webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

625

บทที่ 625 การไถ่บาป

‘สูด’ ซูเพ่ยเอินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จับที่วางมือของเก้าอี้ในโรงหนังเอาไว้

เขาเคยเห็นทีเซอร์และรู้จากในทีเซอร์ว่า บริตนีย์จะถูกอังเดรช่วยเอาไว้ แต่ตอนนี้กลับยังคงได้รับผลกระทบจากสายตาที่เต็มไปด้วยความกลัวอย่างเป็นที่สุดของเธอและกังวลแทนเธออย่างอดไม่ได้

ในหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ คุณภาพด้านฝีมือการแสดงของเจียงเซ่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ตั้งแต่บุคลิกภาพภายนอกในตอนนั้นจนถึงความรู้สึกภายในใจตอนนี้ เธอใช้ความรู้สึกแสดงความกลัวของบริตนีย์ ฝีมือการแสดงพัฒนาขึ้นมาก แม้กระทั่งผู้ชมยังได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเธอ

และตอนที่เธอถ่ายฉากนี้ อีกฝั่งคือเอ็กซ์ตร้า ‘ปีศาจ’ ปลอม แต่เธอกลับสามารถแสดงความรู้สึกจริงกับ ‘ปีศาจ’ ปลอมได้ แม้จะรู้ดีว่าเป็นของปลอม แต่สัญชาตญาณกลับแพ้ความหวาดกลัวที่เธอสร้างขึ้นมาจนได้รับผลกระทบต่อความรู้สึกของเธอไปด้วย

การจะทำให้เกิดความรู้สึกแบบนี้ได้ เธอจะต้อง ‘กระตุ้น’ ตนเอง ก่อนจะ ‘กระตุ้น’ ผู้ชม

ความสามารถแบบนี้ เมื่อเปรียบกับตัวละครจางยวี่ฉินในเรื่อง ‘Evil’ ที่ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงในเทศกาลหนังฝรั่งในตอนนั้นแล้ว ดูโดดเด่นกว่ามาก

จนถึงตอนนี้ซูเพ่ยเอินจึงเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงที่เชี่ยซ่าเหลยยอมรับความกดดันโดยการแหกกฎเลือกเธอในหนังฟอร์มยักษ์แบบนี้แล้ว

เธอเหมือนเป็นดินเหนียวที่ถูกผู้กำกับแต่ละคนปั้นเป็นตัวละครที่แตกต่างกันออกไปและสมจริงเป็นอย่างมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้กระทั่งเขาเองก็คงบอกไม่ได้ว่าหนังเรื่องไหนเป็นตัวแทนของเธอ แต่ทุกตัวละครที่เธอสร้างขึ้น ล้วนกลายเป็นตำนานที่ไม่อาจจะลอกเลียนแบบได้ เธอตีตราที่เป็นเอกลักษณ์เธอเอาไว้ ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้อีกต่อไป

ผู้กำกับที่เคยร่วมงานกับเขา สิ่งที่ชื่นชอบมากที่สุดคงจะเป็นความ ‘ไม่มีจุดเด่น’ แต่สามารถทุ่มเทเพื่อบทหนังเพื่อตัวละครในหนังได้

‘ปีศาจ’ ค่อยๆ เข้าไปทีละก้าวๆ บริตนีย์งอตัวอยู่ตรงมุมของรูปปั้นพระเจ้า รูปปั้นพระเจ้าอันเย็นเยียบไม่สามารถให้ในสิ่งที่เธอขอให้ กล้องค้างอยู่บนใบหน้าของเธอ สายตาของเธอเผยความหวาดกลัวแต่กลับหดหายไปพร้อมร่างกายของเธอและกำมือทั้งสองข้างแน่น ยังคงอยู่ในท่าทางอธิษฐาน

เธอควบคุมอารมณ์ทั้งความหมดหวังและความหวังที่อยู่ภายใต้จิตใจได้เป็นอย่างดี ตอนที่ ‘ปีศาจ’ ยื่นมือออกมาทางเธอ เธอหยุดชะงักไปและขยับเข้าหารูปปั้นพระเจ้าตามสัญชาตญาณ ทำให้ทุกคนต่างตื่นเต้นไปด้วย

