webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

606

บทที่ 606 สกัด

“เธอตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเป็นเที่ยวบินพรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมงครึ่งอย่างนั้นหรือ?”

“ค่ะ ฉันบอกกับอาอี้เอาไว้ว่าพรุ่งนี้ประมาณเก้าโมงจะไปถึง แล้วต้องส่งข่าวบอกเขาด้วย” เขาจะต้องรู้ว่าเธออยู่ไหน เธอลูบคอตัวเอง แล้วนึกถึงเรื่องที่เฉินซั่นบอกว่าจะต้องไป ‘เรียนเพิ่มเติม’ ขึ้นมา “พี่เชาฉวิน พวกอานฉีจะต้องไปเรียนรเพิ่มเติมหรือคะ?”

“ใช่” ปลายสาย เซี่ยเชาฉวินรับมาคำหนึ่ง “เรื่องนี้ พวกเธอรับมือได้ไม่ดีเท่าไหร่ พวกเธอไม่ใช่ว่าได้เงินเดือนธรรมดาๆ ควรที่จะมีการรับมือและจัดการเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่านี้” แล้วหล่อนก็พูดอีกว่า “ในสองเดือนนี้จะมีผู้ช่วยคนอื่นมาดูแลเธอแทน”

ตั้งแต่เดือนนี้จนไปถึงช่วงสิงหาคม เซี่ยเชาฉวินไม่ได้มีการรับงานอะไรให้เจียงเซ่อ และก็เป็นช่วงที่คะแนนการสอบของเธอออกมาพอดี เธอยังจะต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อปรึกษาเรื่องต่างๆ กับอาจารย์

“หนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ จะเข้าฉายในแถบอเมริกาเหนือก่อนสองวัน ก่อนที่จะมีการโปรโมท เธอจะต้องดูและภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดีที่สุด หนังเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการเซ็นสัญญากับ Melovin ในภายหลังด้วย ถึงแม้ว่าอาจจะได้แค่สกินแคร์ แต่ก็มีโอกาสที่จะได้ควบคู่ไปกับพวกเสื้อผ้าด้วย”

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเจียงเซ่อได้เป็นแบรนแอมบาสเดอร์ให้กับสกินแคร์ของ Melovin จริงๆ จะกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดีแค่ไหน ถ้าหากว่าเธอได้เป็นแบรนแอมบาสเดอร์ให้กับสินค้าตัวอื่นที่เป็นแบรนด์ของ Melovin อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนละก็ มันจะต้องเพิ่มผลดีให้กับหน้าที่การงานที่เคยผ่านมามากมายของเธอแน่ๆ ไม่มีทางที่จะส่งผลเสียใดๆ

และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้เซี่ยเชาฉวินต้องบินไปฝรั่งเศส และไม่ได้รีบที่จะเซ็นสัญญากับ Melovin ให้เจียงเซ่อในทันที

ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่สามารถทำได้เลย แต่เป็นเพราะว่าหล่อนต้องการที่จะรอ

“พี่เชาฉวินอยากจะดูสถานการณ์ของ ‘The second coming of Jesus Christ’ ก่อนอย่างนั้นหรือคะ?”

เจียงเซ่อเองก็จับจุดถึงสิ่งที่หล่อนพูดได้ จึงถามออกไป เซี่ยเชาชวินตอบ ‘อืม’ กลับมาเบาๆ และยังพูดถึงข้อมูลต่างๆ อีก มีบางครั้งที่เหมือนว่าหล่อนกำลังเอามือป้องลำโพงเอาไว้ และพูดคุยกับคนที่อยู่ข้างๆ ฟังออกได้อย่างชัดเจนว่าถึงแม้ตอนนี้มันจะดึกแล้ว แต่ก็เหมือนว่าหล่อนยังคงประชุมปรึกษาหารือกันอยู่ ที่กำลังคุยกับเจียงเซ่อก็คือช่วงเวลาพักสั้นๆ

