webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

604

บทที่ 604 ต้องรู้จักที่จะเสียสละ

“พวกตำรวจนี่ช่างไร้ความความสามารถจริงๆ เลย” เธอมองอาการของเฉินซวินหรานออกหมดแล้ว เธอเคยได้พูดคุยกับเฉินซวินหรานมาแล้วหลายครั้ง และรู้ว่านิสัยของหล่อนนั้นเป็นพวกที่มีความตั้งมั่นสูง ควบคุมสถานการณ์ได้ดี และรักความถูกต้อง

แต่สัญลักษณ์ของความดีงามเหล่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นจริงแล้วมันก็กลายเป็นสิ่งที่ดูอ่อนแอจนน่าสมเพช เหมือนกับว่าเป็นเรื่องตลกก็มิปาน

เธอหลับตาลง แพขนตาช่วยปกปิดแววตาที่กำลังครุ่นคิดบางอย่างของเธอเอาไว้ เธอเป็นเหมือนกับปริศนาที่อยู่ในม่านหมอก ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับไม่สามารถหยั่งลึกถึงจิตใจของเธอได้เลย

“เมื่อหลายสิบปีก่อน พ่อของฉันเองก็ถูกอู๋ชุนเหอใส่ร้ายป้ายสี พวกตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย” พอเธอพูดถึงตรงนี้ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “พอวันนี้มีคนตาย แถมยังมีถึงสองคดี ตำรวจก็ยังไม่มีปัญญาอยู่ดี”

ตอนที่หญิงสาวคนนี้พูดขึ้นมา คำพูดเหล่านั้นก็เคล้าเสียงหัวเราะเยาะเย้ยไปด้วย พลางยกมือข้างหนึ่งขี้น เพื่อจัดวิกผมที่เริ่มเบี้ยวให้เข้าที่ การกระทำแบบนั้น มันทำให้เฉินซวินหรานรู้สึกเหลืออดมากกว่าตอนโดนเธอเย้ยหยันและยั่วโมโหเป็นร้อยเป็นพันเท่า “แล้วยังมาสงสัยหญิงสาวที่อ่อนแออย่างฉันอีก”

หญิงสาวที่อ่อนแออย่างนั้นหรือ? เฉินซวินหรานปิดปากไม่พูดอะไรออกมา มันเหมือนกับมีหินหนักๆ ก้อนหนึ่งทับหล่อนเอาไว้ กดทับจนรู้สึกแน่นไปหมด แม้แต่จะหายใจออกมาก็ยังลำบาก

“ฉันจะจับตาเธอเอาไว้!” ตอนที่หล่อนพูดแบบนั้นออกมา เสียงที่เปล่งออกมานั้นก็ดังไม่น้อย แต่จริงๆ ตัวเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจสักเท่าไหร่หรอก อีกทั้งยังรู้สึกด้วยว่าความใจร้อนของตัวเองทำให้เรื่องเสีย และหมดความนิ่งและสงบอย่างที่เคยเป็นมา “ฉันจะต้องหาหลักฐานที่เธอเป็นคนฆ่ามาให้ได้”

ราวกับเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้แพ้ น่าหัวเราะสิ้นดี แต่นอกจากคำพูดเหล่านั้นแล้ว หล่อนเองก็ไม่รู้แล้วว่าควรที่จะพูดอะไรต่ออีก

หล่อนถูกหญิงสาวคนนี้กดเอาไว้จนแทบจะดิ้นไม่หลุด ไม่ยินยอม ไม่ยอมรับ แต่มันก็เป็นอย่างที่เธอพูด ตำรวจช่างไร้ความสามารถ

ทั้งๆ ที่คนร้ายที่น่าสงสัยที่สุดอยู่ตรงหน้านี้แล้ว แต่สิ่งเดียวที่หล่อนทำได้ ก็แค่พูไประโยคโง่ๆ สองประโยคนั่น ไม่สามารถช่วยเหลือหรือทำอะไรกับคดีเหล่านั้นได้เลย

