webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

607

บทที่ 607 ง้อ

หนังเรื่อง ‘Suspect’ เพิ่งจะเข้าสู่ช่วงตัดต่อ การกลับมายังตี้ตูของเจียงเซ่อนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ต้องเงียบและเรียบง่ายที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นที่ดึงดูดสายตา

เมื่อเทียบกับการแต่งตัวของเด็กสาวในรุ่นเดียวกันที่ต้องแต่งตัวให้สวยและโดดเด่นแล้ว เจียงเซ่อก็ถือว่าแต่งตัวได้ธรรมดาสุดๆ

ท่อนบนของเธอสวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายธรรมดาๆ ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อนพอดีตัว ชายเสื้อสอดเข้าไปในกางเกง ทำให้ได้เห็นรูปร่างที่อรชรอ้อนแอ้นได้อย่างชัดเจน

แต่ถึงแม้ว่าจะแต่งตัวธรรมดาๆ แต่บนร่างกายของเธอก็ยังมีเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ อยู่ดี

ข้อมือของเธอมีกำไลทองเส้นเล็กๆ มันขับให้ผิวของเธอดูขาวขึ้นอีกด้วย ทำให้ดูมีความเป็นผู้หญิงขึ้นมาอีกนิด ตอนที่เขาคว้าข้อมือเธอเอาไว้ ก็ดูเล็กลงไปถนัดตา

ในรถเปิดแอร์เอาไว้ หญิงสาวทั้งสองคนต่างก็ทำได้แค่มองดูเขาเปิดประตูเข้ามาอย่างช็อคๆ เขารีบยื่นมือไปจับเจียงเซ่อและตรวจดูบาดแผล แต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังและเคร่งขรึม

“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

เจียงเซ่อสายหน้า ผมของเธอสั้นมาก ทำให้ได้เห็นลำคอระหงของเธอได้อย่างชัดเจน ใบหูที่ขาวจนเหมือนจะโปร่งแสงนั้นก็มีตุ้มหูรูปปลาดาวเล็กๆ ติดอยู่ด้วย

พอเขาเห็นว่าเจียงเซ่อไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน ใจที่หายไปนานก็กลับมาเข้าที่เสียที และสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ผมของเธอ และได้เห็นถึงทรงผมที่ดูสะดุดตาของเธอนั่น

ผมของเธอที่ถึงแม้จะได้สไตล์ลิสต์ช่วยเซตให้เรียบร้อยแล้ว แต่เป็นเพราะว่ามันสั้นมากๆ เลยยากที่จะไม่ดึงดูดสายตาใคร

โชคดีที่ยังมีใบหน้าสวยๆ ของเธอ ทำให้ผมสั้นๆ นั้นให้ความรู้สึกที่ดูแตกต่างกันออกไป

เผยอี้ที่เพิ่งจะวางใจไปได้ไม่กี่วิ พอได้เห็นผมสั้นของเธอแล้ว ก็เริ่มปิดปากเงียบอีกครั้ง

ตั้งแต่ที่จำความได้ เขาก็ไม่เคยเห็นเจียงเซ่อตัดผมสั้นขนาดนี้มาก่อนเลย

การเลี้ยงดูลูกสาวของตระกูลเฝิงนั่น ต่างก็ต้องการให้ทุกคนมีความสง่างาม และมีกิริยาท่าทางที่เหมาะสมอยู่เสมอ และเฝิงหนานก็คือคนเดียวที่ดีที่สุดในนั้น เธอมีลักษณะท่าทางที่สง่างาม บุคลิกเป็นที่ชื่นชมของทุกๆ คน และเธอก็มักจะไว้ผมยาวสลวยอยู่ตลอด ดูสง่าและงดงามน่าหลงใหล

หรือแม้แต่ตั้งแต่ที่มาเกิดใหม่ เธอก็ยังคงรักษารูปร่างหน้าตาของตัวเองอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่เธอก็ไม่เคยที่จะปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม

นี่เป็นครั้งแรกที่เผยอี้ได้เห็นเธอผมสั้นขนาดนี้ เธอแต่งหน้าบางๆ และยังกอดเสื้อคลุมเอาไว้ในมือ สีหน้าเหมือนกับว่ายังตกใจและรับมือไม่ทันกับการมาอย่างกะทันหันของเขา แถมยังดูช็อคมากอีกต่างหาก

เผยอี้เองก็ไม่ได้โง่ แวบแรกที่ได้เห็นเจียงเซ่อ เขาก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมเจียงเซ่อถึงยังไม่อยากที่จะเจอกับเขา

“นายกลับตี้ตูมาได้ยังไง?”