วินาทีที่จนตรอก ในที่สุดอังเดรก็มาถึง ตอนที่เสียงสวดของอังเดรดังขึ้น ‘ปีศาจ’ ก็ส่งเสียงคำรามแห่งความหมดหวังออกมา ร่างอันใหญ่โตของมันถูกบทสวดทำลาย “ไม่ต้องห่วง” เขายื่นมือไปหาเด็กสาว “ฉันจะช่วยเธอเอง”

ฉากนี้เคยปรากฏในทีเซอร์ บทพูดที่ทำให้ตื่นเต้นจนถึงขีดสุด ตอนนี้ พอมาอยู่ในหนังเต็ม กลับทำให้ซูเพ่ยเอินประทับใจเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าฉากก่อนหน้านี้ การที่อังเดรใช้เชอรีนเป็นเครื่องเซ่นเพราะแลกกับพลังอันยิ่งใหญ่จะน่ารังเกียจมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำลายความอบอุ่นและความประทับใจตอนที่เขายื่นมือไปหาบริตนีย์ได้เลย

ความ ‘อ่อนแอ’ ของบริตนีย์ ทำให้เห็นว่านอกจาก ‘ความโหดเหี้ยมและไร้ยางอาย’ แล้ว อังเดรก็ยังหลงเหลือความเป็นคน ความขัดแย้งและซับซ้อนแบบนี้ สามารถถ่ายทอดความเป็นคนออกมาได้สมจริงมากกว่า ทำให้อังเดรเป็นตัวละครที่สมจริงและดูมีชีวิตมากขึ้น

ซูเพ่ยเอินรู้สึกว่าตนเองควรจะล้มเลิกความคิดว่าความกลัวที่เธอแสดงออกในหนังเรื่อง ‘Evil’ เป็นฝีมือการแสดงที่พัฒนาไปถึงจุดสูงสุดของเธอ ตอนนี้พอเธอมาแสดงกับอังเดร มันก็ได้เปลี่ยนความคิดที่ซูเพ่ยเอินมีต่อเธอไปอีกครั้ง

เธอเข้ากับอังเดรได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความดีใจจากการรอดพ้นจากความตาย ถูกเชี่ยซ่าเหลยถ่ายทอดออกมาได้ประทับใจและซาบซึ้งมาก

บริตนีย์ยื่นมือออกไปอย่างสั่นๆ วินาทีนี้อังเดรเหมือนเป็นผู้ไถ่ถอนชีวิตให้เธอ

คำสาปที่ ‘ปีศาจ’ ท่องเพื่อตอบโต้ก่อนตายกระทบบนร่างของอังเดร ในโรงหนังเสียงกรีดร้องได้ดังขึ้นอีกครั้ง

สำหรับคนในชานเมือง ค่ำคืนนี้ เป็นวันสิ้นโลกอย่างที่พระเจ้าเคยกล่าวเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย อังเดรส่ง ‘ปีศาจ’ ทุกตนกลับไปนรกขุมลึก ในขณะที่แสงสว่างค่อยๆ มาเยือนขอบฟ้า ใบหน้าของเขาก็ขาวซีดไปหมด

ผู้โชคดีที่ถูกเขาช่วยชีวิตเอาไว้ตามติดอยู่ข้างกายเขาท่ามกลางแสงแดดด้วยความดีใจที่รอดมาได้ และเจ็บปวดกับญาติมิตรที่เสียชีวิตเพราะ ‘ปีศาจ’ เมื่อคืนที่ผ่านมา

ตอนนี้อังเดรเป็นที่รู้จักของทุกคน เขากลายเป็นผู้ช่วยชีวิตให้กับคนทั้งเมือง

การที่เขากำจัดสิ่งชั่วร้ายและ ‘ปีศาจ’ ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วนครรัฐวาติกัน

