webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

605

บทที่ 605 เพื่อที่จะได้สิ่งที่ดีกว่า

แบรนด์ Melovin เป็นแบรนด์หรูของฝรั่งเศสที่มีอายุร้อยกว่าปีมาแล้ว สินค้าส่วนใหญ่ของ Melovin นั้นจะเป็นพวกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ ภายหลังมาก็ได้เริ่มเจาะตลาดเครื่องประทินผิว และได้รับความสนใจจากหญิงสาวนักช็อปทั่วโลก

สกินแคร์ของ Melovin นั้นมีส่วนผสมของพืชพรรณธรรมชาติเป็นหลัก นิยมและผลักดันการเป็นตัวของตัวเอง และจุดๆ นี้นี่เองที่เป็นสิ่งที่ทำให้เซี่ยเชาฉวินคว้าจับไว้อย่างว่องไว อาศัยการที่เจียงเซ่อตัดผมตัวเองในการติดต่อกับผู้บริหาร Melovin ของฝรั่งเศสได้ง่ายขึ้น

ในหัวเซี่ย สกินแคร์ของ Melovin นั้นก็ถือว่าเป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ ที่จริงก็ถือว่ามีชื่อเสียงในตัวเองสูงอยู่แล้ว ในทุกๆ ปีนั้นกลุ่มของ Melovin มียอดที่สูงทีเดียว ถ้าหากว่าเซี่ยเชาฉวินสามารถเจรจาการเป็นพรีเซนเตอร์ได้สำเร็จละก็ บวกกับชื่อเสียงของเจียงเซ่อในตอนนี้ นี่สิถึงจะเรียกว่าเป็น ‘การร่วมมือที่แข็งแกร่ง’ ของจริง

และเพราะด้วยเหตุผลนี้ ทำให้เหล่าผู้ช่วยที่กำลังกังวลว่าจะโดนเซี่ยเชาฉวินโมโหใส่ก็ค่อยโล่งใจขึ้นมา

เซี่ยเชาฉวินจัดการเรื่องทุกอย่างได้อย่างดี สามารถพลิกวิกฤติของเจียงเซ่อให้เป็นโอกาสขึ้นมาได้ แต่หลังจากที่ปิดกล้องหนังเรื่อง ‘Suspect’ เรียบร้อยแล้ว พอผู้ช่วยทั้งสองสามคนคิดว่าจะต้องกลับตี้ตู ก็เกิดอาการลังเลกันหมด

“วันนี้ตอนบ่ายฉันลองโทรหาจางฉือดู เขาบอกว่าคุณเซี่ยบินกลับไปที่ตี้ตูตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

หรือพูดได้ว่า ถ้าพรุ่งนี้พอเจียงเซ่อกลับไปถึงตี้ตูแล้ว ก็คงไม่มีท่าที่จะยื้อเวลาอะไรได้อีก จะต้องไปเจอกับเซี่ยเชาฉวินในทันที

เฉินซั่นต้มชาเสร็จแล้วก็เดินเข้ามา และมองเจียงเซ่ออย่างเห็นอกเห็นใจ “คุณเซี่ยบอกว่า อีกสองเดือนหลังจากนี้ เธอจะต้องทานแต่อาหารที่นักโภชนาการกำหนดเอาไว้ให้ เพื่อที่จะรีบบำรุงและเลี้ยงให้ผมมันยาว และจะหาคนไป ‘ดูแล’ เธอในวันโปรโมทหนังของเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’” หล่อนไม่ได้เหวี่ยง แต่ความกดดันแบบนี้มันดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าการที่เซี่ยเชาฉวินโมโหเสียอีก

กับผลลัพธ์แบบนี้ เจียงเซ่อเองก็พอที่จะคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว หลังจากที่ได้ยินเฉินซั่นพูดแบบนั้น ก็ถามออกไป “แล้วพวกพี่ล่ะคะ?”