เจียงเซ่อถูกเขาจับตัวไว้กลางทาง ยังไม่ทันได้รู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ ท่าทางอารมณ์ของเผยอี้ดูสงบนิ่งมากๆ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกแบบไหน แต่ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้น ที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกปวดหัว

“ก็พี่ไม่ไปหาผม ผมก็มาหานี่ไง” สีหน้าของเขาดูนิ่งๆ เป็นเพราะว่าเฉินซั่นยังนั่งอยู่ในรถด้วย จึงพยายามที่จะห้ามไม่ให้ตัวเองคว้าเธอมากอดเอาไว้

“ลงมาเถอะ เอาไว้กลับถึงบ้านแล้วค่อยว่ากัน”

ในเมื่อถูกเขาจับได้ขนาดนี้แล้ว เรื่องที่ปกปิดมานานก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าเขาจนได้ ตอนแรกก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย แต่เจียงเซ่อเองก็ดูจะสงบลงไปมากแล้ว

บางทีการที่เธอมาถูกเผยอี้จับตัวเอาไว้แบบนี้ อาจเป็นเพราะเรื่องการเดินทางกลับมาของเธอมันรั่วไหลออกไปก็ได้ เธอจึงหันไปพูดกับเฉินซั่นที่ถูกเผยอี้ทำให้ตกใจกลัวจนตัวสั่นว่า “กลับไปก่อนเลยค่ะ”

เฉินซั่นตกใจเผยอี้จนทำอะไรไม่ถูก หล่อนมาอยู่กับเจียงเซ่อได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่รู้ถึงการมีอยู่ของเผยอี้ แต่ก็น้อยมากที่จะได้มาเจอกับตัวใกล้ๆ แบนี้ ตอนที่เห็นเขามายืนอยู่ข้างรถ รังสีของเขาก็เหมือนกดหล่อนจนแทบไม่เหลือความโกรธใดๆ แล้ว

เจียงเซ่อถูกเผยอี้พาตัวไปแล้ว หล่อนก็เพิ่งจะได้สติขึ้นมา จึงรีบติดต่อหาเซี่ยเชาฉวินที่ตอนนี้กำลังหาทางหนีออกจากวงล้อมนักข่าวอยู่ เซี่ยเชาฉวินกำลังหาทางปลีกตัวออกมา จึงได้แต่กำชับหล่อนไปว่าไม่ต้องไปสนใจ

“แต่ว่าฉันกลัวว่าเขาจะทำร้ายเซ่อเซ่อเอา…” เฉินซั่นเอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรง พอหล่อนพูดจบ หล่อนก็เหมือนกับว่าได้ยินเซี่ยเชาฉวินหัวเราะขึ้นมา ตรงนั้นมันกำลังวุ่นวายมาก เฉินซั่นจึงไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า

“ไม่ต้องไปสนใจหรอก” เซี่ยเชาฉวินยังกำชับคำเดิม แต่ถึงแม้ว่าเฉินซั่นจะไม่รู้สึกวางใจ แต่พอเห็นว่ารถของเผยอี้ได้พาเจียงเซ่อออกไปแล้ว หล่อนเองก็กังวลแต่ก็คงไม่มีปัญญาที่จะตามไป

เจียงเซ่อกลับมาที่บ้านของเผยอี้ ตั้งแต่ที่เกิดใหม่มา เธอเองก็เคยมาอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง พอได้กลับมาอีกครั้งก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกที่แปลกตาอะไร