ศูนย์กลางคริสตจักรของนครรัฐวาติกันส่งจดหมายมาเรียกตัวเขา พระสันตปาปาเตรียมจะต้อนรับเขาด้วยตนเองและทำพิธีให้กับนักบวชผู้จงรักภักดีอย่างเขา

พลังและอำนาจที่เขาขอจากพระเจ้าโดยใช้เชอรีนเป็นเครื่องเซ่นตอนนี้ได้กลายเป็นจริงแล้ว

หลังจากออกจากชานเมือง สามารถจินตนาการได้เลยว่า หนทางข้างหน้าของเขาจะต้องโรยไปด้วยกลีบดอกไม้และความเคารพนับถือแน่นอน การต้อนรับของพระสันตะปาปา ทำให้ปมด้อยในตัวของเขาได้รับการชดเชย หมายความว่า เขาได้อำนาจจากพระเจ้าจากการ ‘อธิษฐาน’ ในครั้งนี้จริงๆ

อย่างที่เขาอธิษฐานเอาไว้ เขาจะได้เป็นพระสันตะปาปาคนต่อไป โดยมีพระเจ้าคอยคุ้มครอง มีอำนาจในนครรัฐวาติกัน แสดงว่ายุคของอังเดรกำลังจะมาถึงแล้ว

ผู้คนในชานเมืองไปส่งอังเดรอย่างมีความสุข ก่อนไป เขาได้พาบริตนีย์ที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้ไปด้วย ญาติพี่น้องของเธอตายเพราะ ‘ปีศาจ’ อาจจะเป็นเพราะความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยมที่เด็กคนนี้มีต่อเขาหรืออาจจะเป็นเพราะลึกๆ แล้วอังเดรรู้ว่าการที่เธอไม่มีที่พึ่งเกี่ยวข้องกับ ‘พลังจากพระเจ้า’ ที่เกิดขึ้นเพราะตนเอง เพราะฉะนั้นเขาจึงพาบริตนีย์มุ่งไปยังกรุงโรมพร้อมความขัดแย้งในจิตใจ

เขาได้พบกับพระสันตะปาปา กลายเป็นวีรบุรุษของประชาชน

ในชานเมือง เรื่องราวของเขาเป็นที่ติดตามของเหล่าสาวก ทุกคนเชื่อว่าการต่อสู้ครั้งนั้นเป็นพลังจากพระเจ้า ชื่อเสียงของอังเดรโด่งดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลายเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของพระสันตะปาปา

เขาไม่ใช่นักบวชจนๆ ในชานเมืองที่ไม่มีใครให้ความสำคัญเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เขากำลังจะกลายเป็นพระสันตะปาปาในอนาคตและปกครองอาณาจักรของศาสนาอันยิ่งใหญ่นี้

แต่ในอีกด้านของความสำเร็จ อังเดรสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเริ่มผิดปกติ

ตอนที่เขาช่วยชีวิตบริตนีย์ คำสาปก่อนตายของ ‘ปีศาจ’ นั้นส่งผลต่อเขา ตอนแรก เขาสังเกตเห็นว่านิ้วเท้าของเขากลายเป็นโครงกระดูก และคำสาปนี้ไม่อาจลบล้างได้

เขาได้อ่านคัมภีร์ในนครรัฐวาติกัน ลองใช้น้ำมนต์ทั้งหมดที่มี แต่ก็ไม่สามารถลบล้างคำสาปจากนรกได้

พลังจากคำสาปรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกแค่ใต้ฝ่าเท้า ต่อมาค่อยๆ ลามไปถึงน่องและเข่า ลามไปถึงเอว หน้าอกจนกระทั่งแขน

และพลังจากคำสาปเหล่านั้นรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายของตนเองกำลังเน่าเปื่อยอย่างไร ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเขา เขาเริ่มจะเดินไม่ไหวแล้ว

ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันเขาจะต้องตาย

ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการรู้ว่าตนเองกำลังจะตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาเพิ่งจะได้ครอบครองอำนาจและพลัง เขาจะยอมได้อย่างไร