“ตอนที่ฉันอยู่ที่ฝรั่งเศส ได้ไปพบเพื่อนเก่าคนหนึ่ง และบังเอิญได้ยินเขาพูดถึงเรื่องของตระกูลบอร์เจียขึ้นมา” พอหล่อนพูดถึงตรงนี้ ก็มีเสียงใครบางคนจากฝั่งของหล่อนแทรกเข้ามา หล่อนจึงบอกกับเจียงเซ่อ

“แปบหนึ่งนะ”

เสียงของหล่อนพูดกับคนอื่นๆ ให้ประชุมกันไปก่อนดังออกมาจากลำโพง จากนั้นก็ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ออก เหมือนว่าพอหามุมเงียบๆ ได้แล้ว ก็พูดคุยกับเจียงเซ่อต่อทันที

“เธอเองก็รู้ใช่ไหม ว่าทุนสร้างของหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ นั้นมันไม่ใช่น้อยๆ เลย”

ตอนแรกเชี่ยซ่าเหลยได้ทำสัญญาการลงทุนกับบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่อย่างฮว๋านเต่าและบอร์เจียในการถ่ายหนัง ‘The Lost City’ ทั้งสามภาคเอาไว้ ภายหลังถึงได้ค่อยเปลี่ยนมาลงทุนกับเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ แทน แต่ทั้งงบการถ่ายทำ อุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้แต่ค่าตอบแทนของนักแสดง ผู้กำกับ ล้วนแล้วเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยทั้งนั้น

บวกกับที่หนังเรื่องนี้เป็นการถ่ายหนังแบบพิเศษ จึงได้กำหนดเอาไว้ว่าผลตอบรับของหนังเรื่องนี้จะต้องออกมาดีและทำเงินได้มากกว่าที่คิดเอาไว้

ทั้งบริษัทบอร์เจียและและบริษัทฮว๋านเต่าต่างก็ให้ความสนใจกับหนังที่มีการลงทุนมหาศาลเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งโดยเฉพาะกับเชี่ยซ่าเหลยที่กล้าที่จะให้เจียงเซ่อเป็นตัวชูโรง จนทำให้ทางนักลงทุนทั้งหลายสร้างแรงกดดันมากกว่าเดิม

หลังจากที่หนังถ่ายเสร็จแล้ว ทางทีมเทคนิคตัดต่อต่างก็เอาใจใส่กับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หลังจากที่ผ่านกระบวนการตัดต่อเรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีการเชิญให้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของทั้งสองบริษัทจนไปถึงเชี่ยซ่าเหลยให้มานั่งดูหนังเรื่องนี้ก่อนด้วย เพื่อที่จะได้นำหนังที่ดีที่สุดให้คนดูได้ดู ป้องกันไม่ให้ผลลัพธ์ของยอดขายไม่ตรงตามที่คาดกันเอาไว้ จนทำให้เหล่านักลงทุนทั้งหลายต้องขาดทุน

ทางโรงหนังต่างๆ ของยุโรปอเมริกาก็อาจมีบ้างที่ต่อต้านชาวต่างชาติ ตอนที่หนังเริ่มถ่ายแรกๆ ก็มีข่าวออกมาตั้งแต่แรกแล้วว่านางเอกของเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ก็คือดาราสาว ฮอลลีวูดอย่างลาร่า

แต่หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนนักแสดงหลักกะทันหัน ทำเอาด้านการตลาดและคนดูพากันไม่พอใจเป็นอย่างมาก นี่ก็เท่ากับว่าผลสำรวจของการตลาดก่อนหน้านี้เหมือนต้องกลับไปเริ่มใหม่ทั้งหมด ทุกอย่างคงต้องพึ่งที่คุณภาพของหนังเพื่อที่จะเอาชนะฮอลลีวูด และเอาชนะความคิดที่ยุโรปอเมริกามีต่อหัวเซี่ยแล้ว

เมื่อสรุปถึงเหตุผลทั้งหมดแล้ว หนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ก็คือสัญลักษณ์ของความมีชื่อเสียงอันโด่งดังของเขา แน่นอนว่าบริษัทบอร์เจียและฮว๋านเต่าไม่มีทางที่จะวางใจกันได้ ดังนั้นจึงได้มีการทำลายความเคยชินทุกอย่างลงและเชิญกันมาลองดูตัวหนังก่อน