ภายในบ้านนนั้นมีคนมาคอยทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา เขาโทรไปสั่งให้คนนำอาหารมื้อเที่ยงมาส่ง เจียงเซ่อนั่งลงบนโซฟา และมองดูเขาเดินหยิบลูกท้อออกมาจากตู้เย็น เข้าห้องครัวไปครู่หนึ่ง และออกมาพร้อมกับมือที่สวมถุงมือเอาไว้ จานผลไม้และมีด จากนั้นก็ตามมานั่งข้างๆ เธอ

เธอยอมให้เขาคว้ามือไปสวมถุงมืออย่างว่าง่าย และมองดูเขาหยิบมีดขึ้นมาปอกเปลือกผลไม้ พลางคิดพิจารณาว่าจะอธิบายเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังอย่างไรดี

ตั้งแต่ที่เผยอี้กลับมาถึงเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ คงเป็นเพราะกำลังสบอารมณ์ตัวเองอยู่แน่ๆ เรือนผมที่ยาวสวยราวกับผ้าไหมของเธอถูดตัดออกไปแล้ว ไม่ใช่แค่ผู้ช่วยเท่านั้นที่รู้สึกเสียดาย เพราะแม้แต่เผยอี้เองก็เสียดายไม่ใช่น้อย

“นายกลับมาตี้ตูตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? บอกไปแล้วนี้ว่ารออีกหน่อยแล้วฉันจะไปหานายเอง?”

ปลายนิ้วของเธอแตะอยู่บนข้อมือของเขา สีผิวของเขายิ่งทำให้สีผิวของเธอดูขาวจนแทบจะมองทะลุได้ ราวกับเนื้อลิ้นจี่ที่ถูกเกะเปลือกออก ดูนุ่มนิ่ม และเห็นรอยเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน

“เมื่อวาน” เขาไม่ค่อยพูด เจียงเซ่อเดาว่า ท่าทางแบบนี้ คงกำลังโกรธเธออยู่แน่ๆ

ก่อนที่เธอจะเข้ากองถ่าย เธอก็ไปอยู่ที่คิวชูช่วงหนึ่ง หลังจากถ่าย ‘Suspect’ จบ เธอก็มีสภาพแบบนี้ไปเสียแล้ว อีกทั้งยังไม่มีการตั้งตัวอะไรเลยด้วย เรื่องนี้คงจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมากแน่ๆ

ในใจก็คิดพิจารณาไปด้วย พลางมองลูกท้อที่กำลังหมุนอยู่ในมือของเผยอี้อย่างเป็นจังหวะ มีดที่อยู่ในมือเป็นเหมือนปลาที่กำลังได้น้ำ ค่อยๆ หมุนไปเรื่อยๆ เปลือกบางๆ ของมันค่อยๆ ถูกลอกออก ดูไปดูมาก็เพลินตาดีไม่น้อย

“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่าต้องถ่ายหนัง ก็เลยต้องตัดผมทิ้ง ที่จริงยังไม่อยากให้นายรู้เร็วขนาดนี้ กะว่าเอาไว้เดือนหน้าไปหานายที่คิวชูแล้วค่อยบอกน่ะ”

เธอถอนหายใจออกมา ท่าทางเหมือนเสียใจอยู่บ้าง

“ถึงตอนนั้นแล้วผมก็น่าจะยาวกว่านี้แล้ว”

พอเขาได้ยินแบบนั้น มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ก็ชะงักไปเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่ไปถ่ายหนังเรื่อง ‘Suspect’ ผมคงคิดว่าพี่อยู่ในช่วงวัยต่อต้านแล้ว”

เจียงเซ่อขมวดคิ้ว พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังโกรธเธอมากจริงๆ

เธอยื่นมือไปแตะลงบนใบหน้าของเผยอี้ เผยอี้กำลังถือมีดเอาไว้อยู่ ถึงแม้ว่าจะกำลังโกรธอยู่จริงๆ แต่ก็กลัวว่าจะไปโดนเธอจนบาดเจ็บเข้า จึงวางมีดและผลไม้ในมือลงบนจานก่อน จากนั้นก็ถอดถุงมือออก และยอมให้เธอประคองหน้าให้หันไปมองเธอตรงๆ อย่างว่าง่าย จากนั้นก็ถือโอกาสกดตัวเธอลงกับโซฟา การที่เธอไม่ดิ้นขัดขืนถือว่าสามารถกล่อมให้เขายอมระบายความดื้อรั้นในใจออกมาได้เป็นอย่างดี

“นายโกรธเหรอ?”