อังเดรทุ่มเททั้งพลังกายและพลังใจกว่าจะมีวันนี้ เขาถึงขั้นยอมสูญเสียเชอรีน เขากำลังจะได้เป็นพระสันตะปาปา เขาเป็นวีรบุรุษของผู้คน แต่เขากลับมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว

ในสถานการณ์แบบนี้ อังเดรนึกถึงบทสวดเรียกพระเจ้าอีกครั้ง เขาตัดสินใจจะใช้การเซ่นสังเวยและขอแลก ‘ความเป็นอมตะ’ จากพระเจ้า

ความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด ประตูที่ชื่อว่า ‘ความโลภ’ ถ้าถูกเปิดออกแล้วก็ยากที่จะปิดลงได้อีกครั้ง

อังเดรไม่เพียงแค่ต้องการชีวิตอมตะจากพระเจ้า เขายังต้องการ ‘พลังจากพระเจ้า’ เพื่อให้ชื่อเสียงของตนเองโด่งดังอย่างที่ไม่เคยมีใครมีมาก่อน

แต่การขอพรกับพระเจ้า ต้องใช้วิญญาณอันบริสุทธิ์เป็นเครื่องเซ่น ตอนนั้นเขานึกถึงบริตนีย์ขึ้นมา

เธอเป็นหนึ่งในผู้โชคดีในค่ำคืนนั้น เพราะถูกอังเดรช่วยและเชื่อใจเขามากเป็นพิเศษ เธอเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ เคารพและภักดีต่อพระเจ้าเป็นอย่างมาก ถ้าใช้เธอเป็นเครื่องเซ่น บางทีความปรารถนาของเขาอาจจะเป็นจริงได้

ตอนนั้นเชอรีนเคยบอกว่า บทสวดนี้ ยิ่งขอมากก็ยิ่งต้องสูญเสียเยอะ หลังจากอังเดรตัดสินใจแล้ว ก็ยิ่งอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยบริตนีย์มากกว่าเดิม

สำหรับบริตนีย์แล้ว มันเป็นความทรงจำที่มีค่ามาก

ตอนที่บริตนีย์ถูกอังเดรเอาตัวขึ้นแท่นในฐานะเครื่องเซ่นที่จะใช้สังเวย เธอก็ยังคงเชื่อใจในตัวอังเดร เป็นอย่างมาก

หน้ารูปปั้นใหญ่ที่อยู่ตรงกลางนครรัฐวาติกัน คริสเตียนที่ได้ยินข่าวก็รีบล้อมกันมาดูพลังจากพระเจ้า

บุคคลนอกรีตหลายคนที่ถูกคำสาปของ ‘ปีศาจ’ ถูกมัดเอาไว้ และห้อยอยู่กลางอากาศ ท่อนล่างของอังเดรไม่มีความรู้สึกแล้ว คำสาปจากมนต์ดำกลืนกินความสามารถในการเคลื่อนไหวของเขา เขาถูกนักรบพยุงขึ้นเวที

ทันทีที่เขาปรากฏตัว ประชาชนก็ร้องเรียกชื่อเขาอย่างบ้าคลั่ง แขนของเขาเริ่มที่จะไม่สามารถขยับได้แล้ว ท่ามกลางชุดนักบวช ท่อนล่างของเขาไร้ความรู้สึก ตรงหน้าอกกลายเป็นโครงกระดูก ตอนที่เขาขยับตัว ยังสามารถได้ยินเสียงกระดูกกระทบกัน ส่งเสียงดัง ‘กึกกึก’ เบาๆ ลอดออกมา

ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้เขากังวลใจ เชี่ยซ่าเหลยแสดงความกระวนกระวายนี้ของเขาผ่านกล้องออกมา คริสเตียนที่อยู่ข้างล่างตะโกนเสียงดัง “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่...”

“ท่านมุขนายก...”