แต่ที่โชคดีก็คือ เชี่ยซ่าเหลยก็ยังคงเป็นเชี่ยซ่าเหลย ฝีมือการสร้างหนังและถ่ายทอดเรื่องราวของเขายังคงไม่เคยเป็นที่กังขาของใครๆ และการที่เขาได้พอใจในตัวเจียงเซ่อก็ไม่ให้เขาขายหน้าเลยสักนิด ยิ่งกับการที่ได้ร่วมงานกับโดนัลด์ ก็ยิ่งทำให้มันยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก

“ที่ฉันได้ยินมา พวกคนเบื้องบนของบอร์เจียที่ได้ลองดูหนังเรื่องนี้ก่อน รู้สึกประทับใจและพอใจกับหนังเรื่องนี้มากๆ และคาดว่าหลังจากหนังเข้าฉายแล้วจะต้องได้รับกระแสที่ดีมากแน่ๆ

หลังจากที่เซี่ยเชาฉวินได้ข้อมูลพวกนั้นมาแล้ว ก็พอดีกับตอนที่ได้รับข่าวว่าเจียงเซ่อได้ตัดสินใจตัดผมของตัวเองเพื่อถ่ายหนังเรื่อง ‘Suspect’ หลังจากหมดโอกาสจากอีกฝั่งหล่อนก็ติดต่อกับผู้จัดการของแบรนด์ Melovin ในทันที และในขณะที่จะให้เจียงเซ่อได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสกินแคร์แบรนด์นี้ จะให้ดีก็คือการได้เป็นพรีเซนเตอร์เสื้อผ้าของ Melovin ควบคู่กันไปด้วยเลย และเอากระแสชื่อเสียงที่จะได้จากเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ มาเป็นแรงขับเคลื่อนในการก้าวเข้าสู่วงการยุโรปอเมริกา

พูดคุยกันอีกสองสามนาที เซี่ยเชาฉวินก็ได้พูดถึงเรื่องสำคัญไปจนหมดแล้ว จากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่เจียงเซ่อจะกลับตี้ตูในวันพรุ่งนี้ กับภาพลักษณ์ภายนอกของเธอในตอนนี้จะให้ถูกถ่ายภาพมากไม่ได้เด็ดขาด

“ส่วนการเตรียมการในเรื่องต่างๆ เดี๋ยวฉันจะสั่งให้จางฉือจัดการเอกสารเอาไว้ให้แล้วจะส่งให้โม่อานฉี” พอพูดเรื่องสำคัญเสร็จเรียบร้อย หล่อนก็วางสายไปในทันที

ในตี้ตู หลังจากที่จางฉือได้ยินเซี่ยเชาฉวินบอกให้รีบเตรียมเอกสารให้พร้อมภายในวันพรุ่งนี้ และบอกให้ส่งให้โม่อานฉีแล้ว เขาก็เห็นว่าเซี่ยเชาชวินนั้น ในระหว่างที่คุยโทรศัพท์ หล่อนก็ได้เปิดหน้าโปรแกรมแชทขึ้นมาด้วย และบอกข่าวที่ว่าพรุ่งนี้เจียงเซ่อจะกลับมายังตี้ตูให้กับเผยอี้ เห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเห็นใจเจียงเซ่ออยู่ไม่น้อย เขาพิมพ์งานไป พลางหันไปถาม

“คุณเจียงยังไม่รู้หรือครับ ว่าคุณเผยกลับมาที่ตี้ตูแล้ว?”

“จะรู้หรือไม่รู้ก็ไม้ต้องกังวลไปหรอก แต่การตัดสินใจตามใจตัวเองแบบนี้ ก็ต้องมีการให้บทเรียนกับเธอเสียบ้าง”

“…” จางฉือที่ได้เห็นสีหน้าจริงจังของหล่อนในตอนที่คุยโทรศัพท์กับเจียงเซ่อแล้ว ก็ไม่เห็นว่าหล่อนจะพูดเรื่องที่เจียงเซ่อตัดผมขึ้นมาเลยสักครั้ง ตอนนี้ในใจเจียงเซ่อก็คงคิดว่าเซี่ยเชาฉวินคงจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปแล้วแน่ๆ

