webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

627

บทที่ 627 ไม่เสียแรง

“....ข้ายอมทำตามคำสั่งของท่าน เพื่อได้รับการไถ่บาปจากท่าน....”

บริตนีย์ยังคงสวดอยู่ เขาค่อยๆ ดึงเสื้อออกอย่างนิ่งสงบ ภายใต้เสื้อผ้า ร่างของเขาครึ่งหนึ่งมีเนื้อหนัง อีกครึ่งเป็นโครงกระดูก ดูน่าสยดสยอง ปีศาจหญิงตะลึงและรีบหยุดบทสวดทันที

“ฉันจึงกลายเป็นผู้นำของคริสเตียนที่จะนำพาคริสตจักรเดินไปสู่ทางสว่างและความเป็นอมตะ ฉันเป็นตัวแทนของพระเจ้าในโลกมนุษย์ ฉันจะตายได้อย่างไร”

เขาเกิดความคิดที่จะใช้บริตนีย์และคนอื่นๆ เป็นเครื่องเซ่น เพื่อแลกกับการเป็นอมตะ

บางทีอาจจะเป็นเพราะการใช้เชอรีนเป็นเครื่องเซ่นในครั้งนั้น ด้วยความศรัทธาและจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเธอ พระเจ้าจึงรับวิญญาณของเธอเอาไว้และให้ในสิ่งที่เขาต้องการ

และในวินาทีที่บริตนีย์รู้ความจริง รู้สึกว่าถูกหักหลังอย่างรุนแรง เพราะความโกรธทำให้จิตใจเข้าสู่ความมืดมน จึงถูกพระเจ้าทอดทิ้ง

ชายที่ปกปิดร่างกายของตนเองต่อหน้าคริสเตียน ตอนนี้อุตส่าห์ยอมเปิดเผยความลับที่แท้จริงของตนเอง สามารถเปิดใจ ระบายเรื่องราวที่เก็บไว้ในใจออกมาได้

เมื่อเทียบกับบริตนีย์ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นปีศาจแล้ว เขาต่างหากที่เป็นปีศาจที่ถูกเหยียดหยามอย่างแท้จริง

นักรบที่อยู่ข้างล่างยังคงรบเพราะ ‘ความศรัทธา’ เสียงเพลงอันไพเราะของคริสตจักรถูกพวกเขาร้องขึ้นมา ปลุกใจเหล่านักรบให้เดินไปข้างหน้า

ท่ามกลางท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ในที่สุดอังเดรก็ระบายความในใจออกมา เขารอวันนี้มานานหลายปีแล้ว

“ฉันเคยอ่านคัมภีร์เก่าแก่มากมายของคริสตจักร เคยเดินตามรอยเท้าพระเจ้าแต่ก็ไม่มีประโยชน์...”

เมื่อสัญญาถูกกำหนดขึ้นแล้วก็ไม่สามารถกลับคำได้อีก นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบหลู่ ‘พระเจ้า’ ได้

ความจริงหลายปีหลังจากนั้น อังเดรสงสัยมาโดยตลอดว่า บนโลกนี้มีพระเจ้าจริงหรือไม่ ‘เธอ ‘มีตัวตนอยู่อย่างไร บทสวดที่เชอรีนบอกว่าสามารถขอพรจากพระเจ้าได้ สำหรับอังเดรแล้วกลับเหมือนคำสาปที่ค่อยๆ ทำร้ายคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ข้าขอใช้ดวงวิญญาณของอังเดร...เป็นเครื่องเซ่นสังเวย ด้วยความศรัทธาที่ข้ามีต่อท่าน ขอให้ท่านพาข้ากลับไปเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว วันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในชานเมืองลูค”

เธอท่องบทสวดอย่างรวดเร็ว ซูเพ่ยเอินหลับตาลง

เปลือกตาได้บดบังทุกอย่างตรงหน้าเอาไว้ หลังจากดวงตาไม่เห็นตัวละครและเรื่องราวในหนัง หูก็ได้ยินทุกอย่างชัดเจนมากกว่าเดิม

