webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

626

บทที่ 626 ของพระเจ้า

ความตายโอบล้อมบริตนีย์เอาไว้ และค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่ว จนแทบจะบดบังความสว่างของท้องฟ้าไปหมด

           เสียงนกกาเงียบลง ฉากนี้ถูกเชี่ยซ่าเหลยถ่ายทอดออกมาได้อย่างอลังการมาก ทำให้ทุกคนในโรงหนังต่างตะลึง

           ฉากนี้ความงามของเจียงเซ่อต่างจากในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping' ที่เดินอยู่ท่ามกลางสายฝนอย่างอ่อนโยน แต่แฝงความโหดเหี้ยมและบ้าคลั่ง ทำให้ทั้งโรงหนังต้องยอมสยบ

เชี่ยซ่าเหลยค้นพบอีกหนึ่งวิธีที่จะถ่ายทอดความสวยของเธอออกมา ดวงตาตามแบบฉบับคนหัวเซี่ยอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ตอนนี้ดูขลังเพราะการแต่งหน้า ตอนที่สายตาของเธอกวาดผ่านทุกคน ล้วนทำให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย

บทสวดของอังเดรกระทบลงบนร่างกายของเธอ เธอก้มลงมองใต้ฝ่าเท้าของตนเอง หมอกควันสีดำปกคลุมเธอเอาไว้ ดวงตาของเธอเหมือนมีมวลน้ำมหาศาลกำลังรวมตัวกัน ความโศกเศร้าที่มากมายจนยากจะทำลายกลายเป็นสีดำและหายไปในดวงตาของเธอ

ผู้ชมในโรงหนังเห็นฉากนี้แล้วต่างถอนหายใจเบาๆ จิตวิญญาณถูกหนังสะกดเอาไว้ เห็นใจกับสิ่งที่บริตนีย์พบเจอเป็นอย่างมาก

แต่วินาทีต่อมา เธอกลับเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องไปที่อังเดรและกลายเป็นความโกรธแค้นโอบล้อมเธอเอาไว้ ความมืดมนในร่างกายของเธอมากขึ้นกว่าเดิม เธอขยับปีกและเข้ามาหาอังเดร แต่กลับถูกพลังของอังเดรเล่นงานตั้งแต่เริ่ม เธอเสียหลักไปทีหนึ่งก่อนจะทรงตัวไว้ได้

ตอนที่คริสเตียนที่อยู่ข้างล่างเห็นฉากนี้ก็ได้สติ

            “นั่นมันปีศาจ นั่นมันปีศาจ!”

           นักรบในโบสถ์รีบล้อมอังเดรเอาไว้ ชักดาบตรงเอวออกมาเล็งเจียงเซ่อ

นักบวชต่างรีบอธิษฐานกับพระเจ้าให้คุ้มครองทุกคน

ภาพที่อังเดรขับไล่ ‘ปีศาจ’ ฝังลึกอยู่ในใจทุกคน รวมทั้งการกำจัด ‘พวกนอกรีต’ ของเขา ยังทำให้ ‘ปีศาจ’ ที่ซ่อนอยู่ในร่างของบริตนีย์ตื่นขึ้นมาอีกด้วย เหล่าคริสเตียนต่างเกิดความเชื่อมั่นใจตัวเขาและขยับเข้าไปใกล้เขาอย่างไม่กลัวตาย

บริตนีย์พยายามเข้ามาใกล้หลายครั้ง แต่กลับถูกนับรบขวางเอาไว้

ลมแรงที่เกิดขึ้นเพราะปีกของเธอพัดจนรูปปั้นที่อยู่หน้าสนามกระจัดกระจาย ก้อนหินใหญ่ที่ร่วงลงมาทำให้คริสเตียนผู้จงรักภักดีทั้งหลายต้องหลีกหนี

ท่ามกลามเสียงครึกโครม ฝุ่นควันปลิวกระจาย แต่ก็ยังมีประชาชนพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เธอเข้าใกล้อังเดร

ฉากต่อสู้นี้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับถูกเชี่ยซ่าเหลยถ่ายทอดออกมาอย่างลื่นไหลและถึงใจคนดู

