webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

603

บทที่ 603 มิตรภาพ

ในใจเจียงเซ่อนั้นได้ตัดสินใจเอาไว้อย่างแน่ชัดแล้ว แค่รอให้ฮั่วจือหมิงเปิดปากขึ้นมาเท่านั้น เพราะไม่ อยากจะให้ชายอาวุโสที่เอาแต่ใจจนติดเป็นนิสัยคนนี้ได้อย่างที่ต้องการไวนัก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการทำเพื่อหนัง เพื่อฉากๆ หนึ่ง แต่ทว่ากลับพูดคุยกับเถาเฉินแทน และยังไม่ทันที่จะปรึกษาเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆ จะมาบอกขอให้เธอตัดผมเสียอย่างนั้น

“ฉันคิดว่ามันจำเป็นนะ” ฮั่วจือหมิงพยักหน้าให้อย่างจริงจัง “การกระทำแบบนั้น มันจะสามารถยิ่งทำให้ ตัวละครซูอี้ดู ‘สมจริง’ ขึ้นมาอีกมาก ตอนที่หนังได้ออกฉาย มัน จะต้องทำให้ผู้คนเกิดความตื่นตระหนก และมันก็ ดีกว่าการมานั่งอธิบายว่าตัวละครตัวนี้เป็นคนยังไง”

ในเวลาที่พูดถึงเนื้อเรื่องหนัง ฮั่วจือหมิงก็ดูตื่นเต้นไม่น้อย เขายกมือขึ้นมาทำเป็นกรรไกร ส่วนอีกข้างก็ยก ขึ้นจับผมแล้วตัดมัน

“ขอแค่ตัดออกแบบนี้ แล้วผมร่วงลงมา ตัวละครตัวนี้ก็จะดู ‘โหดเหี้ยม’ ขึ้นมาในทันที” ความโหดเหี้ยมที่ พูดถึง มันดูมากกว่าฉากฆ่าคนเป็นหลายเท่า ในเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้คาแรคเตอร์ของ ‘ซูอี้’ ที่ฮั่วจือหมิงกำหนด เอาไว้ คือต้องการที่จะให้ออกมาเป็นในรูปแบบนี้ เป็นตัวละครที่สามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนอย่างไร

“เจียงเซ่อ…” มีใครบางคนที่ยืนอยู่ไกลๆ ตะโกนเรียกชื่อเธอขึ้นมา เธอหันหน้าไปตามเสียง พอแฟนคลับที่ เรียกเธอเห็นว่าเธอกำลังให้ความสนใจกัน ก็เรียกชื่อ ติดๆ กันอีกหลายครั้งอย่างตื่นเต้นดีใจ ตะโกนกรีดร้องกันใหญ่

“ข้อเรียกร้องนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำพูดของใครทั้งนั้น แต่มันคือการทำให้เนื้อเรื่องของหนังดีขึ้นเท่านั้น” ฮั่วจือหมิงเองก็ไม่ได้โง่ แต่เขาแค่เคยชินกับการก้ม หน้าทำเรื่อง ของตัวเองมากกว่า

เรื่องซุบซิบในกองถ่ายที่ว่าเถาเฉินและเจียงเซ่อ ‘ไม่ถูกกัน’ เพียงแค่เขาไม่ได้ไปสืบค้นอะไรมากกว่านั้นเท่า นั้น แต่ก็มีหลายๆ คนมาพูดให้เขาฟังเช่นกัน

การที่เขาพูดแบบนั้นออกไป แค่ต้องการจะแสดงให้เจียงเซ่อรู้ว่า เขาไม่ได้ต้องการที่จะกลั่นแกล้งเจียงเซ่อ เพียงเพราะคำพูดของเถาเฉิน ที่เขาพูดออกไปแบบนั้นมันเป็นเพราะสิ่งที่เถาเฉินเสนอมา มันสะกิดใจเขาเข้าพอดีเหมือนโดนจับจุดเอาไว้ได้แบบนั้น

“ถ้าเธอไม่ตกลง ฉันเองก็พอจะเข้าใจ” เขาถอนหายใจออกมายาว ผู้ช่วยทั้งสองคนของเขาก็พูดห้ามตั้ง หลายครั้ง สีหน้าของรองผู้กำเองก็ดูลำบากใจไม่น้อย ฮั่วจือหมิงไม่ใช่ไม่เข้าใจ เขาเองก็รู้ดีว่าการที่ต้องโกนผม สำหรับผู้หญิงแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก “แต่บางทีการมีจุดด่างพร้อย ถ้าไม่มีใครสังเกต เห็นก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเห็นแล้ว คงไม่อาจจะอดทนไว้ได้”

ความหมายในคำพูดของเขา เจียงเซ่อเองก็เข้าใจดี ถ้าหากว่าเจียงเซ่อยืนยันว่าจะไม่ตัดผม ฮั่วจือหมิงเอง ก็คงไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่ตัวเองคิดเช่นกัน และเรื่องนี้ก็จะกลาย เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมให้กันได้