“ไม่มีประโยชน์หรอก” เมื่อไม่ต้องแยกประสาทไปดู ในหูความรู้สึกของตัวละครที่อังเดรต้องการจะสื่อก็ชัดเจนมากกว่าเดิม ซูเพ่ยเอินรับรู้ได้ถึงความหมดหวังและหมดหนทางที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงอันสงบนั่น “ไม่มีประโยชน์หรอก ทุกอย่างไม่สามารถเริ่มใหม่ได้”

เขาเหมือนยิ้มและไม่ยิ้มในขณะเดียวกัน เมื่อตั้งใจฟัง เสียงของอังเดรเหมือนเสียงลมที่ออกจากกล่องไม้ผุพัง รวมกับท่อนล่างของเขาที่กลายเป็นโครงกระดูก ฝีมือการแสดงของอังเดรละเอียดอ่อนเข้าถึงทุกจุด

“พระเจ้าบนสรวงสวรรค์ ข้าบริตนีย์ ศิษย์ผู้จงรักภักดีต่อท่าน...”

เมื่อเทียบกับเสียงที่แหบและแก่ชราของเขาแล้ว น้ำเสียงของบริตนีย์ดูเร่งรีบมากกว่า เสียงร้องตะโกนของผู้กล้าดังมาจากบริเวณอันห่างไกล รอบข้างยังมีเสียงลมที่เกิดจากการขยับปีก ความเร่งรีบของเธอแสดงออกผ่านการท่อง ‘บทสวด’ ที่ว่องไวมาก

ตอนที่เธอพูดคำว่า ‘ศิษย์ผู้จงรักภักดี’ น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความโศกเศร้า ความโกรธและไม่จำยอม โดยไม่ต้องกรีดร้องโวยวาย แม้ไม่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเธอ แต่เพียงแค่พลังเสียงก็สามารถส่งความรู้สึกที่แท้จริงเข้าหูของผู้ชมได้

บทที่เจียงเซ่อพูด ฟังออกว่าทุ่มเทความพยายามในการฝึกซ้อมเป็นอย่างดี เกินกว่าที่ซูเพ่ยเอินคาดการณ์เอาไว้ น้ำเสียงของเธอมีสำเนียงของชาวอิตาลี ซึ่งสมจริงเหมือนตัวละครที่วางไว้ในตอนแรก

ทำให้ไม่ต้องเห็นภาพ เพียงแค่ฟังเธอท่องบทก็สามารถจินตนาการใบหน้าอันเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของเธอได้ ถ้าไม่ได้ทุ่มเทพยายาม จะไม่มีทางทำการแสดงแบบนี้ออกมาได้เลย

“ทำไมทำไม่ได้”

บนร่างกายของอังเดรไม่มีไฟลุกไหม้ เขาดูสงบนิ่งมาก ราวกับบทสวดที่เคยทำให้บริตนีย์เจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัสไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

บริตนีย์คิดถึงความเจ็บปวดที่ตนเองถูกเผาในตอนนั้น ความหมดหวังที่ต้องตกนรก ความโกรธพลันปะทุขึ้นมา

เธอบีบคออังเดรแน่นและทุ่มตัวเขาลงพื้นด้วยความโกรธ

“บทสวดผิดพลาดตรงไหน”

ทั้งสองตกลงไปอย่างรวดเร็ว อังเดรยิ่งหัวเราะเสียงดัง บริตนีย์ก็ยิ่งโกรธ ปีกสีดำบนหลังของเธอก็ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ควันสีดำแทบจะกลืนกินเธอเข้าไป นัยน์ตามีความมืดมนวนเวียนไปมา ทำให้ดวงตาทั้งคู่เหมือนมีหมึกสีเข้มวนเวียนอยู่ “ทำไมถึงไม่สำเร็จ”

“พระสันตะปาปา...”