สมแล้วที่เขาเป็นผู้กำกับที่รู้ใจผู้ชมมากที่สุด เขาสามารถถ่ายทอดฉากการต่อสู้หน้าสนามได้อย่างมีพลัง

ความบ้าคลั่งของเหล่าคริสเตียนที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ความจงรักภักดีของเหล่านักรบและหญิงสาวที่กลายเป็น ‘ปีศาจ’ หลังจากโดนหลอก วินาทีนี้ทุกอย่างต่างรวมอยู่ด้วยกันและแสดงเสน่ห์อันน่าหลงใหลที่ไม่อาจจะเปรียบเทียบด้วยคำพูดได้ออกมา

กล้องที่ซูมออกอย่างต่อเนื่องทำให้เห็นความบ้าคลั่งในตอนนี้ของบริตนีย์อย่างเต็มเปี่ยมและชัดเจน จนคนดูเข้าถึงอารมณ์จนถึงขีดสุด

เธอโจมตีหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ทั้งยังได้บาดแผลมามากมาย เธอหยุดการกระทำที่เหมือนรนหาที่ตาย มองอังเดรอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง สายตาราวกับกำลังสาปแช่ง

“ฉันจะกลับมาอีกแน่!”

เธอทิ้งคำพูดที่มีความหมายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเอาไว้ ขยับปีกและหายไปกลางอากาศทันที เหลือไว้เพียงแค่เหล่าคริสเตียนและทุกคนในโบสถ์ที่ตื่นกลัวไม่ได้สติ เพราะคำพูดของบริตนีย์ การต่อสู้อย่างดุเดือดราวกับมีความโหดเหี้ยมเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งระดับ

อังเดรมองบริตนีย์ที่หายตัวไป ท่าทางดูเคร่งขรึม เขากัดฟันแน่น กล้ามเนื้อตรงแก้มกลับกำลังสั่นเบาๆ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้เลย

คริสเตียนที่อยู่รอบๆ ตะโกนด้วยความดีใจเพราะบริตนีย์พ่ายแพ้กลับไป เขากระตุกมุมปากเล็กน้อย ในจอไหล่ของเขาดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ลูกกระเดือกขยับไปมา แต่บริเวณหน้าอกกลับนิ่ง ราวกับเป็นท่อนไม้ที่ไม่หายใจ

ฉากนี้เข้าถึงจิตใจของผู้ชมได้เป็นอย่างดี ทำให้ทุกคนยากที่จะห้ามความรู้สึกของตนเองได้

หลังจากบริตนีย์จากไป แม้ประชาชนจะได้รับชัยชนะเพียงชั่วคราว แต่การมีตัวตนอยู่ของเธอราวกับสร้างความมืดมนอีกขั้นให้กับมนุษย์บนโลกใบนี้ นักรบถูกเรียกออกมาทีละกลุ่มๆ เพื่อตามหาร่องรอยของ ‘ปีศาจ’ ทำทุกอย่างรักษาเกียรติยศของโบสถ์

ผู้คนยิ่งเชื่อมั่นในพระเจ้าและขอพรให้พระเจ้าคุ้มครอง เพื่อให้ได้รับการไถ่บาป

การ ‘ขอพร’ ในครั้งนี้ ทำให้ความปรารถนาของอังเดรเป็นจริงอย่างที่ไม่เคยมาก่อน ในนครรัฐวาติกันเสียงเรียกร้องให้เขาเป็นพระสันตะปาปารุนแรงมาก พระสันตะปาปาจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบทอด ยก ‘อำนาจทางศาสนา’ และสืบทอดตำแหน่งให้อังเดร

เขาได้รับสิ่งของ เงินทอง อำนาจ ฐานะและมีอำนาจที่ทุกคนต่างปรารถนา

แต่สิ่งที่ทำให้อังเดรรู้สึกกลัว คือร่างกายที่ให้ใครเห็นไม่ได้ของเขา

หลังจากเขาใช้บริตนีย์และคนอื่นๆ เป็นเครื่องเซ่นเพื่อแลกชีวิตอมตะกับพระเจ้า ร่างกายของเขาก็หยุดก้าวสู่ความตาย แต่เขากลับพบว่าตนเองนั้นไม่หายใจ ไม่จำเป็นต้องลิ้มรสอาหารอันโอชะและไม่ต้องนอนอีกต่อไป เวลาของเขาเหมือนหยุดอยู่ตอนที่ทำพิธีเซ่นสังเวย เขากลายเป็นอมตะตั้งแต่ตอนนั้น