โม่อานฉีลูบหน้า “คุณเซี่ยบอกว่าการที่จะต้องเจอกับ ‘วิกฤติ’ ในครั้งนี้ เป็นเพราะพวกเราจัดการได้ไม่ดีพอ จะต้องให้พวกเราเรียนรู้เอาไว้”

ผู้ช่วยคนหนึ่งจึงหยิบมือถือขึ้นมา แล้วเปิดตารางงานดู

“เห็นบอกว่าจะให้พวกเราไปเรียนเกี่ยวกับการเป็นผู้ช่วยที่เหมาะสมด้วย”

การเข้าเรียนในครั้งนี้ แม้แต่โม่อานฉีที่อยู่กับเจียงเซ่อมาหลายปีก็จะต้องเข้าร่วมด้วย และทุกอย่างมีเซี่ยเชาฉวินเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง

เซี่ยเชาฉวินรู้ว่า เรื่องพวกนี้มันเกิดจากการตัดสินใจของเจียงเซ่อเพียงคนเดียว แต่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเถาเฉินเป็นคนผลักดันให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น และผู้ช่วยก็ควรที่จะช่วยกันป้องกันตั้งแต่แรก

ตั้งแต่ที่เจียงเซ่อได้เซ็นสัญญากับผู้ช่วยทั้งหลายเพื่อมาคอยดูแลตัวเธอ เซี่ยเชาฉวินก็ได้ตั้งเงินเดือนให้สูงกว่าผู้ช่วยดาราคนอื่นหลายเท่าทีเดียว สำหรับโม่อานฉีแล้ว เงินเดือนที่หล่อนได้ไปนั้นก็ถือว่าไม่ได้น้อยไปกว่าเงินเดือนผู้ช่วยระดับสูงๆ เลย แต่หล่อนก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่ในการเป็นหูเป็นตา และจัดการเรื่องต่างๆ ตามที่ผู้ช่วยต้องทำได้ดีเท่าที่ควร

หล่อนรู้ว่าเถาเฉินไม่ได้มีเจตนาที่ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะหาทางป้องกันเอาไว้ นี่เป็นความผิดของหล่อน ที่ทำให้ฮั่วจือหมิงมาแก้บทกลางคันแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเพื่อตัวหนัง แต่แบบนี้มันดูเป็นฝ่ายถูกกระทำมากไปหน่อยแล้ว

พอเหล่าผู้ช่วยทั้งหลายรู้ถึง ‘ผลลัพธ์’ แบบนั้นแล้ว ต่างก็ต้องพิจารณาตัวเองอยู่พักใหญ่ โดยเฉพาะกับโม่อานฉี ที่ดูเหมือนจะตั้งตารอคอยกับการศึกษาเพิ่มเติมในครั้งนี้เป็นพิเศษ

นั่นแสดงว่าเซี่ยเชาฉวินไม่ได้มองว่าหล่อนเป็นแค่ผู้ช่วยธรรมดาๆ แบบเมื่อก่อนแล้ว และตั้งใจที่จะทำให้พวกหล่อนนั้นมีศักยภาพมากขึ้น เพื่อที่ในอนาคตจะได้ช่วยเจียงเซ่อให้เดินไปในเส้นทางนี้ได้ไกลมากขึ้น และไปได้ดีกว่านี้

“กลับไปฉันจะอธิบายกับพี่เชาฉวินให้นะคะ ส่วนเรื่องการ ‘เข้าเรียน’ ก็ถือซะว่าเป็นการเข้าสอบของปีนี้ก็แล้วกันนะคะ เดี๋ยวปลายปีจะเพิ่มโบนัสให้” คำพูดของเจียงเซ่อทำเอาผู้ช่วยหลายๆ คนอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำขึ้นมา พอคุยเรื่องหยุมหยิมจบแล้ว โม่อานฉีก็พูดเรื่องบางเรื่องขึ้น

“เซ่อเซ่อ คุณเผยโทรมาด้วยนะ” เธอมองด้วยความเห็นใจ “เขาน่าจะรู้เรื่องอะไรบ้างแล้ว บอกว่าหลังจากงานเลี้ยงปิดกล้อง เธอจะไปที่คิวชูหรือว่าจะรออยู่ที่นี่สักวันสองวัน แล้วเดี๋ยวเขาจะมาหาเธอเอง”