นักรบของโบสถ์ร้องตะโกนอย่างสุดชีวิต เห็น ‘ฉาก’ ที่ทั้งสองต่อสู้กัน ธนูที่ยิงขึ้นฟ้ามากมากมายดั่งสายฝน ล้วนพุ่งเข้าหาบริตนีย์

พื้นดินอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ บริตนีย์ไม่หยุดการกระทำ แต่กลับออกแรงมากกว่าเดิม หลังจากแรงดัง ‘ตูม’ อังเดรก็ร่วงลงไปกลิ้งอยู่บนพื้น พื้นดินกลายเป็นหลุมใหญ่เพราะแรงทุ่มของบริตนีย์ เศษฝุ่นปลิวกระจายไปทั่ว

“ข้าขอใช้ดวงวิญญาณของอังเดร...เป็นเครื่องเซ่น ด้วยควาศรัทธาที่ข้ามีต่อท่าน ขอให้ท่านพาข้ากลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว วันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในชานเมืองลูค”

เธอยังคงยืนยันจะท่องบทสวดต่อไป หลังจากท่องหลายรอบก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

พื้นดินถูกแรงของเธอทำร้ายจนแตกกระจายออกจากกัน ท่ามกลางความโกรธของเธอ ภูเขาและพื้นดินเป็นรอยร้าว กลายเป็นร่องน้ำทับซ้อนกัน

ผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าหาเธออย่างไม่คิดชีวิตถูกดูดเข้าไปในร่องน้ำ ใต้พื้นดินได้รับความกระทบกระเทือน จนเกิดเสียงดังขึ้น ราวกับเป็นเสียงคำรามของ ‘ปีศาจ’

เมื่อเผชิญหน้ากับภัยอันตราย อังเดรกลับนิ่งมาก ท่าทางของเขาดูลำบากใจ ชุดนักบุญอันหรูหราเก่าจนไม่เหลือสภาพแล้ว ร่างกายของเขาราวกับยังคงเป็นดาบที่ไม่มีอะไรสามารถทำลายได้ ถูกกระแทกหลายครั้ง ก็ยังคงไม่กระทบกระเทือน เขาถึงขั้นไม่รู้สึกเจ็บ ราวกับเป็นร่างไร้วิญญาณที่ไม่มีความรู้สึก

“ฆ่าข้าเถิด...”

“พระเจ้า โปรดไถ่ชีวิตให้ข้า ให้ข้าได้อยู่อย่างสงบตลอดไป!” เขาตะโกนเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว และท่องบทสวดเหมือนบริตนีย์ ใช้ตนเองและบริตนีย์เป็นเครื่องเซ่น เขาจับมือบริตนีย์เอาไว้ เหมือนเป็นขอนไม้ช่วยชีวิต น้ำเสียงเริ่มสั่นขึ้นมา

“ช่วยปลดปล่อยข้าที ถือว่าเห็นแก่พระเจ้า บริตนีย์ เห็นแก่ที่ฉันเคยช่วยชีวิตเธอ ไถ่ชีวิตให้ฉันที”

เขาอ้อนวอนบริตนีย์ ทั้งสองสบตากัน เขาร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เธออยากร้องไห้ แต่กลับยิ่งทำให้มนต์ดำบนร่างกายเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม นำพาความหวาดผวาให้กับเหล่าคริสเตียนและเหล่าศิษย์ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง

“พระเจ้าไม่ยอมรับวิญญาณของท่านหรอก”

หลังจากความโกรธอย่างสุดขีด อยู่ๆ เธอก็สงบลง “อังเดร ท่านสกปรกเกินไป”

“ฆ่าฉันเถิด เห็นแก่ที่ฉันเคยช่วยเธอเอาไว้”

คำพูดของเขาทำให้บริตนีย์อึ้งไป สักพักก็หัวเราะออกมา ตอนนั้นเขาทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจ ฐานะ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองเป็นอมตะ

ตอนนี้เขาได้ ‘ทุกสิ่งทุกอย่าง’ ที่ตนเองต้องการแล้ว ความหวังสุดท้ายของเขากลับ ‘เรียบง่าย’ ถึงเพียงนี้ ถ้ารู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นแบบนี้ ตอนนั้นเขาจะทะเยอทะยานไปเพื่ออะไรกัน