แต่บทสวดนี้ ไม่สามารถรักษาร่างกายที่เคยถูกสาปของเขาได้ ท่อนล่างของเขายังคงเป็นโครงกระดูก แต่สูญเสียความรู้สึกหนาว ร้อนและเจ็บปวดไป เขากลายเป็นคนพิการ

ทุกวันนี้เขาทำได้เพียงแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งอันสูงส่ง เพื่อปิดบังความผิดปกติของตนเอง เขาต้องแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง

เขาเพียงแค่บอกต่อสาธารณชนว่า ในระหว่างที่กำจัดพวกนอกรีต ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เดินทางไปไหนต้องมีนักรบคอยพยุงและยานพาหนะคอยช่วย อาหารที่อร่อยมากแค่ไหน เขาก็ยังคงไม่อาจลิ้มรส ความอมตะนี้ กลายเป็นความหวาดกลัวที่ทำให้เขาทรมานเป็นอย่างมาก

ภัยพิบัติเข้ามาเยือนโลกมนุษย์ ปีศาจปกคลุมโบสถ์เอาไว้ ตอนที่บริตนีย์กำลังจะถูกทรมาน อังเดรก็รู้สึกเจ็บปวดมากเช่นกัน

ความเป็นอมตะ ทำให้เขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความสุขอีกต่อไป ตอนที่ร่างกายท่อนล่างของเขาสูญเสียความรู้สึกทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งเดิม เขาต้องปกปิดความผิดปกติของตนเอง ฝืนแสดงให้ทุกคนเห็นว่าตนเองเหมือนคนปกติ ไม่นานอำนาจและตำแหน่งก็กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทรมานเขา

เขาเริ่มคิดถึงบรรยากาศในชานเมือง ตอนที่เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและอับจน แต่กลับไม่เคยลำบากใจเลย

เขาอธิษฐานด้วยความศรัทธาทุกวัน สิ่งที่กังวลใจมากที่สุด อาจจะเป็นเพียงการซักชุดนักบวชแล้วเขาจะไม่มีเสื้อผ้าใส่

แต่ตอนนี้ เพราะอำนาจและตำแหน่งที่เปลี่ยนไป เรื่องที่เขาต้องกังวลมีมากขึ้นทุกวัน ตอนกลางคืนเขาไม่ได้นอน มีอาหารแต่ไม่สามารถทานได้ ไม่สามารถเข้าใกล้ใครได้ ให้ใครรู้ความลับของเขาไม่ได้และไม่มีใครที่เขาสามารถระบายความทุกข์ใจด้วยได้เลย

ตอนแรกเขาเคยพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์แบบนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับบริตนีย์ทำให้เขากลัว เขากังวลว่าถ้าการอธิษฐานครั้งต่อไปผิดพลาด สถานการณ์จะควบคุมยากกว่าเดิม

แต่ความโลภของคนยากจะห้ามได้ ถ้ากล่องแพนดอร่าถูกเปิดออก ก็ยากที่จะควบคุมจิตใจที่อยากรู้อยากลองและความทะเยอทะยานได้อีกต่อไป

เขาเลยใช้อำนาจที่มี แอบใช้นักรบในโบสถ์เป็นเครื่องเซ่น อยากให้ร่างกายของตนเองกลับเป็นเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ทำให้อังเดรหมดหวังคือ เขาไม่สามารถทำได้

พลังของ ‘พระเจ้า’ สามารถผลักดันเขาให้ไปข้างหน้าได้ สามารถให้ทุกสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่กลับไม่สามารถทำให้เรื่องราวทั้งหมดกลับไปที่จุดเริ่มต้นได้อีกต่อไป

เขาเสียนักรบในโบสถ์ไปไม่น้อย แต่สุดท้ายก็พลาดทั้งหมด จากตอนแรกที่เต็มไปด้วยความหวัง จนถึงความสิ้นหวังในตอนหลังและรังเกียจชีวิต ‘อมตะ’ นี้