สนามบินตี้ตู เซี่ยเชาฉวินเองก็ได้พาผู้ช่วยอีกกลุ่มหนึ่งที่มีฝีมือพอๆ กันมารอต้อนรับเจียงเซ่อตั้งแต่แปดโมงกว่าแล้ว

ในหัวเซี่ย เป็นเพราะว่าต้องดูแลทั้งเถาเฉินและเจียงเซ่อ กับดาราที่ชื่อเสียงไม่ได้ธรรมดาๆ ถ้าต้องมาปรากฏตัวในสนามบินแบบนี้ มันก็จะต้องดึงดูดความสนใจจากแขกผู้โดยสารและนักข่าวทั้งหลายอยู่แล้ว

หล่อนพาคนเดินมายังจุดที่เอาไว้รอต้อนรับผู้คน และนั่นก็ทำเอานักข่าวที่ซุ่มอยู่ตามที่ต่างๆ พากันกระตือรือร้นขึ้นมา

นักข่าวที่มากรูอยู่ตรงหน้าได้ถามถึงเหตุผลการมาในครั้งนี้ของหล่อน และหล่อนก็ตอบไปอย่างง่ายๆ ว่ามารับเจียงเซ่อ

หลังจากที่รู้ว่าเซี่ยเชาฉวินมารับเจียงเซ่อแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงกับกลุ่มแฟนคลับที่เกิดความสงสัยขึ้นมาเท่านั้น เพราะแม้แต่สื่อเองก็ตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนกัน

ช่วงนี้เจียงเซ่อไม่ได้มีการออกสื่อให้ได้เห็นตัวเลย แต่ข่าวที่เกี่ยวกับเธอก็ยังคงมีออกมาตลอด

เมื่อปีที่แล้วก็มีข่าวเรื่องการที่เธอได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับรถสปอร์ตของ ELYSEES จนเป็นที่พูดถึงไปเป็นวงกว้าง หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าเธอได้ร่วมงานกับเถาเฉินในหนังเรื่อง ‘Suspect’ ของฮั่วจือหมิง

ระหว่างการถ่ายทำนั้นก็ไม่ได้เงียบสักเท่าไหร่ เพราะในระหว่างนั้นดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในกองถ่ายด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะอะไรก็ยังไม่รู้ แต่ภายนอกก็พูดกันว่าเป็นเพราะไม่ลงรอยกับเถาเฉิน แต่ก็มีบางคนบอกว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเธอและฮั่วจือหมิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข่าวลือต่างๆ นาๆ มีออกมาไม่หยุด แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันคือเรื่องจริงหรือเปล่า

เหล่าสื่อทั้งหลายต่างก็สงสัยกับเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว และการที่จะได้เจอกับเจียงเซ่อในสนามบินแบบนี้ ไม่ว่าจะใครก็คงไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปแน่!

“คุณเซี่ยครับ ได้ยินมาว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในกองถ่าย ‘Suspect’ และมันก็เกี่ยวกับเจียงเซ่อด้วย เป็นเพราะว่าเจียงเซ่อได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ?”

“ในระหว่างที่มีการถ่ายทำหนังเรื่อง ‘Suspect’ มีข่าวลือออกมาว่าเถาเฉินและเจียงเซ่อนั้นมีความขัดแย้งกัน อยากทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”

“คุณเซี่ยคะ…”

เหล่านักข่าวเอาแต่ถามกันไม่หยุด จางฉือเองก็ถูกนักข่าวล้อมตัวเอาไว้ และถามถึงข่าวคราวของเจียงเซ่อ

ข่าวที่เซี่ยเชาฉวินมารอกับเจียงเซ่ออยู่ที่ตึกรับรองนั้นกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว หลายๆ คนก็รีบไปที่นั่นเพื่อที่จะได้เห็นฉากดีๆ

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เครื่องบินลงสู่พื้นดินแล้ว โม่อานฉีก็ได้พาผู้ช่วยอีกคนหนึ่งเดินไปสมทบกับจุดที่เซี่ยเชาฉวินยืนอยู่ แต่เจียงเซ่อนั้นกลับเดินไปกับเฉินซั่นอีกทางแทน