เธอคิดถึงตนเองตอนเด็ก คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในชานเมือง คิดถึงเมื่อบรรยากาศหลายปีก่อนประตูนรกถูกเปิดออก ตอนที่เขาขอพรกับพระเจ้า คิดถึงตอนที่เผชิญหน้ากับ ‘ปีศาจ’ เธอหวาดกลัวและหลบอยู่ใต้รูปปั้น ตอนนี้เธอกลายเป็นสิ่งที่ ‘เธอ’ เคยกลัวมากที่สุด

สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ในเมื่อไม่สามารถกลับไปยังจุดเริ่มต้นและใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาได้ ความเป็นอมตะมาพร้อมกับความโกรธแค้นและแรงอาฆาต กลายเป็น ‘ปีศาจ’ ที่ใครๆ ก็รังเกียจ ถ้าเป็นแบบนี้ ความเป็นอมตะจะมีความหมายอะไร

วันหนึ่งเธออาจจะได้ครอบครองโลกนี้ แต่ชีวิตแบบนี้กลับไม่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้ เธอไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของดวงอาทิตย์ ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความเปียกปอนของสายฝน ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร สักวันเธออาจจะเป็นเหมือนอังเดรที่รังเกียจการมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ แม้อยากตายก็ยังไม่มีสิทธิ์

เธอจับตัวอังเดรเอาไว้แล้วบินขึ้นกลางอากาศ ลูกธนูยิงมาตามเธอ แต่กลับถูกมนต์ดำจากร่างกายของเธอทำลาย กลายเป็นควันสีดำและหายไปกลางอากาศ

“พระเจ้าบนสรวงสวรรค์ ข้าเป็นศิษย์ที่จงรักภักดีต่อท่านบริตนีย์…ข้ายอมทำตามคำสั่งของท่าน เพื่อได้รับการไถ่บาปจากท่าน...ข้าขอใช้ดวงวิญญาณของบริตนีย์…เป็นเครื่องเซ่นสังเวย เพื่อแสดงความเคารพที่มีต่อท่าน ขอให้ท่านรับชีวิตของอังเดรกลับคืนไป ให้เขาได้รกลับคืนสู่ธรรมชาติ”

ก่อนหน้านี้ แม้บริตนีย์จะท่องบทสวดนี้หลายรอบ แต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่พอเธอใช้ ‘ตนเอง’ เป็นเครื่องเซ่น อยู่ๆ ร่างกายของเธอก็มีไฟลุกไหม้ขึ้นมา

ความเจ็บปวดแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับดวงวิญญาณของเธอ หลังจากเธอกลายเป็นปีศาจ เธอคิดว่าตนเองจะไม่รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว แต่ตอนนี้เธอราวกับรู้สึกเจ็บปวดจนเข้าไปถึงขั้วกระดูกเหมือนตอนนั้น

เปลวไฟลุกไหม้มากขึ้นเรื่อยๆ บริตนีย์ตะลึงพลันก้มลงมองร่างกายของตนเอง ควันดำบนร่างกายของเธอเริ่มแตกตัว เพราะการเผาไหม้และกลายเป็นเศษผงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความเจ็บปวด เธออึ้งไปครู่หนึ่งแล้วอยู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมา

ปีกของเธอเผาไหม้ไวมาก เธอจับตัวอังเดรเอาไว้ ไฟในตัวก็ลามไปบนร่างกายของเขาเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน อังเดรก็พบว่าร่างกายที่ไร้ซึ่งความรู้สึกเพราะคำอธิษฐานให้ตนเองเป็น ‘อมตะ’ เมื่อหลายปีที่แล้ว วินาทีที่บริตนีย์ท่องบทสวด พอไฟลุกไหม้ขึ้นมา ความปวดแสบก็แผ่ลามไปทั่วร่างกายของเขา เขากลับดีใจมาก อยู่ๆ ก็หันกลับไปจับบริตนีย์แน่นขึ้น ราวกับกลัวว่าจะถูกเธอทอดทิ้ง

ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาหัวเราะออกมา หลังจากทรมานจากการสูญเสียความรู้สึกมานานหลายปี ตอนนี้แม้แต่ความเจ็บปวดเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมันไป

“เผาเร็วกว่านี้อีก...”