สีหน้าหยอกล้อของซูอี้ทำให้เฉินซวินหรานรู้สึกจนปัญญา การเป็นตำรวจคนหนึ่ง สิ่งที่ทำให้รู้สึกล้มเหลวที่สุด ก็คือการที่คนร้ายตัวจริงมานั่งอยู่ตรงหน้านี่แล้ว แต่กลับไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิด ทำได้แค่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลต่อไป มันไม่มีอะไรที่จะทำให้เฉินซวินหรานรู้สึกแย่ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

การถ่ายทำฉากๆ นี้เป็นอะไรที่ทำให้ฮั่วจือหมิงอยากจะตบโต๊ะชม ทั้งๆ ที่หญิงสาวทั้งสองคนนั้นไม่ได้มีการพูดจาเสียงดังใส่กัน ไม่มีท่าทางการกระทำที่รุนแรง และไม่มีการทะเลาะกัน แต่แค่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความดุเดือดแบบนี้ กลับทำให้รู้สึกถึงการต่อสู้ที่มีความตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าหลายเท่า

เสียงกาน้ำร้อนยังคงดังเรื่อยๆ เหมือนยิ่งเพิ่มความดุเดือด ให้กับการปะทะกันของทั้งสองหญิงสาว และมันก็ดีเสียยิ่งกว่าการพูดบรรยายเสียอีก

ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นฉากที่ให้ความตื่นเต้นมากๆ แล้ว แต่การดีไซน์การแสดงของทั้งสองคนกลับเกินมาตรฐานที่ฮั่วจือหมิงคาดเอาไว้เสียอีก

ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเขียนบทหนังเรื่องนี้ออกมา แต่ฮั่วจือหมิงกลับคิดว่าการแสดงของเถาเฉินและเจียงเซ่อนั้นมันได้อยู่นอกเหนือขอบเขตของบทหนังไปแล้ว

เฉินซวินหรานอยากจะมองซูอี้ให้ออก เหมือนกับว่าอีกหนึ่งนาทีต่อไปหล่อนก็จะดึงกุญแจมือออกมา และจับจุดอ่อนของหญิงสาวคนนี้ได้ พูดได้ว่าฮั่วจือหมิงรู้ว่าการที่เฉินซวินหรานนัดซูอี้มาพบเป็นการส่วนตัวในฉากๆ นี้ ในขณะที่เถาเฉินกำลังถ่ายฉากนี้อยู่นั้น บนตัวของหล่อนนั้นก็ไม่ได้มีกุญแจมือติดตัวอยู่ด้วย

แต่กับซูอี้ที่ทำทีเหมือนกับแมวที่ไล่จับหนูอยู่ตลอดเวลาก็ได้เชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ภายใต้อารมณ์ที่เรียบนิ่งไม่สนใจสิ่งใดๆ ตอนที่เธอมองเฉินซวินหรานลนลานแบบนี้ก็เหมือนกับได้ดูหนังสนุกๆ เรื่องหนึ่ง มุมปากที่ถูกยกขึ้นมันช่างดูยั่วยุมากจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นในหนังหรือนอกหนัง ทั้งสองคนก็เหมือนจะมีการปะทะฝีมือกันอยู่เสมอ ในการถ่ายทำฉากๆ นี้ เป็นเพราะว่าทั้งเถาเฉินและเจียงเซ่อต่างก็แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ทำให้ผ่านไปได้ด้วยดีอีกครั้ง

ฉากสำคัญต่างๆ ในเรื่อง ‘Suspect’ ใกล้ที่จะถ่ายเสร็จหมดแล้ว ทีมงานที่ได้เห็นฉากคุมเชิงกันก็ได้ยินเสียงฮั่วจือหมิงตะโกนขึ้น

“เยี่ยมมาก” ถึงจะค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาว่าการแสดงในฉากๆ นั้นจบลงแล้ว

บรรยากาศที่ดูน่าตื่นเต้นเมื่อครู่นี้ หลายๆ คนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นจนต้องกำมือแน่น แต่เมื่อฮั่วจือหมิงตะโกนสั่งหยุดแล้ว ทีมงานหลายๆ คนก็ค่อยๆ คลายมือของตัวเองออก แล้วถึงจะค่อยรู้ตัวว่ามือตัวเองมันชื้นเหงื่อไปหมดแล้ว