“คุณเซี่ยได้เตรียมคนมา ‘รับ’ เธอเอาไว้แล้ว และจะเป็นคนล่อพวกแฟนคลับกับนักข่าวเอาไว้ให้ ตอนนี้อีกด้านน่าจะไม่ค่อยมีคนแล้วล่ะ”

ทั้งนักข่าวและแฟนคลับต่างก็พากันไปยัง ‘จุดที่น่าจะได้เจอเจียงเซ่อ’ กันหมดแล้ว แต่หลังจากที่เจียงเซ่อเดินออกมาจากสนามบิน ที่โรงจอดรถใต้ดินของสนามบินก็ได้มีรถมารอรับเธออยู่แล้วสองคัน ขอแค่เธอออกรถได้ก็ตรงกลับบ้านได้ทันที

ทุกอย่างดูราบรื่นกว่าที่คิดเอาไว้มากทีเดียว บวกกับการที่ทีเฉินซั่นเป็นคนนำทางมา หลังจากที่หารถที่เซี่ยเชาฉวินสั่งให้คนมาจอดเอาไว้ให้เจอแล้ว เฉินซั่นก็ขับรถออกจากโรงจอดรถทันที เธอจึงหันไปหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อส่งข้อความหาเผยอี้ พลางสั่งเฉินซั่นไปด้วย

“ตรงกลับบ้านเลยนะคะ”

ถึงแม้ว่าฉากที่เธอจะต้องถ่ายในเรื่อง ‘Suspect’ นั้นไม่ได้เมีเยอะเท่ากับเถาเฉิน แต่เป็นเพราะว่าฮั่วจือหมิงมีสิ่งที่ต้องการที่จะต้องทำให้ได้ เธอจึงต้องคอยอยู่กับกองถ่ายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไปๆ มาๆ ก็ได้ถ่ายทำไปกว่าสี่เดือนแล้ว บวกกับในเวลาที่ถ่ายทำก็ไม่สามารถผ่อนคลายได้เลยสักนาทีเดียว ทำให้พอกลับมาถึงตี้ตูเธอก็รู้ว่าโล่งและผ่อนคลายไปหมด

หลังจากส่งข้อความให้กับเผยอี้เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่าตอนนี้เธออยู่ที่ตี้ตูแล้วจริงๆ เขาก็ไม่ได้ตอบกลับมาแต่อย่างใด เจียงเซ่อจึงเดาว่าเขาน่าจะยุ่งกับงานของตัวเองอยู่ จึงเก็บมือถือใส่กระเป๋าอย่างเดิม และหลับตาลงเพื่อที่จะพักผ่อน และไม่รู้ว่ารถขับออกมาได้นานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆ เฉินซั่นก็ร้องขึ้นมา

“เซ่อเซ่อ เหมือนว่าด้านหลังจะมีรถขับตามพวกเรามานะ!”

เฉินซั่นเองก็อยู่กับเจียงเซ่อมาระยะหนึ่งแล้ว รถของดาราจะมีนักข่าวขับตามมาแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และโม่อานฉีก็สอนหล่อนเอาไว้แล้วด้วยว่าจะสลัดออกได้ยังไง

แต่วันนี้ตั้งใจที่จะหลบหนีจากหูตาให้ได้มากที่สุด รถที่เซี่ยเชาฉวินได้เตรียมไว้ให้ก็ไม่น่าจะเป็นรถที่พวกสื่อจำกันได้ ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะเป็นที่สนใจอยู่แล้วสิ

“หรือว่าตอนที่อยู่ในสนามบินจะมีคนเห็นเราแล้ว?”