เขาตะโกนด้วยความรีบร้อน น้ำเสียงแฝงความนอบน้อม ราวกับกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าเปลวไฟจะหายไป

“อังเดร ที่แท้ ดวงวิญญาณของท่านแม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่ยอมรับอย่างนั้นเหรอ”

“ที่แท้ ถ้าอยากได้รับการไถ่บาป สิ่งที่ต้องร้องขอไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นตัวข้าใช่ไหม”

เธอพึมพำ รู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งเหมือนการเย้ยหยันและน่าขำ หัวเราะอยู่ดีๆ ตรงหางตาของเธอก็มีน้ำตาไหลออกมา กลายเป็นไข่มุกที่ส่องแสงประกาย กลิ้งออกจากขอบตาของเธอ ทั้งสองถูกเปลวไฟกลืนกิน จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘แกรก’ ทีหนึ่ง และกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วนก่อนจะกระจายหายไป

ตอนที่ไข่มุกร่วงลงไป คริสเตียนที่อยู่ข้างล่างต่างจ้องฉากที่ ‘ทั้งสองมีจุดจบเหมือนกัน’ และเรียกชื่อของอังเดรด้วยความเจ็บปวด ทั้งยินดีที่เขา ‘กำจัดปีศาจ’ ได้สำเร็จ และเสียใจที่ต้องสูญเสียผู้แทนพระเจ้า ‘ผู้มีบุญบารมีสูงส่ง’ ไป

นักรบคนหนึ่งในมือยังคงถือดาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้น พบว่าไข่มุกที่ส่องแสงระยิบระยับเม็ดหนึ่งร่วงลงมา เขาจึงทิ้งดาบในมือ แล้วยื่นมือออกไปรับ

ไข่มุกเม็ดนั้นสว่างและบริสุทธิ์ ตอนที่เขากำมันไว้ในมือ มันก็กลายเป็นหยดน้ำและหายไปจากฝ่ามือของเขาทันที สิ่งที่ทิ้งไว้กับเขานอกจากความเย็นเยียบแล้ว ข้างหูก็ราวกับได้ยินเสียงถอนหายใจอันอ่อนโยนและแฝงความเขินอายของหญิงสาว

“อา...”

นั่นก็คือการลาจากโลกใบนี้ของผู้หญิงที่ชื่อบริตนีย์

ไฟในโรงหนังสว่างขึ้น ทุกคนที่นั่งอยู่ในโรงหนังกลับไม่มีใครลุกขึ้นเลย ความหมายของหนังเรื่องนี้ลึกซึ้งมาก ทำให้ทุกคนคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่น่าตื่นเต้นหรือฉากต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อลังการ ชีวิตของบริตนีย์และอังเดรที่น่าประทับใจจนถึงขีดสุด เสียงเพลงที่แทรกเข้ามาทำให้หนังเรื่องที่มีคุณภาพอยู่แล้ว ยิ่งดูสูงค่ามากขึ้นไปอีกขั้น

ทั้งคราบเลือด การหลอกลวง ความใสซื่อบริสุทธิ์ที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่กลับสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน

พระเจ้าคืออะไร คนคืออะไร ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ไถ่ชีวิตให้อังเดรคือพระเจ้าหรือบริตนีย์กันแน่ เรื่องนี้ผู้ชมทุกคนคงจะมีคำตอบของตนเอง

นี่เป็นผลงานที่สุดยอดมาเรื่องหนึ่ง เป็นการเล่าเรื่องของ ‘พระเจ้า’ ผ่านมุมมองใหม่

การแสดงของนักแสดงคุณภาพทั้งสอง ทำให้หนังเรื่องนี้มีชีวิตขึ้นมาและไม่มีอะไรสามารถแทนที่ได้