ตัวกล้องถ่ายถูกปิดลงแล้ว ฮั่วจือหมิงกำลังนั่งดูฉากที่ถ่ายไปเมื่อครู่อย่างตื่นเต้น

เจียงเซ่อถอดวิกผมออกอย่างขี้เกียจ ภายในสองเดือนที่ผ่านไปนี้ ผมที่เธอตัดมันออกด้วยตัวเองก็ได้ยาวขึ้นไม่น้อยแล้ว เธอยกแก้วชาขึ้นมาและจิบมัน พอได้ยินเสียงหัวเราะที่ดูพึงพอในของฮั่วจือหมิงแล้ว ก็หันหน้าไปมองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“เธอรู้ไหม” ไม่รู้ทำเถาเฉินถึงได้รู้สึก เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในใจ

“ทางแบรนด์แชมพู Carolus พวกเขากำลังพิจารณาฉันแล้วนะ”

ในเวลานี้ หล่อนคิดได้แต่เพียงว่าจะต้องพูดเรื่องนี้ให้กับเจียงเซ่อฟัง

แชมพู Carolus นั้นเหมือนจะเล็งตัวเจียงเซ่อเอาไว้มาหลายปีแล้ว แต่ในตอนที่กำลังจะเจรจาสำเร็จอยู่แล้ว กลับมาพบว่าเจียงเซ่อนั้นตัดผมออกไปแล้ว ทำให้ทาง Carolus เกิดความลังเล และจะต้องเปิดทางให้กับเถาเฉินอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อเพิ่มคนที่จะมีคุณสมบัติมากพอที่จะมาแย่งชิงโอกาสนี้เข้าไป

ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน หล่อนจะต้องดีใจมากแน่ๆ แต่ในตอนนี้กลับไม่รู้สึกว่ามีความสุขเลยสักนิดเดียว

เจียงเซ่อทำตัวเหมือนกับว่าไม่ได้สนใจผมตัวเองเสียเท่าไหร่ เมื่อกี้เธอเพิ่งจะถอดวิกออก ทำให้ผมจริงมันดูยุ่งไม่เป็นทรง แต่ใบหน้าที่งดงามนั่นยังคงทำให้ใจเต้นอย่างเคย อีกทั้งยังผมให้ทรงผมสั้นๆ นั่นดูดีขึ้นมาอีกด้วย

เมื่อไม่มีเส้นผมมาคอยทำหน้าที่เพิ่มความสวยให้กับตัวเองแล้ว เถาเฉินถึงได้สังเกตเห็นใบหน้าที่มีเค้าโครงประณีตและละเอียดอ่อน เครื่องหน้าบนใบหน้าของเธอมันดูสวยงามไปหมด ท่วงท่าการก้มหน้ายิ้มของเธอ มันทำให้ยากเหลือเกินที่จะหาจุดด้อยของตัวเธอออกมา หรือแม้แต่คนที่ไม่ชอบเธออย่างเถาเฉินเอง ก็ต้องยอมรับว่าใบหน้าของเธอนั้นมันทำให้ตื่นตะลึงได้ขนาดไหน

“สิ่งดีๆ มักจะมีการแย่งชิงเสมอ โอกาสใครๆ ก็มีกันทั้งนั้น” เจียงเซ่อชะงักไปเล็กน้อย เพิ่งจะรู้ตัวว่าเถาเฉินกำลังพูดกับเธออยู่ เธอจึงตอบรวมๆ ออกไป “ฉันได้ยินจากพี่เชาฉวินแล้วล่ะคะ”

เธอควรที่จะไม่พอใจสิ เธอน่าจะโมโหหงุดหงิด แต่ตอนนี้เธอกลับมีแค่รอยยิ้ม ราวกับว่าได้ตบหน้าเถาเฉินทั้งๆ ทำเอาหล่อนดูเป็นพวกจนตรอก

“ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ ดูเหมือนไม่ใช่นิสัยของเธอเลยนะ?”