ปลายนิ้วของเธอมันนิ่มและเย็น เวลาที่แตะสัมผัสบนใบหน้าของเขา ก็รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตอย่างไรอย่างนั้น ความเป็นห่วงที่สะสมมาหลายวันบวกกับการที่ได้เห็นผมของเธอถูกตัดออกไปแล้วแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เขาโมโหกว่าเดิม แต่แค่เธอลูบเขาแบบนี้ ก็ช่วยปัดเป่าความรู้สึกเหล่านั้นลงไปได้มากทีเดียว

แต่เขายังรู้สึกโกรธตัวเองอยู่ดี!

เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ตอนที่เธอเหมือนไม่อยากจะให้เขารู้เรื่อง ไม่อยากให้เขาเห็นหน้า ทั้งๆ ที่เขาเป็นห่วงเธอมากขนาดนั้นแท้ๆ แต่พอตอนนี้เธอมาจ้องตา มาสัมผัส มาถามแบบนี้แล้ว เขาก็เหมือนกับไม่รู้เลยว่าความตั้งใจที่แท้จริงมันหายไปไหนแล้ว

“หรือพี่ว่าผมไม่ควรที่จะโกรธอย่างนั้นหรือ?”

น้ำเสียงของเผยอี้ฟังดูน้อยใจสุดๆ ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันขนาดนี้ เขาเห็นเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเธอ ราวกับว่าทั้งหัวจิตหัวใจของเธอ มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

“ฉันก็คิดว่านายต้องโกรธแน่ๆ” เจียงเซ่อพยักหน้าอย่างจริงจัง “แต่แค่ไม่คิดว่าจะโกรธขนาดนี้”

เขาเม้มปาก ไม่พูดอะไรออกมา

เขากดตัวเจียงเซ่อเอาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว อยากจะดิ้น แต่ก็ไม่คงทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

ไหล่ของเขากว้างกว่าเธอมาก ร่างกายก็สมส่วนไปหมด ราวกับว่าทุกส่วนมันเต็มไปด้วยพละกำลังการที่เธอออกกำลังกายมาตลอดก็เหมือนว่าจะใช้ไม่ได้เลยเมื่ออยู่กับเขา พอโดนเขาคว้าข้อมือเอาไว้แบบนี้แล้ว เธอก็หมดหนทางที่จะดิ้นหนีจริงๆ

โซฟานี่นุ่มมากทีเดียว เธอถูกกักขังไว้อย่างแน่นหนาภายใต้ความนุ่มนวล ขยับหนีไปไหนไม่ได้เลย

“ที่ตัดผมก็เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นในถ่ายหนัง ไม่มีเหตุผลอื่นจริงๆ ที่ไม่ได้บอกนายก่อน ก็แค่กลัวว่านายจะกังวลเท่านั้นเอง” เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางของทั้งสองคนในตอนนี้เรียกได้ว่าใกล้ชิดกันมากจริงๆ ขาทั้งสองข้างของเธอยังเองพาดลงไปด้านข้างของโซฟาทำให้ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ หัวเข็มขัดของเผยอี้ก็กดทับอยู่บนต้นขาของเธอ ทำเอาเธอรู้สึกเหมือนโดนคุกคามแปลกๆ

“ผมได้ดูตัวสัญญาของเรื่อง ‘Suspect’ แล้ว และในนั้นก็ไม่เห็นว่าจะมีบอกให้ตัดผมนี่” เขาขยับตัวออกเล็กน้อย แล้วให้เธอยกขาขึ้นมาบนโซฟา แต่ก็ยังกดเธอเอาไว้เหมือนเดิม เหมือนว่าไม่คิดที่จะปล่อยออกแล้ว

“นี่จะต้องมีการเปลี่ยนเนื้อเรื่องแน่ๆ และพี่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลกับผม”