วินาทีนี้ ไม่ว่าจะซูเพ่ยเอินหรือแขกคนอื่นๆ ที่เลือกดูหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ในงาน ‘หนึ่งร้อยปีของคนสร้างหนัง’ ไม่มีใครสามารถแทนที่บริตนีย์ได้ เธอควรจะเป็นแบบนี้ ตาดำผมดำ เป็นผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์ความเป็นหัวเซี่ย ความไร้เดียงสาที่ไร้ที่พึ่งในตอนแรกและความบ้าคลั่งในตอนหลังล้วนถูกเธอแสดงออกมาได้อย่างสุดยอดมาก

ภาพลักษณ์ของเธอถูกประเมินใหม่ ก่อนหน้านี้ แม้ว่าซูเพ่ยเอินจะเคยได้ยินว่าคนที่แสดงเป็นบริตนีย์อาจจะเป็นลาร่า แต่ตอนนี้เชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูหนังรอบแรกไป คงจะคิดภาพบริตนีย์เป็นผู้หญิงคนอื่นไม่ออกแล้ว

นักแสดงนำทั้งสองสร้างคาแรกเตอร์ที่เด่นชัดมากให้กับตัวละคร จึงเกิดเป็นหนังที่ทั้งอดีต สิบปีหรือหลายสิบปีหลังจากนี้ ก็ไม่มีหนังเรื่องไหนยอดเยี่ยมได้เท่าเรื่องนี้อีก

เชี่ยซ่าเหลยโชคดีมาก ที่หานักแสดงได้เหมาะสมแบบนี้ จึงสร้างหนังมีคุณค่าแห่งยุคสมัยแบบนี้ออกมาได้

ถ่ายทอดชื่อเรื่องที่เหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่น้อย ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ

ถ้าจะบอกว่า ก่อนหนังจะฉาย หลังจากซูเพ่ยเอินดูทีเซอร์ของหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ จบแล้วเป็นห่วงว่าฉากเด่นถูกรวมอยู่ในทีเซอร์ทั้งหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นพอดูหนังจบ เขาก็ได้ลบล้างความคิดทั้งหมดของตนเองไปจนหมดสิ้น ถึงขั้นรู้สึกละอายใจและอับอายที่ตนเองอคติตั้งแต่ยังไม่ได้ดู

นี่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ยอดเยี่ยมระดับประวัติศาสตร์ นี่เป็นหนังทีดีพอที่จะกลายเป็นตำนาน

บริษัทบอร์เจียและบริษัทฮว๋านเต่าไม่ควรจะกังวลว่ารายได้ของหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ เพียงเพราะเจียงเซ่อเป็นคนหัวเซี่ย เพราะการที่เจียงเซ่อจะแสดงหนังสักเรื่อง เธอมักจะมีวิธีทำให้ทุกคนลืมว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ลืมสัญชาติของเธอไป ทำให้ทุกคนจดจ่ออยู่กับบทบาทในหน้าจอเท่านั้น

แม้ว่ายังมีหนังที่ไม่ได้ดู แต่ซูเพ่ยเอินได้ตัดสินใจลงคะแนนเสียงในมือให้กับหนังเรื่อง ‘‘The second coming of Jesus Christ’ ไปแล้ว

เขาไม่ใช่คนที่ชอบใช้อารมณ์ อายุอย่างเขา คุ้นชินกับการคิดหน้าคิดหลังก่อนตัดสินใจมาตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับได้รับผลกระทบจากอารมณ์ จนทำให้ตัดสินด้วยอารมณ์ชั่ววูบไป

ข้างหูราวกับยังมีเสียงถอนหายใจของบริตนีย์ เสียงหัวเราะพอใจของอังเดร เสียงตะโกนด้วยความโกรธของเหล่านักรบผู้กล้า เสียงคำรามของพื้นแผ่นดินดังก้องอยู่ ท่ามกลางเพลงตอนท้ายของหนัง ชื่อทีมงานเบื้องหลังปรากฏขึ้นและจบลงหลังจากนั้นสิบกว่านาที แต่กลับยังไม่มีใครลุกออกไป