ช่วงที่เจียงเซ่อถ่ายหนัง เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในกองถ่ายก็ถูกเก็บเอาไว้เป็นอย่างแน่นหนา แต่ก็ยังมีกลุ่มแฟนคลับที่มาเฝ้าอยู่หน้ากองถ่ายทุกวัน บวกกับสื่อนักข่าวที่มานั่งซุ่มทุกวัน เพื่อที่จะถ่ายภาพหรือหวังได้ข่าวไปเป็นคนแรก

เรื่องที่เธอตัดผม คนภายนอกก็อาจจะได้ยินข่าวลือแบบนั้นออกไปบ้าง แต่เรื่องภายในกองถ่ายก็ถูกฮั่วจือหมิงเก็บเอาไว้มิดสุดๆ จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเอาออกไปพูดข้างนอก นักข่าวก็เพียงแค่รู้มาเลาๆ ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในกองถ่าย ‘Suspect’ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับเจียงเซ่อ

หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เหมือนว่าเผยอี้วางใจไม่ได้เลย หลายครั้งที่โทรมาหา แต่เจียงเซ่อก็บอกว่าไม่มีอะไร ทำให้เผยอี้รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

ทางเซี่ยเชาฉวินเองหลังจากที่รู้เจียงเซ่อตัดผมเรื่องนี้ก็ถูกเก็บเป็นความลับในทันที กับเผยอี้เองก็ยังไม่ได้บอก พอได้ยินโม่อานฉีพูดแบบนั้นแล้ว เธอก็เกิดใจหายขึ้นมา

“ได้พูดว่าฉันยังไม่ว่างไปหรือยังคะ?”

เธอยังคิดอยู่เลยว่าจะใช้เวลาหาข้ออ้างเสียหน่อย ประมาณสักหนึ่งเดือน ให้ผมมันยาวกว่านี้อีกนิด แล้วค่อยไปหาเผยอี้ที่คิวซู แบบนั้นเธอจะได้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาหน่อย

“บอกไปแล้วนะ” โม่อานฉีที่เห็นเธอเคร่งเครียดขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะขำ

“ตอนนั้นคนในกองถ่ายเอาแต่เชิญเธอดื่ม เธอเลยไม่มีเวลาจะไปรับสาย เพราะงั้นฉันก็เลยบอกกับคุณเผยไปว่าเธอคงจะไม่ว่างไปอีกสักพัก”

แต่ว่าปลายสายนั้น เหมือนว่าเผยอี้จะไม่ค่อยเชื่อคำพูดหล่อนเท่าไหร่

โม่อานฉีก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า แต่เผยอี้นั้นไม่ค่อยคุยกับคนอื่นนอกจากเจียงเซ่อสักเท่าไหร่ และดูเป็นคนที่เย็นชามากๆ ด้วย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าหล่อนเองก็อยู่กับเจียงเซ่อมาหลายปีแล้ว และรู้จักเจียงเซ่อละเอียดในระดับหนึ่ง เผยอี้ถึงได้ยอมที่จะฟังในสิ่งที่หล่อนพูด

“เขาบอกจะโทรหาเธออีกที” พอพูดถึงตรงนี้ หล่อนก็ยกข้อมือขึ้นดูเวลา

“ตอนที่คุณเผยโทรมาก็ประมาณสองทุ่มกว่า ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว ก็น่าจะ…”

ยังไม่ทันที่โม่อานฉีจะได้พูดจบ มือถือของเจียงเซ่อก็ดังขึ้นมาทันที

เขาวีดิโอคอลมา เจียงเซ่อรีบกดตัดสายในทันที ไม่รอที่จะให้เผยอี้โทรมาอีกรอบ เธอชิงกดไปที่เบอร์ของเผยอี้แล้วโทรออกทันที