ระดับของเจียงเซ่อในตอนนี้ การที่ถ่ายหนังในหัวเซี่ย ก็จะต้องมีการแจกแจงและบอกรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้ให้ชัดเจน

ถ้าหากว่าทางกองถ่ายต้องการที่จะให้เจียงเซ่อตัดผมในระหว่างการถ่ายทำ จุดๆ นี้ก็ควรที่จะมีการบอกเอาไว้ในสัญญาของ ‘Suspect’ ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เผยอี้จำได้แม่น ว่าในสัญญาของเจียงเซ่อนั้นไม่มีข้อนี้ปรากฏอยู่เลย แต่ที่เธอบอกว่าที่ตัดผมเพราะต้องถ่ายหนัง งั้นก็แสดงว่าจะต้องมีการแก้บทกันหน้างานแน่ๆ

บวกกับข่าวที่ออกจากกองถ่ายในก่อนหน้านี้ เถาเฉินเองก็อยู่ในกองถ่าย ‘Suspect’ เซี่ยเชาฉวินก็ต้องบินไปที่ฝรั่งเศส ไม่ได้ไปที่กองถ่ายกับเธอด้วย ข้างๆ เธอก็มีแค่ผู้ช่วยไม่กี่คนที่คอยดูแล เรื่องที่เธอจะต้องตัดผม มันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเถาเฉินก็ได้

“ตอนที่เซ็นสัญญา ไม่เห็นจะมีบอกเลยนี่ว่าจะต้องตัดผมด้วย”

เจียงเซ่อรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าเขาจะสนใจเรื่องตัวสัญญาของเธอด้วย การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ มันทำให้ได้เห็นว่าเขานั้นใส่ใจกับเรื่องของเธอมากแค่ไหน เบื้องหลังแอบใส่ใจอะไรตั้งมากมาย แต่ต่อหน้าไม่เคยพูดถึงเลย

“แต่นายก็เป็นหุ้นส่วนของหัวอิ่งนี่ การที่ฉันมีอาชีพแบบนี้ นายจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเลยนะ”

เขายังคงขมวดคิ้วเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เธอพยายามจะพูดให้เขาขำ แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ เขาไม่ได้มีอารมณ์ขันเลยสักนิด แถมในแววตาก็มีแต่พายุที่กำลังก่อตัวขึ้น น้ำเสียงที่พูดออกก็ราวกับลมพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ

“เป็นเพราะเถาเฉินใช่ไหม? หรือว่าเป็นเพราะฮั่วจือหมิง?”

พอเขาถามออกมาแบบนั้น ยิ่งพูดออกมา น้ำเสียงก็ยิ่งเยือกเย็นมากขึ้น แถมเขายังเอามือไปลูบผมเจียงเซ่ออีกด้วย แรงกดดันแผ่ออกมายิ่งกว่าเดิม เหมือนเขากำลังรู้สึกโมโหเถาเฉิน แววตาดูดุดันน่ากลัวเป็นอย่างมาก

“อย่าโมโหสิ” เธอยกมือขึ้นลูบแขนเผยอี้ อยากจะทำให้เผยอี้คลายความโกรธลง “นายน่าจะรู้อยู่แล้วนี่ ถ้าหากว่าฉันไม่อยากจะตัดผม ใครก็มาเกลี้ยมกล่อมฉันไม่ได้หรอกนะ”

นี่คือโอกาสที่หาได้ยากมากจริงๆ การที่เธอได้ร่วมการกับเถาเฉินในหนังเรื่องนี้ ไม่มีใครยอมให้ตนเองเป็นตัวประกอบหรอก หญิงสาวทั้งสองคนเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนกัน จะไม่มีใครยอมใครทั้งนั้น

เจียงเซ่อก็มีจุดอ่อนของเจียงเซ่อเอง ไม่ว่าผู้กำกับที่เธอต้องร่วมงานด้วยเป็นคนนิสัยแบบไหน และไม่ว่าเธอจะมีความพยายามเท่าไหร่ แต่เรื่องที่เธอนั้นเข้าวงการหลังเถาเฉิน มันก็ยังเป็นเรื่องจริงอยู่ดี