ตอนนี้ในตี้ตูกำลังอยู่ในช่วงการจราจรติดขัดอยู่พอดี เฉินซั่นเพิ่มความเร็วขึ้น ก่อนจะรีบหักเลี้ยวรถบริเวณสี่แยกไฟแดง แต่รถคันนั้นก็ยังตามมาติดๆ อยู่ดี

รถออฟโรดสีดำคันนั้น เหมือนว่าจะขับตามมาด้วยความเร็วที่เร็วมากเหมือนกัน แค่แปบเดียวก็ตีขึ้นมาถึงด้านหลังที่เจียงเซ่อนั่งอยู่แล้ว เฉินซั่นเริ่มที่จะร้อนรน ในขณะที่กำลังคิดว่าจะโทรไปบอกเซี่ยเชาฉวิน เจียงเซ่อก็สังเกตเห็นบางอย่างอย่างชัดเจนบนรถคันนั้น

รถคันนั้นมันคุ้นตามากๆ กระจกรถไม่ได้ถูกเปิดออกทั้งหมด เจียงเซ่อหันหน้าไปดู และเหมือนจะเห็นตรงที่ฝั่งที่นั่งคนขับนั่น คือใบหน้าที่ได้สัดส่วนของเผยอี้ เธอเห็นแบบนั้นแล้วก็ลนลานขึ้นมาทันที

“ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเผยอี้เองก็กลับมาที่ตี้ตูแล้วเหมือนกัน มิน่าเมื่อคืนที่เธอบอกกับเขาว่าไม่ต้องมาที่หัวอวี๋ เขาก็ตอบตกลงอย่างว่าง่ายแบบนั้น

แถมยังมีการถามว่าวันนี้เธอจะกลับมาถึงตอนกี่โมง แสดงว่าเขาตั้งใจวางแผนที่จะดักเธอตั้งแต่แรกแล้วสินะ

ดูจากทิศทางแล้ว เหมือนว่าเขาเองก็คงจะตรงกลับไปที่บ้านของตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้เธอนั่งไม่ติดแล้ว จึงรีบหันไปสั่งเฉินซั่น

“ไม่ต้องกลับบ้านแล้วนะคะ” ถ้าเธอกลับไปที่บ้านตอนนี้ก็ต้องเจอกับเผยอี้แน่ๆ เธอรีบนั่งให้ต่ำลง

“ไปที่บ้านตระกูลเฝิงแทนค่ะ”

เธอกะว่าจะไปหลบที่บ้านตระกูลเฝิงสักพักหนึ่ง ถึงแม้ว่าเผยอี้จะต้องโมโหที่เธอเป็นแบบนี้ แต่เพื่อเป็นการไว้หน้าเฝิงจงเหลียง เขาก็คงจะต้องอดทนเอาไว้ก่อน

แต่สภาพของเธอในตอนนี้ ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนเฝิงจงเหลียงบ่นเข้าเหมือนกัน ในหัวของเธอพิจารณาความคิดในหัวอยู่นาน เฉินซั่นจึงถามขึ้น

“ให้โทรหาตำรวจไหม?”

“ไม่ต้องค่ะ” เธอตอบกลับเบาๆ เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นที่สนใจของเผยอี้

“เขาคืออาอี้ อย่าให้เขาสังเกตเห็นเด็ดขาดเลยนะคะ เขายังตามมาอยู่ด้านหลัง อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้”

เธอพูดเหมือนจะติดตลก แต่เฉินซั่นไม่คิดแบบนั้น

รถของเผยอี้นั้นตามรถของพวกเธอมาตั้งแต่ตอนที่ขับออกจากสนามบินมาแล้ว ตอนแรกหล่อนเองก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ตามมาแล้วถึงสองเส้นถนน และเผยอี้เองก็ไม่ได้ปกปิดว่าตัวเองนั้นไม่ได้กำลังพยายามตามมา ตามมาเกือบจะสิบกว่านาทีได้แล้ว เฉินซั่นถึงได้แน่ใจว่าเขาตั้งใจที่จะตามมา ดังนั้นถึงได้เตือนขึ้น