ผู้ช่วยทั้งหลายต่างก็หันไปเก็บของเก็บสัมภาระของเจียงเซ่อต่ออย่างรู้งาน ช่างแต่งหน้าที่ช่วยเจียงเซ่อล้างหน้าเสร็จแล้ว แปะที่มาส์กหน้าให้เสร็จก็ปล่อยให้เธออยู่คนเดียว ปล่อยให้เจียงเซ่อนั่งอยู่ตรงโซฟามุมๆ หนึ่งในห้องนั่งเล่น

“อาอี้”

พอรับสายแล้ว เจียงเซ่อก็เรียกเผยอี้ขึ้นด้วยเสียงต่ำเล็กน้อย

ในความรู้สึกของเผยอี้นั้น เธอเป็นคนที่ยืนหยัดในจุดยืนของตัวเองเสมอ เป็นคนที่ใจเย็น น้อยครั้งที่จะมีอาการไม่มั่นใจแบบนี้

เขามักจะคล้อยตามความรู้สึกของเธอ ทุกๆ เรื่องเขาจะให้เธอเลือกก่อนเสมอ แม้แต่จะพูดเสียงดังๆ กับเธอก็ยังไม่คิดที่จะทำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแสดงความโกรธใส่เธอเลย

แต่ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้น เจียงเซ่อก็พอจะรู้ว่าเผยอี้กำลังโกรธเธออยู่ จึงอดไม่ได้ที่กลัวขึ้นมา

ครั้งก่อนที่ถ่ายหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ เรื่องที่ลาร่าก่อเรื่องวางแผนให้เธอถูกไฟเผาจนปลายผมถูกเผาไปก็ทำให้เผยอี้โมโหมากๆ

ครั้งนี้เธอยังต้องมาตัดผมตัวเองเพื่อถ่ายหนังอีก อีกทั้งเรื่องทั้งหมดยังเกิดขึ้นเพราะมีเถาเฉินและฮั่วจือหมิงเป็นแรงผลักดัน เขาจะต้องโกรธมากแน่ๆ

พอคิดได้แบบนั้น เจียงเซ่อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดเสียงให้ดูนุ่มนวลกว่านี้

“อานฉีบอกว่านายโทรมาหาฉันก่อนหน้านี้เหรอ?”

เขาตอบ “อืม” มาหนึ่งคำ น้ำเสียงดูเคร่งขรึมไม่น้อย ฟังจากมือถือแบบนี้ทำให้จับไม่ได้เลยว่ากำลังรู้สึกอย่างไร “ดื่มมาเหรอ?”

เผยอี้รู้ว่าเธอเพิ่งไปเข้าร่วมงานเลี้ยงปิดกล้อง ‘Suspect’ มา เธอเองก็รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่แปลกไปของเผยอี้ จึงรีบตอบออกไปทันที

“เปล่า”

เธอคออ่อน ตั้งแต่ที่เข้าวงการบันเทิงมา เซี่ยเชาฉวินก็ดูแลและป้องกันเธอในเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดี ทำให้ปกติแล้วไม่ค่อยได้ดื่มเท่าไหร่ ในงานแบบนี้ส่วนมากให้ดื่มก็แค่น้ำผลไม้หรือไม่ก็เหล้าดีกรีต่ำๆ อย่างพวกไวน์ผลไม้เท่านั้น

แต่ในงานเลี้ยงปิดกล้องในคืนนี้เซี่ยเชาฉวินไม่ได้อยู่กับเธอด้วย แต่ฮั่วจือหมิงเองก็ช่วยดูเธออยู่ และทีมงานในกองถ่ายก็ไม่ได้ไปรบกวนอะไรเธอนัก เธอจึงดื่มไปแค่ไวน์ผลไม้นิดหน่อย พอทานมื้อค่ำเสร็จแล้วก็มีผู้ช่วยอีกหลายคนพาเธอกลับมาที่โรงแรม