ในด้านของฝีมือการแสดง เถาเฉินนั้นถือว่ามีประสบการณ์มากกว่าเธอมาก หล่อนเข้าวงการมานานหลายปีแล้ว เถาเฉินรู้ดีว่าควรที่จะควบคุมบรรยากาศได้ยังไง จะกดคนอื่นลงได้ยังไง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นขึ้นมา นี่คือฝีมือการแสดงที่เถาเฉินนำมาเป็นความมั่นใจของตัวเอง ไม่เคยมีใครที่จะหล่อนสงสัยในตัวหล่อน

หลังจากได้มีการเปิดกล้องหนังเรื่อง ‘Suspect’ ความตั้งใจของเถาเฉินเองก็อยู่ในสายตาของเธอมาโดยตลอด หล่อนมีชื่อเสียงมาหลายปี แต่ก็ไม่เคยที่จะปล่อยปละตัวเองเลย กับการที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันกับเธอ และบวกกับกฎของฮั่วจือหมิง ทุกวันหล่อนก็เป็นเหมือนเธอ มาถึงก่อนและกลับหลัง เป็นคนที่เหมาะกับการเป็นคู่แข่งของเจียงเซ่อจริงๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะหนังเรื่อง ‘Suspect’ ในครั้งนี้เธอตกลงไปในหลุมพรางของเซี่ยเชาฉวิน ทำให้ต้องติดอยู่กับบทบาทตัวเอกที่แสนโดดเด่น จนยากที่จะแสดงความสามารถหลายๆ อย่างออกมาแล้วล่ะก็ การรับมือกับเถาเฉินคงจะยากกว่านี้มาก ทุกๆ ฉากที่เธอจะต้องเข้ากับเถาเฉินนั้น สำหรับเจียงเซ่อแล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายสำหรับเธอมาก

เธอไม่เคยที่จะกล้าผ่อนคลายเลยสักวินาทีเดียว สำหรับการสร้างตัวละคร ‘ซูอี้’ ขึ้นมานั้น ถึงแม้ว่ามันจะมีจุดที่สามารถแสดงความโดดเด่นออกมาได้มากกว่าบทเฉินซวินหรานของเถาเฉิน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเถาเฉินที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วมานานหลายปีนั้น ถ้าหากว่าประมาทแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะโดนเถาเฉินกดลงจนไม่อาจกลับตัวได้อีก

ในการออกแบบหนังเรื่อง ‘Suspect’ นั้น นอกจากความสวยและความเจ้าแผนการของซูอี้แล้ว ก็ยังมีความลำพองใจและความเหนือกว่าอีกด้วย ตั้งแต่ตอนที่เธอส่ง ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ ไปเพื่อยั่วยุพวกตำรวจ ท้าทายกฎหมาย มองเห็นอู๋ชุนเหอที่เป็นถึง ‘คนใหญ่คนโต’ และเฉินซวินหรานที่เป็น ‘ผู้มีความยุติธรรม’ เป็นเหมือนของเล่นนั้น ก็สามารถทำให้เห็นถึงนิสัยของตัวละครตัวนี้ได้แล้ว

ในตอนนั้นที่เธอได้ปะทะฝีมือกับเถาเฉินในการถ่ายหนังครั้งแรก คนนอกอาจจะรู้สึกได้ถึงพลังเต็มเปี่ยมที่ปล่อยออกมา แต่จริงๆ แล้วระหว่างทั้งสองคนนั้นไม่เคยมีใครที่จะยอมอ่อนข้อให้ใครเลย

ตอนนั้นฮั่วจือหมิงชี้แนะเธอ เพื่อให้ตัวละครมีความสมจริงและน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น ตอนที่เขาแนะนำเธอในกองถ่ายนั้น เถาเฉินเองก็น่าจะสังเกตเห็นถึงจุดนี้ หล่อนจึงพยายามแสดงออกมาให้ดียิ่งกว่าเดิม