หนังก็ถ่ายมาถึงตอนนี้แล้ว และมันก็ใกล้ที่จะปิดกล้องเต็มที กลุ่มนักลงทุนที่มาลงทุนกันก่อนหน้านี้ก็มีมากมาย การเตรียมตัวก็เยอะแยะขนาดนี้ ถ้าหากว่ามาหยุดกลางคัน ก็อาจจะถูกหยุดเอาไว้ อย่างไม่มีกำหนด

ถึงตอนนั้นแล้วนักทุนก็คงจะถามถึงเหตุผลและโมโห และคงจะให้ฮั่วจือหมิงเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด และทั้งๆ ที่เขาก็รู้ถึงผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่ก็ยังยืนยันในการตัดสินใจของตัวเองอยู่ดี

เจียงเซ่อหันหน้าไปมองเขา ผมที่ขาวตามอายุของเขาถูกหวีเรียบไปด้านหลัง เผยใบหน้าที่สามารถเห็น โครงหน้าได้อย่างชัดเจน เวลาที่พูดคิ้วก็จะเลิกขึ้น ทำให้หน้าผาก มีรอยย่นขึ้นเป็นชั้นๆ

“ถ้าหากว่าฉันไม่ยินยอม คุณจะทำยังไงหรือคะ?”

เธอถามถึงฉากต่อไปว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าหากว่าเธอนั้นปฏิเสธ ฮั่วจือหมิงจะจบเรื่องนี้ยังไง

นิสัยที่เดาได้ยากของเขา คงไม่มีทางที่จะยอมให้กับกับกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ได้ง่ายๆ แน่ เมื่อไหร่ที่กลุ่ม นักลงทุนถามถึง และข่าวซุบซิบต่างๆ ที่จะถูกปล่อยออกไป มันก็จะกลายเป็นแรงกดดันที่มหาศาลสำหรับตัวเขา เอง และกดทับชายอาวุโสที่หัวแข็งคนนี้

การที่มาแก้บทกลางคันแบบนี้ อาจจะกลายเป็นปัญหาการฉีกสัญญาที่หนักหนาสำหรับเขาก็ได้ และ อาจจะต้องชดใช้ทั้งหมดจนสุดท้ายต้องเสียชื่อเสียงไป

มีเส้นทางดีๆ ให้เดินไม่เดิน แต่เลือกที่จะเดินเส้นทางที่มันขรุขระแทน

“ในตี้ตู ในมีบ้านซื่อเหอหยวนที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เป็นมรดก ก่อนหน้านี้ก็มีคนอยากจะซื้อต่อมาก ถึงมัน จะไม่ได้ แต่ก็คงต้องจำใจขายให้!” เขายืดคอขึ้น “ส่วนคนที่เช่าอยู่อยู่ในบ้านหลังนั้น ฉันเองก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้!”

เถาเฉินยังคงนั่งดูบทอยู่ในกองถ่าย สิ่งที่หล่อนควรพูดก็ได้พูดไปแล้ว สิ่งที่ควรจะทำก็ทำไปแล้ว เธอไม่ได้มี ท่าทางอกสั่นขวัญแขวนเหมือนกับซ่งอี้ในตอนนี้อีก แต่นั่งรอผลลัพธ์เท่านั้น

โม่อานฉีและคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองมาที่เถาเฉินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ และสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของทีมงานรอบๆ กองถ่ายก็ไม่สามารถส่งผลอะไรต่อหล่อนได้เลย แต่ความมั่นใจของหล่อนมันก็ ค่อยๆ หายไปในตอนที่เจียงเซ่อและฮั่วจือหมิงเดินกลับมาในกองถ่าย

หล่อนยกข้อมือดูเวลา ฮั่วจือหมิงและเจียงเซ่อเพิ่งจะออกไปคุยกันได้แค่สิบห้านาทีเท่านั้น ตอนแรกหล่อน คิดว่า พอฮั่วจือหมิงพูดขอแบบนั้นออกไปแล้ว เจียงเซ่อก็น่าจะมีปฏิกิริยาตอบกลับที่แรงกว่านี้ และการเจรจาของ ทั้งสองคนก็ไม่ควรที่จะผ่านไปได้ด้วยดี

ตอนที่เจียงเซ่อกลับเข้ามาในกองถ่าย ท่าทางอารมณ์ของเธอก็ดูสงบนิ่ง และฮั่วจือหมิงก็ตะโกนสั่งให้ ทีมงานเตรียมกรรไกรและอุปกรณ์มาอีกสองชุด

เถาเฉินรู้สึกไม่อยากจะเชื่อขึ้นมาทันที หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเจียงเซ่อ และเจียงเซ่อเองก็กำลังมองมาที่ หล่อนอยู่พอดีด้วย พอสังเกตเห็นสายตาของเถาเฉินแล้ว เธอก็ไม่ได้คิดที่จะหลบ แต่กลับค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น ราวกับว่ากำลังยั่วยุเถาเฉินอยู่

เธอตอบตกลงฮั่วจือหมิงแล้วจริงๆ น่ะหรือ? ความคิดแบบนั้นแวบเข้ามาในหัวของเถาเฉินทันที แต่จากนั้น ก็กลับความคิดอย่างรวดเร็ว เป็นไปไม่ได้!