อังเดรเคยลองฆ่าตัวตาย แต่หลังจากชีวิตของเขาถูกพระเจ้า ‘ประทานให้’ ชีวิตนี้ก็เหมือนไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป เขาทำทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่สามารถจบชีวิตของตนเองลงได้

เขาเคยลองใช้การอธิษฐานอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกครั้งหลังจากเซ่นสังเวย วิญญาณที่ ‘พระเจ้า’ ต้องการก็จะสูงขึ้นกว่าเดิม หรือเพราะ ‘พระเจ้า’ รังเกียจวิญญาณอันแปดเปื้อนของเขาแล้วกันแน่ ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้

ช่วงหลายปีที่เขาอยู่ในโบสถ์ เขาอ่านคัมภีร์ทุกเล่มที่มี หาวิธีแก้ ‘คำสาป’ แต่มันก็ไม่ได้ผล

ท้ายที่สุดก็รู้จากศิษย์เก่าแก่คนหนึ่งว่า ‘ปัญหาต้องให้คนที่ก่อแก้’ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ ‘ใคร’ ก็จะต้องจบลงที่ ‘คนนั้น’

ตอนดูถึงตรงนี้ ซูเพ่ยเอินและทุกคนในโรงหนังต่างรู้สึกเสียใจมาก คิดเชื่อมโยงไปถึงก่อนหน้านี้ ที่อังเดรเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แล้วคิดถึงสภาพของเขาในตอนนี้ ก็อดถอนหายใจไม่ได้

ในที่สุดบริตนีย์ก็กลับมาอีกครั้ง เธอนำพาความตื่นตระหนกและการสูญเสียมาสู่คริสตจักร

ในจอ มองทอดลงมาจากข้างบน สามารถเห็นพื้นดินอันขว้างขวาง คนเล็กเท่ามด แต่กลับไม่เสียดายความตายเพราะศรัทธา

ท่ามกลางเมฆหมอกที่ล้อมรอบอยู่ พระสันตะปาปาอังเดรออกมาด้วยตนเอง นักรบในโบสถ์เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและมาพร้อมความมุ่งมั่นที่จะกำจัดพวกนอกรีต แต่สิ่งที่ต้องการเสียดสีคือ สัญลักษณ์พระเจ้าของพวกเขา กลับเหมือนตายทั้งเป็นมาตั้งนานแล้ว

ปีศาจสาวขยับปีกและลงจากฟ้า ทำให้หมอกควันฟุ้งกระจาย บดบังท้องฟ้าและนำพาความมืดมนเข้ามาแทนที่

ฉากนี้ ผู้ชมจำนวนมากเคยเห็นในทีเซอร์ของหนังเรื่อง ‘‘The second coming of Jesus Christ’ แต่พอมาเห็นในหนังเต็ม ความตื่นเต้นที่ได้รับมากกว่าในทีเซอร์สั้นๆ สามนาทีในรูปแบบของ ‘อาหารจานด่วน’ อยู่มาก

มีการปูเรื่องเป็นลำดับขั้นในก่อนหน้านี้ การปรากฏตัวของบริตนีย์ในตอนนี้ ทำให้คนอย่างซูเพ่ยเอินแทบจะควบคุมตนเองไม่ได้

“ในที่สุด ฉันก็พบท่านอีกครั้ง อังเดร”

เมื่อเปรียบกับตอนที่เธอบินอยู่กลางลานในครั้งนั้น บริตนีย์ในวันนี้ มีพลังเหนือกว่าอยู่มาก

ถ้าจะบอกว่า ที่บริตนีย์ปรากฏตัวในตอนนั้นเป็นเพียงการเปิดตัว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอก็อันตรายจนถึงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

รูปลักษณ์ของเธองดงาม ทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ หากตอนที่ซูเพ่ยเอินคิดว่าฉากความ ‘บ้าคลั่ง’ ที่เธอกลายเป็น ‘ปีศาจ’ หลังจากรู้ว่าโดนหลอกนั้นการแสดงของเธอได้ไปถึงขีดสุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจียงเซ่อในตอนนี้ได้เปลี่ยนความคิดของเขาไปอีกครั้ง