ขอแค่แสดงแบบนี้ไปจนกว่าจะถ่ายจบเรื่อง เมื่อหนังเข้าฉายเมื่อไหร่ กระแสที่จะเกิดขึ้นมาอย่างมากที่สุดก็คือการที่นักแสดงสาวทั้งสองคนนั้นสามารถตีเสมอกันขึ้นมาได้ ต่างก็แสดงออกมาได้อย่างสมจริงสมจัง

แต่ความจริงแล้วการวางบทตัวละครของฮั่วจือหมิงนั้น ไม่ว่าจะตอนจบหรือช่วงกลางเรื่อง ความ ‘บ้าคลั่ง’ ของซูอี้ก็กดเถาเฉินเสียจนมิดเลยทีเดียว

แต่ในระหว่างที่เถาเฉินและเจียงเซ่อทำการแสดงร่วมกันอย่างสุดความสามารถนั้น เถาเฉินก็พยายามที่จะพลิกกลับมาตีเสมอด้วยการทำให้ความ ’บ้าระห่ำ’ ของซูอี้แสดงออกมาไม่ได้ กับฉากที่ ‘โกนจนแขนขนขา’ มันทำให้ทุกคนและตำรวจคิดว่าเธอเป็นคนร้ายฆ่าคน สำหรับเจียงเซ่อแล้ว มันก็แค่เสียงฟ้าร้องที่ดัง แต่กลับมีแค่ฝนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในเรื่อง ‘Suspect’ เด็กสาวคนนี้เมีรูปร่างหน้าตาที่อ่อนหวาน แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดที่ต้องการจะฆ่า สิ่งที่เป็นจุดสูงสุดของเธอ ไม่ใช่แค่การกระทำเพียงเล็กๆ น้อยๆ แน่

ถ้าตีโจทย์ข้อนี้ไม่แตก ก็น่าเสียดายที่เจียงเซ่ออุตส่าห์เลือกบท ‘ซูอี้’ มาตั้งแต่แรกแล้ว เธอลองพยายามที่จะเปลี่ยนสถานการณ์นั้นมาโดยตลอด แต่ก็เป็นเพราะว่าฝีมือการแสดงของเถาเฉินที่มีความชำนาญมากกว่าทำให้ทำไม่สำเร็จเสียที

จนกระทั่งเป็นเถาเฉินเองที่ทนไม่ไหว และลงมือคุยกับฮั่วจือหมิงเสียเองและเสนอว่าควรจะให้เธอตัดผมเสีย

หล่อนต้องการที่จะใช้โอกาสนี้ในการสร้างผลกระทบกับเจียงเซ่อ แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่เจียงเซ่อได้รู้ข่าวนั้นแล้ว จะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอสามารถบรรลุเป้าหมายขึ้นมาได้ และรู้สึกโล่งอกโล่งใจไปในทันที

ดังนั้นในตอนที่ฮั่วจือหมิงมาพูดกับเธอ เมื่อเขาเสนอออกมา มันไม่ใช่เพราะความตั้งใจของเถาเฉิน แต่มันเป็นอย่างที่เขาพูด ว่าถ้าทำแบบนี้แล้ว จะทำให้เจียงเซ่อยิ่งเข้าใจถึงการตัดสินใจ การยอมรับผลลัพธ์ของ ‘ซูอี้’ มากขึ้น เพื่อที่จะมั่นใจในการแก้แค้นในครั้งนี้

และตั้งแต่นาทีนั้น ที่การฉวยโอกาสของเถาเฉินไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งนั้นมันก็ได้กลายมาเป็นอำนาจในการคุมเกมของเธอในภายหลัง หล่อนจึงโดนเธอกดดันและกดความโดดเด่น ‘ได้ตามอำเภอใจ’ และมันก็เป็นไปตามในสิ่งที่ฮั่วจือหมิงต้องการอีกด้วย

“ที่จริงถึงแม้ว่าจะไม่มีเถาเฉิน ถ้าเป็นฮั่วจือหมิงเองที่คิดแบบนั้นตั้งแต่แรก ในตอนที่ทำสัญญา” เธอหนุนศีรษะไปกับโซฟา แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฉันก็คงยังเซ็นสัญญาอยู่ดี”