เสียงทั้งหมดนี้กลับถูกลบล้างออกจากหูของอังเดร เสียงที่เขาได้ยินมีเพียงแค่ ‘กึกกึกกึก’ ของโครงกระดูกที่กระทบกัน เขาถึงขั้นยากที่จะเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ได้ ราวกับกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าคนรอบข้างจะได้ยิน ทุกการเคลื่อนไหว เขาล้วนแอบดูปฏิกิริยาของคนรอบข้าง

ความหวาดกลัวนี้ ถูกเชี่ยซ่าเหลยถ่ายทอดออกมาพร้อมการเสียดสี

เขายังคงมองบริตนีย์ สายตาดูสับสน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเชื่อใจในตัวเขา โดยรู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เขาจะเสียเวลาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ทุกวินาทีที่ผ่านไป เขาล้วนรู้ถึงพลังชีวิตที่หดหายไป 

วินาทีต่อไป ถ้าหัวใจของเขาหยุดเต้นอย่างกะทันหัน เขาอาจจะตายเสียที่นี่ก็ได้

ถึงตอนนั้นทุกคนจะรู้ความลับของเขา จะเผาร่างกายของเขา ทุกอย่างที่เขาทำก่อนหน้านี้จะกลายเป็นศูนย์ เขาจะไม่ได้รับความเคารพนับถือ จะไม่ได้เสพสมกับรสอาหารอันโอชะ ไม่สามารถสูดอากาศอันบริสุทธิ์นี้ได้อีกต่อไป ถึงขั้นที่ขึ้นแท่นนี้ก็ยังมีคนคอยพยุง

“พระเจ้าผู้สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์อันสูงสุด ข้าคือศิษย์ผู้จงรักภักดีต่อท่าน”

เขาเริ่มท่องบทสวด ร่างกายของบริตนีย์และพวก ‘นอกรีต’ เริ่มมีควันลอยออกมา ใบหน้าของพวกเขาเผยความเจ็บปวดและส่งเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

บริตนีย์ยังคงพยายามอดทนต่อความเจ็บปวด เธอนึกถึงพิธี ‘ขับไล่ปีศาจ’ ที่อังเดรพูดถึงและเธอเริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

ทุกคนในโรงหนังรู้จุดจบของบริตนีย์ดี ใบหน้าต่างเต็มไปด้วยความไม่จำยอม ซูเพ่ยเอินถอนหายใจยาว ได้ยินอังเดรท่องขึ้นมาว่า “ข้าขอใช้บริตนีย์...เป็นเครื่องเซ่นสังเวย ด้วยความเคารพนับถือที่ข้ามีต่อท่าน ขอให้ท่านประทานความอมตะให้แก่ข้า...” เขาพูดถึงตรงนี้ บริตนีย์ที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดก็เบิกตาโต

เธอถูกเผาจนไม่เหลือสภาพแล้ว ความเจ็บปวดบนใบหน้าของเธอเห็นแล้วชวนให้ปวดใจ หญิงสาวที่ไม่ได้กรีดร้องเลยแม้แต่คำเดียวตอนถูกไฟร้อนคลอกตัว นิ่งเงียบอยู่ท่ามกลางเสียงสวดของอังเดรมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่ออังเดรเอ่ยชื่อเธอ บอกว่าใช้เธอเป็นเครื่องเซ่น ความเงียบสงบของเธอก็หยุดลง เธอหันไปอย่างแรง อังเดรเหมือนจะรู้แล้วว่าแผนของตนเองถูกจับได้

“…ตราบชั่วฟ้าดินสลาย...”

“อย่า อย่า คุณพ่อ...”

วินาทีนี้ รู้แล้วว่าตนเองโดนหลอก เธอเริ่มดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดเหมือนมดที่ใกล้ตาย

“อย่า อย่า....”

ควันไฟปกคลุมร่างกายของเธอเอาไว้ ความโกรธจากการถูกหลอกทำให้เสียงกรีดร้องของเธอกรีดแหลมกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องเซ่น

ทุกคนต่างตะโกน

“ขับไล่พวกนอกรีต เผามัน เผามันเสีย!”

การดิ้นรนของบริตนีย์ในวินาทีนี้ ทำให้อังเดรปวดใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้อ่อนโยนและสงบเสงี่ยมคนนี้ หลังจากที่รู้ความจริง ความโกรธของเธอปะทุออกมาได้ร้ายแรงกว่าการตอบโต้ของเชอรีนเสียอีก

“คุณพ่อ...”