ผมยาวปลิวไปตามสายลมอย่างเย็นเยียบ สายตาของเธอดูเยาะเย้ย ความเย็นชาแบบนั้น สร้างความประทับใจได้มากกว่าน้ำตาที่ไหลออกมาอยู่มาก

หลายปีก่อนหน้านี้ เธอเป็นเด็กสาวที่หลบอยู่ใต้รูปปั้น รอคอยอังเดรมาช่วยชีวิต เธอเคยถูกอังเดรใช้เป็นเครื่องเซ่นเพื่อเป็นของขวัญให้พระเจ้า อ่อนแอและไร้ซึ่งพลัง

แต่ตอนนี้ เธอกลับไม่ใช่เพียงแค่ปีศาจธรรมดา ความโกรธแค้นกัดกร่อนจิตใจของเธอ ทำให้เธอต้องชนะเท่านั้น!

เธอจับอังเดรเอาไว้ในกำมือ ดาบของนักรบไม่สามารถสร้างบาดแผลให้เธอได้เลยแม้แต่น้อย

ปลายนิ้วของเธอบีบอังเดรเอาไว้และจับตัวเขาขึ้นกลางอากาศ คนของโบสถ์ที่อยู่ข้างล่างยังคงพยายามช่วย ‘พระสันตะปาปา’ ของพวกเขา

“ฆ่าปีศาจร้าย ฆ่าปีศาจร้าย...”

นักรบและชาวคริสเตียนต่างตะโกนคำขวัญ อังเดรถูกบีบคอ แต่ว่าเขากลับดูนิ่งมาก

‘ปีศาจ’ ตรงหน้าที่ทุกคนต่างหวาดกลัว เขากลับกำลังจ้องสีหน้าของเธออย่างพินิจ

ร่างกายของเธอมีควันสีดำเหมือนเป็นวิญญาณอาฆาตที่ยังคงโกรธแค้น ผิวขาวเมื่ออยู่ท่ามกลางควันสีดำก็ยิ่งดูแล้วขาวมากเป็นพิเศษแต่ก็ดูผิดปกติด้วยเช่นกัน

พอเขาคิดถึงบริตนีย์ ภาพในหัวคือเธอที่นั่งงอตัวและสั่นอยู่ใต้รูปปั้นพระเจ้า รอให้เขาเข้าไปช่วย

“เธอฆ่าฉันไม่ได้หรอก”

เขาพูดระคนหัวเราะ “นี่เป็น ‘ความเมตตา’ จากพระเจ้า” เขามีความหมายแอบแฝงในคำพูดนี้

นัยน์ตาของเธอดำจนเกือบจะกลายเป็นสีน้ำเงิน มันมีแสงประกายแปลกๆ บางอย่างซ่อนอยู่ ประกอบอยู่บนใบหน้าที่ขาวซีดและไร้ซึ่งความสว่างของเธอ เหมือนเป็นบ่อน้ำแห่งความตายสองบ่อที่ชวนขนลุก

นิ้วอันเรียวยาวของเธอบีบคอของเขาแน่น เขากลับเหมือนไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย

“ฉันไม่จำเป็นต้องหายใจอีกต่อไปแล้ว เพราะฉันเป็นอมตะ”

ตอนนี้คำพูดของอังเดรทำให้ในสายตาของบริตนีย์เต็มไปด้วยความแค้น เหมือนลมพายุกำลังจะเข้ามาเยือนและทับถมเขา

ความสงบของเขาและความโกรธของเธอกลายเป็นข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนมาก

ตอนที่ทุกคนในโรงหนังล้วนรอคอยให้ผู้ถูกกระทำอย่าง ‘ปีศาจ’ และ ‘หลวงพ่อ’ ที่รูปลักษณ์ภายนอกดูมีความเมตตาได้เจอกัน การเสียดสีครั้งยิ่งใหญ่เหมือนเป็นดาบคมที่แทงเข้าไปในใจของผู้ชมทุกคน

ใบหน้าของผู้ถูกกระทำเต็มไปด้วยความโกรธแค้น หมดหวังอย่างเป็นที่สุด แต่ใบหน้าของคนที่ก่อโศกนาฏกรรมทั้งหมดนี้กลับมีรอยยิ้มและนิ่งเฉยมาก

