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากแค่นยิ้ม เผยรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรง

“ยังเร็วไป”

ตอนที่หล่อนพูดสามคำนั้นออกมา ความรู้สึกหลายอย่างมันก็ตีกันไปหมด ราวกับว่าทุกความรู้สึกมันหลอมรวมอยู่ในหัวของหล่อนเอง

“ยังเร็วไป!”

ประโยคนั้น หล่อนแอบนึกถึงมันมานานแล้ว มันเร็วไปยังไง? หล่อนไม่เหมาะสมที่จะได้หุ้นส่วนแบ่งจากบริษัทอย่างนั้นหรือ? หล่อนด้อยกว่าเซี่ยเชาฉวินตรงไหน? เพราะฐานะ เพราะจุดยืนมันต่างกันอย่างนั้นหรือ?

สมัยก่อนในตอนที่เฉินเซิ่งและอู๋กว่างทำการปฏิวัติ ได้เคยพูดเอาไว้ว่า พวกที่ตำแหน่งสูงศักดิ์นั้นมีค่ามากกว่าใครจริงๆ งั้นหรือ?

และมันก็เป็นประโยคที่เถาเฉินเห็นด้วยมากที่สุด

หล่อนไม่ได้เกิดมามีฐานะเป็นลูกหลานของตระกูลที่มีชื่อเสียงในฮ่องกงเหมือนกับเซี่ยเชาฉวิน ไม่ได้มีต้นทุนตั้งแต่แรกเหมือนเธอ แต่เพราะความมุมานะพยายามของหล่อนทำให้หลังจากนั้นก็มีไม่น้อยไปกว่าเซี่ยเชา ฉวินเลย เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

เดินทางมาตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้ แฟนคลับของหล่อนมีหลายๆ คนที่ทำงานอยู่ในสายงานที่เกี่ยวโยงกัน หรือแม้แต่อย่างคุณนายโจวผู้สูงศักดิ์เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จิงไท่ก็ใช่ หล่อนเฝ้ารอให้ลัวหยิ่นเป็นคนมาคุยกับหล่อนเรื่องการต่อสัญญาอยู่ตลอด แต่จนถึงตอนนี้แล้วเขาก็ยังไม่พูดอะไรเลยสักคำ

หลายปีมานี้ ระยะเวลาของสัญญาสิบปีที่หล่อนได้เคยต่อกับซื่อจี้หยินเหอก็ค่อยๆ สั้นลงไปทุกที แต่ทางบริษัทก็ยังคงนิ่งเงียบไร้สัญญาณใดๆ

คนที่ยังซื่อสัตย์ต่อหล่อน ก็ค่อยๆ ถูกกำจัดออกจากการเป็นสมาชิกของคนวงใน ลัวอ้าวที่เคยมีท่าทางสนิทสนมกับหล่อนในตอนแรก ความนอบน้อมที่เคยมีมาถึงตอนนี้...ก็ได้กลายเป็นความห่างเหินออกไปแล้ว

“เรื่องเชาฉวินผ่านไปแล้วก็ช่างเถอะค่ะ แต่ทำไมถึงต้องเป็นเจียงเซ่อล่ะคะ?”

ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ หรอกนะ แต่แค่ว่าพออารมณ์มันขึ้นแล้วก็ยากที่จะทำให้มันลง มีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องแย่งชิงถึงจะได้มันมา ถ้าไม่แย่งไม่ชิง ก็คงจะต้องถูกสบประมาทตลอดไป

“เธอควรที่จะรออีกสักหน่อยนะ”

เถาเฉินพูดจบ ลัวหยิ่นก็ไม่ได้โกรธอะไร ทำแค่เพียงส่ายหัวเบาๆ

“ถ้าให้รออีก จะรอเพื่ออะไรละคะ รอให้สัญญาของดิฉันมันหมดลง แล้วคุณก็ให้ฉันต่อ จากนั้นบริษัทก็มาเจรจากับฉัน แก้ส่วนแบ่งจาก 8:2 เป็น 10:0 อย่างนั้นหรือ?”

ตอนที่หล่อนพูดแบบนั้นออกมาด้วยตัวเอง ยิ่งพูดก็ยิ่งอยากขำ

ลัวหยิ่นเองก็ยิ้มให้เธอ เถาเฉินจึงพูดต่อ

“หรือจะบอกว่า พอถึงตอนนั้นแล้วคุณจะยอมแบ่งหุ้นให้กับฉันเพื่อดึงฉันเอาไว้หรือคะ?”

“เมื่อครบสัญญาสิบปี เธอคิดว่าฉันจะไม่แบ่งหุ้นให้เธออย่างนั้นหรือ?”

ลัวหยิ่นย้อนถาม เถาเฉินชะงักไปในทันที

“คุณจะทำอย่างนั้นหรือ?”

“แล้วทำไมจะไม่ทำล่ะ?” ลัวหยิ่นถอนหายใจยาวออกมา มุมปากกระตุกเล็กน้อย อาจเพราะนั่งนานเกินไป เขาจีงเอนหลังลงไปพิงกับพนักพิงโซฟา

“บริษัทเรามีการอุทิศคุณูปการให้กับทั้งคนในอดีต ปัจจุบันและในอนาคตอยู่แล้ว หรือไม่ก็กับคนที่มีความสามารถ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยที่จะตระหนี่ เชาฉวินเป็นแบบนั้น เจียงเซ่อเป็นแบบนั้น เธอเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน!”