นักรบรีบพุ่งไปข้างหน้าอยากจะพยุงอังเดรออกไป สัมผัสได้ว่าท่ามกลางบทสวดที่กำลังจะจบ ในขณะที่พวกนอกรีตค่อยๆ กลายเป็นเศษผงและหายไปจากโลกใบนี้ ความจริงร่างกายที่กลายเป็นโครงกระดูกของเขาควรจะเริ่มหยุดแล้ว

แต่เขาสัมผัสได้ว่า คำสาปจากมนต์ดำที่กำลังกัดกินชีวิตของเขา ราวกับหยุดอยู่ตรงหน้าอกของเขา ไม่มีท่าทีว่าจะลามขึ้นไป

แต่สิ่งที่ทำให้อังเดรรู้สึกไม่สบายใจ คือร่างของบริตนีย์ยังคงถูกเผาไหม้ เธอไม่ได้หายไปเหมือนคนอื่นๆ

เธอดิ้นรนส่งเสียงกรีดร้อง สถานการณ์ผิดปกตินี้ ทำให้ทุกคนกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ นักรบล้อมกันเข้ามามากขึ้นกว่าเดิม ผู้คนยิ่งล้อมกันเข้ามา เปลวเพลิงที่ล้อมบริตนีย์เอาไว้ก็ยิ่งลุกโหม ในที่สุด สีหน้าของคนในนครรัฐวาติกันก็เปลี่ยนไป

ในสนาม ท่ามกลางไฟร้อนรูปปั้นของพระเจ้ามีรอยร้าวเกิดขึ้น ประชาชนเองก็ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศที่เปลี่ยนไปนี้ ต่างรู้สึกไม่สบายใจ เสียงตะโกนก็ค่อยๆ เบาลงไปด้วย

ในดวงตาอันเคร่งขรึมของอังเดร ไฟในตัวของบริตนีย์เผาไหม้จนโซ่เหล็กที่มัดเธอเอาไว้หลายชั้นเป็นสีแดงก่ำ ท่ามกลางไฟร้อนแผดเผา ใบหน้าของเธอดูน่าสยดสยองเป็นอย่างมาก

หลังของเธอเริ่มบิดเบี้ยว เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะทะลุออกจากร่างกายของเธอ เธอพยายามทรงตัว วินาทีต่อไป เธอก็เงยหน้าขึ้นและส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ปีกสีดำทะลุออกจากหลังรับกับสายลมในทันที

‘สูด...’ เหล่าคริสเตียนส่งเสียงที่ทั้งตะลึงและหวาดกลัวออกมา ผู้คนที่เห็นฉากนี้ต่างถอยหลัง

อังเดรตะลึง รีบท่องบทสวดและปล่อยพลังไปทางบริตนีย์

ปีกสีดำที่อยู่บนหลังเธอกางออกและขยับเบาๆ เปลวเพลิงเหล่านั้นถูกดูดเข้าไปภายในร่างกายของเธอ เธอดึงโซ่บนร่างกายจนขาดพร้อมความโกรธ พลังของอังเดร ราวกับไม่สามารถทำอะไรเธอได้เลยแม้แต่น้อย

ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำก็แฝงไปด้วยความโหดเหี้ยม

ดวงตาที่กลอกไปมา ทั้งเลือดเย็นและเหี้ยมโหด เหมือนเป็นคนละคนกับบริตนีย์คนเดิม

วินาทีนี้ ซูเพ่ยเอินรับรู้ได้ถึงความโกรธแค้นหลังจากโดนเผาทั้งเป็นแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง เธออยู่บนที่สูง หยุดอยู่กลางอากาศ โดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ก็มีพลังมากพอที่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แค่ทีเซอร์สั้นๆ ในจอเล็ก ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้เลย ตอนนี้เมื่อมาฉายอยู่บนจอใหญ่มันก็ยิ่งทำให้สมจริงมากขึ้น