เหมือนหล่อนกำลังพยายามที่จะยั่วยุ เหมือนกำลังพยายามจะทำให้เจียงเซ่อรู้สึกโกรธไม่พอใจ อย่างน้อยก็ให้เหมือนตัวหล่อนในตอนนี้ ทั้งๆ ที่หล่อนก็สมหวัง สามารถแย่งชิงการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ Carolus มาจากเจียงเซ่อได้ แต่พอได้มาพูดโอ้อวดต่อหน้าเจียงเซ่อแล้ว กลับรู้สึกว่าไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย

“นั่นไม่ใช่การยอมแพ้ไปง่ายๆ หรอกค่ะ” เจียงเซ่อแก้ขึ้นมา “ก็เท่ากับว่าคุณได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์ Carolus แต่ว่าฉันได้สิ่งที่ดีกว่าการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ Carolus”

และสิ่งที่ดีกว่าที่เธอพูดถึง เถาเฉินเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันคืออะไร

การเสียผลประโยชน์ในเรื่อง ‘Suspect’ ไปนั้น สำหรับเถาเฉินแล้วก็ถือว่ามีผลกระทบอยู่ไม่น้อย จากการมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง หลังจากที่เจียงเซ่อตัดผมตัวเองออก หล่อนก็รู้สึกมาตลอดว่าบุคลิกของเจียงนั้นมันบังทับหล่อนอยู่ตลอดเวลา

ความรู้สึกนั้นมันก็เหมือนกับในหนัง ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวหนังใกล้ที่จะปิดกล้องแล้ว การปะทะฝีมือกันในระหว่างการถ่ายทำก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุด แต่ทำไมเถาเฉินกลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองยังไม่สามารถหลุดพ้นจากเจียงเซ่อได้เลย

เธอรู้สึกร้อนรนไปหมด และรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก

เถาเฉินรู้สึกได้ว่า ตัวเธอในเมื่อก่อนไม่ว่าจะเป็นการแย่งจุดยืนในบริษัทซื่อจี้หยินเหอ แย่งชิงชื่อเสียงในหัวเซี่ย แย่งชิงงานโฆษณา ไม่ว่าเธอจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบเจียงเซ่อ เธอก็มักจะแสดงว่าตัวเองนั้นเก่งกาจเพื่อให้ตัวเองมีความมั่นใจ ถ้าอย่างนั้นเมื่อเธอได้มาอยู่ต่อหน้าเธอแล้ว โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ตัวเธอได้การเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ Carolus มาไว้ในมือ ก็เท่ากับว่าเธอชนะ และเธอก็สามารถที่จะมาโอ้อวดได้ แต่กลับรู้สึกว่าเหมือนเธอได้สูญเสียความมั่นใจในฝีมือการแสดงที่จะสามารถกดเจียงเซ่อไปแล้วอย่างนั้น

ที่จริงเธอไม่ควรรับเล่นหนังเรื่อง ‘Suspect’ เลยด้วยซ้ำ เพราะเธอได้สูญเสียความมั่นใจที่มีค่ามากที่สุดไปแล้ว

บางทีการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ อาจจะส่งผลเสียกับเธอในระยะยาวไปเลยก็ได้ และอาจจะทำให้เธอต้องหวนนึกถึงผลประโยชน์ที่ต้องเสียไปในตอนที่ถ่ายทำเรื่องนี้ มันจะกลายเป็นเหมือนตราบาปในงานต่อๆ ไปของเธอ ไม่รู้ด้วยว่าจะข้ามผ่านมันไปได้เมื่อไหร่

“ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะตัดผมตัวเองจริงๆ”

เธอขยับมุมปากเล็กน้อย อยากจะทำเป็นยิ้มนิ่งๆ ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่พอลองหลายครั้งแล้ว ก็พบว่ามันทำยากเหลือเกิน สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะยิ้มให้เหมือนอย่างที่เจียงเซ่อกำลังทำอยู่

เถาเฉินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจียงเซ่อจะตัดผมตัวเอง หล่อนคิดว่าเจียงเซ่อจะเสนอความคิดเห็นเหมือนอย่างที่รองผู้กำกับของ ‘Suspect’ ได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ และขัดแย้งกับฮั่วจือหมิงเรื่องตัวบทหนัง ขอให้ใช้เป็นผมปลอมในการถ่ายทำแทน ถ้าหากว่าเธอทำแบบนั้นละก็ นักแสดงกับผู้กำกับก็จะแตกแยกกันในทันที

หล่อนนึกว่าถ้าตัวเองทำแบบนั้นแล้ว เจียงเซ่อจะเกิดอาการพะว้าพะวงเพราะระยะเวลาการถ่ายทำนั้นมีจำกัด จะต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกหล่อนวางแผนทำลายได้อีก และไม่สามารถทำตัวให้เหมือนกับเป็นซูอี้ที่กล้าทำทุกอย่างโดนไม่สนใจอะไร

เถาเฉินคิดอะไรไว้มากมาย แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงเลยก็คือการที่เจียงเซ่อหยิบกรรไกรขึ้นมา แล้วตัดผมตัวเองจริงๆ

เมื่อเรื่องทั้งหมดมันไม่ได้เป็นอย่างที่หล่อนคาดการเอาไว้ มันจึงทำให้สถานการณ์ข้างหน้าของหล่อนมันดูยุ่งเหยิงไปหมด ถ้าในด้านของการวางอำนาจนั้นหล่อนแพ้ให้กับเจียงเซ่อทั้งหมดแล้ว และหล่อนก็เหมือนพูดอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

“ฉันเองก็ไม่คิดเหมือนกันค่ะ ว่าการถ่ายหนังเรื่อง ‘Suspect’ จะต้องตัดผมด้วย” เจียงเซ่อดื่มชาจนหมดไปครึ่งแก้วแล้ว เธอยกกาน้ำชาขึ้นอีก และเพิ่มเข้าไปเล็กน้อย

“เธอไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือ?”

เถาเฉินมองไปที่ผมของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

“เสียดายสิคะ” เจียงเซ่อหันไปสบตากับเถาเฉินแวบหนึ่ง ตอนนี้ท่าทางของเถาเฉินดูไม่ผ่อนคลายเลยสักนิด เหมือนสูญเสียความสงบนิ่งไปมาก ท่าทางดูดุดันอย่างบอกไม่ถูก

มุมปากของหล่อนก็ดูหนักๆ เห็นหลายครั้งที่เหมือนจะพยายามยกยิ้มขึ้น แต่สุดท้ายก็ตกลงไปอย่างอ่อนแรง

ทีมงานรอบๆ กองถ่ายต่างก็ล้อมวงกันเข้าไปอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ ดูการแสดงของเจียงเซ่อและเถาเฉินเมื่อครู่นี้และกระซิบกระซาบชมเชยไม่หยุด

“แต่ว่ามันก็ยังยาวได้อีก แต่กับโอกาส มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” สิ่งนี้มันทำเธอได้เข้าใจถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ของตัวละครซูอี้ในเรื่อง ‘Suspect’ มากขึ้น และใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ในการเพิ่มความขัดแย้งระหว่างตัวเธอและเถาเฉิน ความรู้สึกเหล่านั้นมันยิ่งทำให้เธอสามารถเชื่อมอารมณ์เข้ากับจิตใจของตัวละครได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เถาเฉินที่นั่งอยู่ตรงข้ามแสดงเป็นเฉินซวินหราน มันก็ยิ่งง่ายต่อการแสดงอารมณ์ออกไปอย่างเต็มที่ ภายใต้การแสดงอารมณ์ที่ไม่จำเป็นต้องเผยให้เห็น ซ่อนจิตใจที่กำลังพูดอะไรมากมายของตัวเองเอาไว้

เจียงเซ่อลูบหัว เธอกางนิ้วออกเพื่อจะสางผม และจัดให้เรียบร้อย เธอเองก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องรักความสวยความงาม แต่ทว่าเพราะเส้นผมที่มันยังสั้นเกินไป ทำให้แม้จะจับไปสักกี่ครั้ง ก็ยากที่จะทำให้มันเป็นทรง สุดท้ายก็ยอมแพ้ที่จะทำมัน