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าเผยอี้ถามขึ้นมาแบบนี้ เธอก็จะตอบกลับไปด้วยความแน่วแน่ในทันที แต่คืนนี้น้ำเสียงของเผยอี้ดูแปลกไปมากจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าหลังจากที่เขาเรียนจบและทำงานมาระยะหนึ่งแล้วหรือเปล่า จึงทำให้น้ำเสียงของเขาดูน่าเกรงขามขึ้นมา ทำเอาเธอรู้สึกว่าไม่อยากจะไปสู้ด้วยสักเท่าไหร่

“ผมไม่เชื่อหรอก” ปลายสายอย่างเขาพูดออกมาเบาๆ “ให้ผมดูหน่อย”

เธอหวั่นที่จะถูกเผยอี้จับได้มาก เธอกล้าที่จะให้เขาเห็นสภาพตัวเองในตอนนี้เสียที่ไหน เธอยืนยันออกไปทันที

“ก็ดื่มนิดหน่อย แค่ไวน์ผลไม้น่ะ” แถมยังยืนยันอีกรอบว่า “จริงๆ นะ!”

“ที่ไม่ได้รับวีดิโอคอล เป็นเพราะว่าเพิ่งกลับมาถึงที่โรงแรม ล้างเครื่องสำอางเสร็จเลยมาส์กหน้าอยู่น่ะ”

ยิ่งเจียงเซ่อพูดแบบนั้น เผยอี้ก็นิ่งรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ

นิสัยของเธอ เผยอี้รู้ดีที่สุด ถ้าหากว่าเธอมั่นใจแล้วว่าเหตุผลมันแน่นอนอยู่แล้ว เธอก็จะพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่มีทางที่จะมายืนยันอีกครั้งแบบนี้แน่ๆ ตอนที่โทรไปหาเธอ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตอนที่กำลังยุ่งอยู่ แต่ก็กดตัดสายวีดิโอคอลจากเขาเสียดื้อๆ แบบนั้น แถมยังโทรกลับเองในทันทีอีกต่างหาก

ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในกองถ่าย ‘Suspect’ หรือเปล่า รายงานข่าวในพวกนิตยสารก็ไม่ได้ชัดเจนอะไรเลย ในกองถ่ายก็มีเถาเฉินอีกคน ตัวเธอเองก็ปิดเรื่องไว้เสียมิดชิด

ยิ่งไม่อยากให้เขาเห็น เขาก็ยิ่งอยากจะรู้มากยิ่งขึ้น

ก่อนที่เนี่ยต้านจะออกเดินทางไปต่างประเทศก็ได้ไปดูหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ก่อนแล้ว เฉิงหรูหนิงก็ทำก็มากวนโมโหเขาอีก บอกว่าก่อนหน้านี้เซี่ยเชาฉวินผู้จัดการส่วนตัวของเจียงเซ่อบินไปที่ฝรั่งเศสแล้ว น่าจะเป็นเพราะไปเจรจาเรื่องการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์แชมพู Carolus ได้ยินมาว่าการเจรจาน่าจะมีความสำเร็จสูง ตอนที่เซี่ยเชาฉวินไป ก็ได้นัดพบกับทาง Carolus เพื่อที่จะเตรียมเซ็นสัญญาแล้ว แต่สุดท้ายกลับเจรจาไม่สำเร็จ แต่กลับไปเจรจากับแบรนด์สกินแคร์อย่าง Melovin แทน

ที่จริงทาง Carolus เองก็มองเจียงเซ่อเอาไว้อยู่แล้ว แต่เหมือนว่าช่วงนั้นผู้จัดการของเถาเฉินเองก็บินไปที่ฝรั่งเศสเหมือนกัน คงเป็นเพราะเถาเฉินเองก็มีโอกาสที่จะได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เหมือนกัน ผู้จัดการของหล่อนถึงได้ทำแบบนั้น

เมื่อเอาทั้งสองเรื่องนี้มาประกอบกันแล้ว เผยอี้เองก็ไม่ได้โง่ แน่นอนว่าจะต้องเดาออกว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในกองถ่ายแน่ๆ และจะต้องเกี่ยวข้องกับเถาเฉินแน่นอน ถึงทำให้โอกาสที่ Carolus เคยให้อยู่กับมือมันหลุดลอยออกไปแบบนี้