“เธอก็รู้ว่าฉันใช้พวกเธอเป็นเครื่องเซ่น จนได้ชีวิตอมตะ” เขายื่นมือออกมาและหลับตาเพื่อให้สายลมพัดผ่านผมลอนที่เริ่มขาวของเขา แต่เขากลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตาจากธรรมชาตินี้ได้เลย เขาถูกบีบคอ แต่เขาก็ยังคงตอบโต้กับบริตนีย์ได้ตามปกติ

ความหวาดกลัวที่ถูก ‘ปีศาจ’ ครอบงำและควบคุมเหมือนคนปกติ เขากลับไม่รู้สึกถึงมัน การข่มขู่ของเธอทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเขาเลย

“หุบปาก!” บริตนีย์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย รัดคอของเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม ภายใต้ริมฝีปากแดง ฟันของเธอขาวและเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ วินาทีนี้ความโกรธแค้นของเธอมีความเจ็บปวดแทรกเข้ามา

เสียงกรีดร้องของเธอเหมือนเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดหลังจากถูกทำร้าย ทำให้อังเดรหัวเราะออกมา

“‘ปีศาจ’ ก็กลัวเป็นเหรอ” ตอนที่เขาพูดคำนี้เหมือนกำลังจงใจหาเรื่อง แต่ซูเพ่ยเอินกลับสัมผัสได้ถึงความอิจฉา การต่อบทของโดนัลด์และเจียงเซ่อปะทุออกมาในฉากนี้ สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนได้อย่างน่าประทับใจ

“หุบปาก!” เธอตะโกนด้วยความโกรธอีกครั้ง “หุบปาก!”

อังเดรทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้ ทำลายชีวิตของเธอ ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ

“ฉันจะฆ่าแก” เธอพึมพำเบาๆ และไม่ปกปิดความโกรธแค้นของตนเองเลยแม้แต่น้อย

“ตายน่ะเหรอ” อังเดรยื่นมือออกไปจับข้อมือของเธอเอาไว้ “บางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ”

เธอไม่สามารถฆ่าเขาได้จริงๆ ไม่ว่าจะใช้วิธีใด เธอก็ไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายได้เลย

อังเดรทำถูกแล้ว เขาใช้ดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ แลกความเป็น ‘อมตะ’ จากพระเจ้า วินาทีนี้ความหมดหวังของบริตนีย์ท่วมท้นไปทั้งโรงหนัง

จากอีกมุมหนึ่ง จุดจบของทั้งสองถือว่า ‘เหมือนกัน’ เขาถูกขังอยู่ในคำสาปแห่งความเป็น ‘อมตะ’ เธอจมปลักอยู่ท่ามกลางความแค้น สำหรับการถูกเยาะเย้ย เป็นสิ่งที่ทั้งสองไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

เธอนึกถึงบทสวดที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ นี่เป็น ‘คำสาป’ ที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปมากที่สุด เธอหมดความอดทนกับชีวิตแบบนี้แล้ว เธอเริ่มท่องบทสวดบทนั้น หลังจากรู้ว่าไม่สามารถใช้วิธีปกติฆ่าอังเดรได้ “พระเจ้าบนสรวงสวรรค์...”

ตอนที่อังเดรได้ยินเธอส่องบทสวดนี้ เขาก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา เขาหัวเราะรุนแรงมาก ถ้าเขามีน้ำตา บางทีตอนนี้เขาอาจจะน้ำตาอาบหน้าไปแล้ว

“หลายปีก่อนหน้านี้ ฉันได้บทสวดที่สามารถสื่อสารกับพระเจ้าจากนักรบจากพระวิหารในกรุงเยรูซาเลมที่ชื่อเชอรีน ถ้าท่องแล้ว จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ...”

เขาเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องที่เขาสูญเสียเชอรีน แล้วก็ได้รับพลังอำนาจดั่งที่ต้องการและพูดถึงเรื่องที่ตนเองช่วยบริตนีย์เอาไว้

“....ฉันถูกคำสาป ทำให้ฉันบาดเจ็บหนัก”