“ตอนที่ฉันถ่ายหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ตอนที่ได้เข้ากองถ่ายครั้งแรกก็ได้แสดงแค่บทเชอรีนเท่านั้นเองค่ะ” ตอนนั้นเพราะถูกลาร่าวางแผนทำร้าย ฉากที่จะต้องถูกไฟเผานั่น เปลวไฟร้อนๆ มันก็ได้ลามมาโดนปลายผมของเธอด้วย ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะครั้งนั้นเธออดทนที่จะถ่ายจนจบ ภายหลังก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ไปเป็นตัวแสดงแทนของลาร่า และได้ลองเล่นบทบริตนีย์

เธอสามารถพูดเกลี้ยกล่อมเชี่ยซ่าเหลยได้ และมันก็ไม่ใช่เพราะว่าความเป็นเพื่อนระหว่างตัวเองปละเชี่ยซ่าเหลย และไม่ใช่เพราะคำว่า ‘ชื่นชอบ’ อะไรแบบนั้นด้วย

เถาเฉินที่ได้ยินแบบนั้น ในใจก็เกิดความคิดร้ายๆ ขึ้นมา จึงถามเธอขึ้น

“หนังเรื่อง ‘Suspect’ ใกล้จะเข้าสู่ช่วงโปรโมทแล้วนี่ แล้วเธอก็เป็นแบบนี้อีก จะเอาความมั่นใจที่ไหนไปโน้มน้าวคนที่ไม่พอใจที่เธอมาแสดงแทนนักแสดงฮอลลีวูดกันล่ะ?” แล้วหล่อนก็เสริมทับเข้ามาอีก “นิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ ฉันเองก็ได้อ่านมาแล้ว ลักษณะของตัวละครบริตนีย์ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนละคนกับเธอในตอนนี้เลยนะ”

หล่อนเว้นเล็กน้อย “จนมาถึงตอนนี้เชี่ยซ่าเหลยและกลุ่มนักลงทุนเอง ก็ยังไม่ได้ดึงตัวลาร่าออกจากกองถ่ายอย่างเป็นทางการเลยนี่ เรื่องที่ให้เธอมาตัวแสดงแทนตัวละครบริตนีย์ ทางตลาดยุโรปอเมริกาเองก็เป็นพวกต่างชาติอยู่แล้ว เรื่องนี้เธอเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แล้วเธอยังจะเอาอะไรไปทำให้คนดูยอมรับเธอได้อีก?”

“แล้วการที่ฉันเป็นยังไง มันไปเกี่ยวกับตัวละครยังไงหรือคะ?” เจียงเซ่อแค่นยิ้ม “เรื่องการโน้มน้าวคนดู มันไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกของตัวฉันเลยค่ะ แต่มันน่าจะอยู่ที่การแสดงของฉันมากกว่า การแสดงที่อยู่ในเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ของฉันน่ะ”

เถาเฉินพยายามอย่างมากที่จะปั่นป่วนความนิ่งสงบของเธอ แต่เถาเฉินไม่รู้เลยสักนิด ว่ายิ่งเธอทำแบบนี้ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเธอเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

เจียงเซ่อไม่จุดประเด็นอะไรอีก พอพูดจบ ก็วางแก้วชาลง แล้วพูดออกไป

“ดีใจมากที่ร่วมงานกับรุ่นพี่อย่างคุณในเรื่อง ‘Suspect’ นะคะ มันทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเลยล่ะค่ะ” พอเธอพูดถึงตรงนี้ ก็ไม่สนใจแล้วว่าเถาเฉินจะรู้สึกอย่างไรกับคำพูดของเธออีก “ฉันว่าจะไปดูฉากที่ถ่ายไปเมื่อครู่เสียหน่อย ขอตัวนะคะ คุณเถา”