เขามักจะคิดว่า หรือเธอกำลังไม่สบายกันนะ? ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า? หรือว่ามีเรื่องอะไรกันแน่

ทุกๆ ครั้งที่ความคิดพวกนี้มันแวบเข้ามาในหัว เขาก็มักจะไม่แน่ใจว่ามันจะถูกต้อง ถ้าหากว่าบาดเจ็บร้ายแรง ถึงแม้ว่าเธออยากจะปิดเขา แต่ข่าวแบบนี้คงไม่มีทางที่จะปิดเขาได้แน่ๆ ส่วนบทของเธอที่จะต้องถ่ายในเรื่อง ‘Suspect’ นั้นก็เยอะอยู่เหมือนกัน ถ้าบาดเจ็บร้ายแรงจริงๆ ก็คงไม่มีทางที่จะถ่ายต่อแน่ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ได้ปิดกล้องเร็วกว่ากำหนดด้วย

ถ้าไม่ได้บาดเจ็บ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ที่ทำให้เธอไม่ยอมให้เขาเห็นแบบนี้?

ตอนแรกเขากะว่าจะขอลาหยุดเพื่อไปดูเธอที่กองถ่าย แต่เธอก็ไม่เห็นด้วย แถมยังบอกว่าถ้าขอเคลียร์ตารางงานที่ยุ่งๆ ช่วงนี้ให้หมดก่อนแล้วจะเล่าถึงเรื่องในกองถ่ายให้ฟัง

เผยอี้เองก็รอที่จะให้เธอเป็นคนเล่าเรื่องนี้เอง แต่จนมาถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง

“หลังจากที่หนังปิดกล้องแล้ว พี่อยู่รอผมที่หัวอิ่งก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะลาหยุดไปหา”

ตอนที่เขาพูดแบบนั้นออกมา มันไม่ใช่การปรึกษากับเจียงเซ่อแต่อย่างใด แต่เป็นการยืนยันกับตัวเองต่างหาก เขาคิดว่าถ้าหากว่าเจียงเซ่อยังปฏิเสธ งั้นก็แสดงว่าเธอกำลังตั้งใจหลบหน้าเขาอยู่แน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้น เขาเองก็ไม่สามารถที่จะอยู่เฉยๆ รอเธอกลับไปถึงตี้ตูได้เหมือนกัน

แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ พอเขาพูดแบบนั้นออกไป เจียงเซ่อก็รีบพูดในทันที “ไม่ต้องหรอก อานฉีจองตั๋วเครื่องบินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้าฉันก็นั่งเครื่องบินกลับตี้ตูแล้วล่ะ พี่เชาฉวินได้ให้ฉันพักสองเดือน คะแนนสอบก็ออกมาพอดีด้วย รอหลังจากสัมภาษณ์ก่อน เดือนหน้าฉันถึงจะไปอยู่เป็นเพื่อนนายที่คิวชูเอง”

เธอสัญญาออกไป กลัวเหมือนกันว่าเผยอี้จะปฏิเสธ ในหัวของเธอจึงพยายามคิดหาทางโน้มน้าวเขาอีกครั้ง

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เผยอี้ก็ดันถามเพื่อความแน่ใจเหมือนกับว่ายอมแล้ว “แน่นะ?”

“แน่สิ!”

เธอไม่ทันได้สังเกตถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายใต้เสียงเรียบนิ่งนั่นเลยสักนิด แถมยังคิดว่าตัวเองเกลี้ยกล่อมเผยอี้ได้สำเร็จอีกต่างหาก ความโล่งใจทำให้การระวังตัวของเธอมันไม่ทำงาน เผยอี้จึงถามเธอต่อ

“แล้วพรุ่งนี้ออกเดินทางกี่โมงครับ?”