เจียงเซ่อที่กำลังหลับตาพักอยู่ คงไม่มีทางรู้ว่าเผยอี้นั้นได้ตามเธอมาแล้ว

เฉินซั่นเองก็ไม่กล้าพูดอะไร พอรู้ว่าคนที่กำลังตามมานั้นคือคนรู้จักและสนิท หล่อนก็สบายใจไปได้มาก รถออฟโรดที่ขับตีข้างมาเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ในขณะที่เจียงเซ่อกำลังจะติดต่อไปเตี๊ยมกับ เฝิงจงเหลียงนั้น รถที่ขนาบข้างมาตรงที่เจียงเซ่อนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ได้ตบไฟเลี้ยวเข้ามา และสกัดรถของเธอเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เฉินซั่นทำได้แค่จอดรถ และเห็นว่าประตูรถของคันข้างหน้าเปิดออกมาแล้ว และเป็นเผยอี้ที่ลงมาจากรถและกำลังเดินมาทางนี้

เมื่อมองไปยังกระจกหลัง เจียงเซ่อที่ได้เห็นแบบนั้น ก็ดูร้อนรนขึ้นมาในทันที เธอโยนมือถือตัวเองทิ้ง แล้วยื่นมือไปคว้ากระเป๋าของตัวเองขึ้นมา “หมวกที่อานฉีเตรียมไว้ให้อยู่ไหนแล้วนะ?”

สิ้นเสียงของเธอ ยังไม่ทันที่เฉินซั่นจะได้ตอบ เผยอี้ที่มีรูปร่างสูงขายาว เดินมาแค่สองสามก้าวก็เดินมาหยุดอยู่ที่ข้างรถแล้ว เขาสั่งเสียงเข้ม

“เปิดประตู”

เขายืนอยู่ตรงประตูหลัง ถึงแม้ว่าตอนที่พูดจะไม่ได้มองไปที่เฉินซั่น แต่ก็ยังคงทำให้เฉินซั่นรู้สึกถึงแรงกดดันได้เป็นอย่างดี แค่คำๆ เดียวของเขาก็ทำให้หล่อนต้องทำตามได้อย่างง่ายดาย เจียงเซ่อยังไม่ทันที่จะได้เอาหมวกมาใส่ ประตูรถก็ถูกเปิดออกจากเผยอี้ที่อยู่ข้างนอกทันที เขาโน้มตัวลงมา และมองไปยังเจียงเซ่อที่กำลังนั่งกอดกระเป๋าอยู่

เขาสวมเสื้อยืดทีเชิ้ตแขนยาวสีดำ ตรงคอเสื้อมีแว่นดำหนีบห้อยเอาไว้ คอเสื้อที่มันห้อยลงมานั้น ทำให้ได้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแรงที่อยู่ภายใต้เสื้อทีเชิ้ตได้อย่างชัดเจน สิ่งแรกที่เผยอี้สังเกตเห็นก็คือผมของเจียงเซ่อ จากนั้นก็ไล่ลงมายังใบหน้าของเธอ

หมวกปากเป็ดถูกเธอกำแน่นอยู่ในมือของเธอ ริมฝีปากอิ่มเอิบอ้าเล็กน้อย ดวงตากลมโตจ้องมาอย่างอึ้งงัน สีหน้าเหมือนกับว่าไม่ทันได้ตั้งตัว ราวกับว่าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ดี

เผยอี้ยื่นมือไปดึงกระเป๋าที่เธอกอดอยู่ออกมา แต่เธอก็รู้สึกตัวและรับคว้ามันเอาไว้แน่น ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง ปลายคางดูเกร็งขึ้นเล็กน้อย

“ปล่อยมือ”

เจียงเซ่อที่ได้ยินแบบนั้น ก็รีบปล่อยออกทันที เผยอี้ถือกระเป๋าเอาไว้ในมือ จากนั้นก็ชะโงกตัวเข้าไปในรถ

ภายในรถนั้นก็ไม่ได้คับแคบอะไร เจียงเซ่อนั่งคนเดียวก็ถือว่ากว้างขวางไม่น้อย แถมยังไม่จำเป็นต้องทรมานขาทั้งสองข้างของตัวเองอีกด้วย แต่พอเผยอี้เข้ามาแล้ว ในรถก็ดูแน่นขึ้นมาทันที

“นาย…” เธอพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง ดูเหมือนว่าจะตั้งตัวไม่ทันจริงๆ เผยอี้ไม่ได้พูดอะไร ทำแค่คว้ามือเธอเอาไว้เท่านั้น