ทั้งสองคนไม่ใช่เพื่อนกัน พอพูดกันไปได้สามสี่ประโยคแล้ว เจียงเซ่อก็คิดว่ามันน่าจะเพียงพอแล้ว เธอยินยอมให้กับตัวเนื้อเรื่องหนัง เพื่อฉากๆ นั้นของเรื่อง ‘Suspect’ จึงยอมที่จะตัดผมตัวเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมรับกับสิ่งที่เถาเฉินทำกับเธอ

เธอเดินไปยังจุดที่ฮั่วจือหมิงและคนอื่นๆ ยืนอยู่ ทีมงานหลีกทางให้เธอเดินเข้าไป และให้เธอนั่งลงตรงหน้าจอมอนิเตอร์ เพื่อดูการแสดงของตัวเอง

เถาเฉินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือทั้งสองข้างตั้งไว้อยู่บนโต๊ะ ก้มหน้าลง ในใจไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งที่เจียงเซ่อพูดก่อนหน้านี้เลยสักนิดเดียว

หล่อนไม่ได้มีความรู้สึกร่วมไปกับคนรอบๆ ข้างเลยสักนิดเดียว ความรู้สึกและสภาพจิตใจของเฉินซวินหรานในเรื่อง ‘Suspect’ มันสงผลกระทบต่อตัวหล่อนแล้ว ทำให้ตอนนี้ในใจของหล่อนมันชาไปหมด

หลังจากที่ปิดกล้องหนังไปแล้ว โม่อานฉีและคนอื่นๆ ก็กลับมาที่โรงแรมกับเจียงเซ่อ สัมภาระส่วนใหญ่ค่อยๆ ถูกห่อลงพัสดุเพื่ออตามส่งไปที่ตี้ตูในภายหลัง นอกนั้นก็เป็นพวกของใช้จำเป็นที่ต้องรอห่ออีกทีหนึ่ง

เฉินซั่นเทน้ำแร่ลงในกาน้ำ จากนั้นก็หยิบผงชาเชียวออกมาจากตู้เย็นของโรงแรม และเตรียมที่จะต้มให้เจียงเซ่อดื่ม

เธอนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว เงยหน้าขึ้น ช่างแต่งหน้าสางผมของเธอทีสองที แล้วช่วยหนีบให้

“ปล่อยให้ผมยาวอีกสักสามสี่เดือน ก็สามารถทำทรง WOB ได้แล้วนะคะ” *ทรงผมสำหรับคนผมสั้น ดัดลอนยุ่งๆ ถ้าหากจะเปรียบใบหน้าของเจียงเซ่อเป็นรูปวาดแล้วล่ะก็ ในมุมมองของช่างแต่งหน้าแล้ว ภาพๆ นี้ก็คงเป็นภาพที่ถูกวาดขึ้นโดยอาจารย์ที่มีฝีมือขั้นสูง เพราะมันช่างวิจิตรงดงาม

ขาวเนียนใสละเอียด เครื่องหน้าก็ดูสมดุลงดงามสุดๆ ถึงแม้ว่าจะแต่งบางๆ หรือแน่นๆ ต่างก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

แต่ก่อนเธอเคยชินกับการไว้ผมยาว ไม่วาจะทำทรงผมไหนก็ดูสง่างามไปหมอ อีกทั้งยังดูเป็นเด็กสาวที่บริสุทธิ์ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะดูเปลี่ยนไปมากเหมือนกัน หลังจากที่ผมถูกตัดออกไป คาแรคเตอร์ที่ดูมีความเป็นไปได้ก็ออกมาให้เห็นมาขึ้น “หลังจากนี้ถ้ามีงานอะไรที่จำเป็น ก็สามารถต่อผมได้ด้วยนะ”

เซี่ยเชาฉวินมองไปยังที่ไกลๆ ดูเหมือนว่าคงจะหาข้อดีของการที่เจียงเซ่อตัดผมตัวเองออกได้แล้ว ดังนั้นในเมื่อการเจรจาเรื่องการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Carolus มันถูกยังยั้งเอาไว้กลางคัน หล่อนก็เตรียมตัวที่จะไปเจรจากับแบรนด์ Melovin แบรนด์เครื่องประทินผิวชื่อดังของฝรั่งเศสต่อในทันที