เธอรีบกวักมือเรียกโม่อานฉีทันที ก่อนจะใช้มือปิดลำโพงเอาไว้ แล้วบอกให้โม่อานฉีเปิดดูเที่ยวบินและเวลาที่เครื่องบินจะขึ้นในวันพรุ่งนี้ เมื่อเจอเที่ยวบินที่เช้าที่สุดแล้ว ก็ไม่รอให้โม่อานฉีได้พูดอะไร เธอก็รีบพูดกับเผยอี้ทันที

“เที่ยวบินเจ็ดโมงครึ่งน่ะ กลับถึงตี้ตูก็เก้าโมงกว่าแล้ว ถ้านายบินมาตอนนี้ก็เหนื่อยเกินไปแล้ว”

เผยอี้ดูเสียใจไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะฟังความคิดเห็นของเธอ “งั้นอย่าลืมนะครับ กลับถึงตี้ตูแล้ว ก็ส่งข่าวให้ผมรู้ด้วย” น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนขึ้น จากนั้นก็บอกให้เจียงเซ่อรู้เป็นนัยๆ ว่า “เซ่อเซ่อ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนะ รู้ไหม?”

ประโยคที่แสนห่วงใยนั่นมีน้ำเสียงของการขอร้องอยู่ด้วย เขาเองก็ฉลาดขนาดนี้ เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังปิดบังอะไรขา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะตามใจเธอ และนั่นก็ทำให้เจียงเซ่อรู้สึกผิดไปเลย

“ได้ อาอี้ มันไม่มีอะไรจริงๆ นะ” เธอยังคงยืนยันคำเดิม หลังจากวางสายไปแล้วถึงได้ถอนหายใจโล่งอกออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เห็นว่าโม่อานฉีได้เอาตารางงานมาให้เธอยืนยันอีกที

“เซ่อเซ่อ จะเปลี่ยนตั๋วกลับเป็นพรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมงครึ่งจริงๆ ใช่ไหม?”

โม่อานฉีเห็นแล้วว่าเจียงเซ่อจองตั๋วเป็นตอนดึกไป ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่คนน้อยที่สุด คือถึงแม้ว่าจะมีคนเจอเจียงเซ่อแล้วถ่ายรูปเธอไป มันก็จะยังง่ายต่อการจัดการ

แต่ถ้าไปถึงตี้ตูตอนเก้าโมงกว่า สนามบินจะต้องเต็มไปด้วยผู้คนแน่ๆ ถ้าหากว่าถูกเห็นและกลายเป็นจุดสนใจละก็ ก็อาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแน่ๆ

ถึงแม้ว่ากับพวกสื่อจะพอคุยกันได้ แต่ถ้าคนมันเยอะขึ้น พวกแฟนคลับเองก็คงจะตามถ่ายเหมือนกัน

ตอนนี้เจียงเซ่อตัดผมสั้นแล้ว ยังไม่เหมาะที่จะให้ทุกคนได้เห็น ถ้าทำแบบนี้ละก็ จะต้องกลายเป็นข่าว และยากที่จะกดข่าวนี้ลงได้

“ไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ”

เจียงเซ่อส่ายหน้า ก็โกหกเผยอี้ไปแล้ว ก็ต้องโกหกไปให้สุด รูปลักษณ์ของเธอตอนนี้มันยังไม่เหมาะที่จะเจอกับเผยอี้จริงๆ เพราะเขาอาจจะโมโหก็ได้

“เดี๋ยวฉันจะโทรไปบอกพี่เชาฉวินเอง”

โม่อานฉีพยักหน้า แล้วกลับไปทำงานของตัวเอง

ตอนที่เจียงเซ่อโทรกลับไปที่ตี้ตู เซี่ยเชาฉวินก็ยังอยู่ที่บริษัท หล่อนเพิ่งจะกลับมาจากต่างประเทศ ทำให้มีหลายๆ สิ่งอย่างในตี้ตูที่เธอจะต้องจัดการ พอได้ยินว่าพรุ่งนี้เจียงเซ่อได้เปลี่ยนเที่ยวบินที่จะกลับในวันพรุ่งนี้ หล่อนก็ยังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าเรื่องที่ทำให้ฝั่งของโม่อานฉีเกิดความยุ่งยากนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ลำบากหล่อนเลยสักนิด