เธอควรที่จะโต้กลับและไม่ยินยอมสิ เธอน่าจะคิดว่าสิ่งที่ฮั่วจือหมิงขอมันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เธอควรที่จะคิดถึงงานโฆษณาที่จะนำตัวเธอขึ้นไปอีกระดับ นึกถึงงานโปรโมท หนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ที่จะถึงภายในไม่กี่เดือนนี้แล้ว เธอจะเอาผมสั้นๆ ของตัวเอง ไปโน้มน้าวให้คนดูเชื่อว่าเธอเป็นบริตนีย์ในเรื่อง ‘นักโทษ’ ได้อย่างไรกัน

เถาเฉินไม่เชื่อว่าเจียงเซ่อจะโง่ได้ขนาดนั้นหรอก ไม่มีทางที่เธอจะตัดสินใจแบบนั้น

ถ้าหากว่าเธอโดนฮั่วจือหมิงพูดโน้มน้าวได้ง่ายแบบนี้จริงๆ นั่นก็แสดงว่าถ้าข้างเธอไม่มีเซี่ยเชาฉวินแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า?

ทีมงานในกองถ่ายต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ฮั่วจือหมิงกลับดูตื่นเต้นกว่าใครๆ เจียงเซ่อถอดชุด คลุมของตัวเองออก เผยชุดคลุมอาบน้ำที่อยู่ด้านใน เธอสางผมยาวที่รวมตัวกันอยู่ด้านหลังและเดินไปยังฉาก ‘ห้องน้ำ’ ที่กองถ่ายได้เตรียมเอาไว้

คนทำพร็อบการแสดงทำตามคำสั่งของฮั่วจือหมิง ถือกรรไกรและอุปกรณ์มีดโกนต่างๆ มาให้พร้อม

สีหน้าของโม่อานฉีดูร้อนรนเป็นอย่างมาก สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเจียงเซ่อนั้นได้ตกลง ‘คำขอที่ไม่มีเหตุผล’ ของฮั่วจือหมิงไปแล้ว

“เซ่อเซ่อ ยังไงเราโทรบอกคุณเซี่ยก่อนดีไหม?”

โม่อานฉีรีบเข้าไปหยุดเอาไว้ เพราะกลัวว่าฮั่วจือหมิงอาจจะไปรบกวนการตัดสินใจของเจียงเซ่อก็เป็นได้

หล่อนอยากยื้อเวลาเอาไว้ก่อน รอให้เซี่ยเชาฉวินกลับมาคุยเรื่องกับทางกองถ่าย แค่มีเซี่ยเชาฉวินออกโรง จะต้องไม่มีการตัดผมเกิดขึ้นแน่ๆ และยังสามารถแก้ไขปัญหาที่เหลืออื่นๆ ได้อีกด้วย

“ไม่ต้องแล้วล่ะ” เจียงเซ่อส่ายหน้า สีหน้าของเถาเฉินในตอนนี้มันกำลังนิ่งขรึมเป็นอย่างมาก ไม่เห็น รอยยิ้มเลยสักนิดเดียว แขนทั้งสองข้างของเธอกอดอกเอาไว้ มือข้างหนึ่งกำเอาไว้แน่น ฟันกัดกระทบกันอย่างแรง

โม่อานฉีร้อนรนจนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ได้แต่มองดูคนทำพร็อบค่อยๆ วางอุปกรณ์ต่างๆ ลงในลิ้นชัก

หลังจากทุกอย่างถูกเซตเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ในกล้องเจียงเซ่อค่อยๆ เดินไปเปิดประตูกระจกของห้องน้ำ เธอสวมชุดคลุมอาบน้ำเอาไว้และยืนอยู่ที่หน้ากระจก เป็นไปตามเนื้อเรื่องทุกอย่าง เธอโกนขนแขนและขนขาของตัวเองด้วยท่าทางที่ตั้งอกตั้งใจ

เธอวางอุปกรณ์ลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองกระจก กระจกนั้นขึ้นไอฝ้า เธอยกมือขึ้น แล้วค่อยๆ เช็ดมันออก

หลังจากจบฉากนี้แล้ว ฮั่วจือหมิงก็ควรที่จะสั่งคัท แต่เขากลับยืนอยู่ที่เดิมตรงหลังกล้อง และไม่พูดอะไร ออกมาสักอย่าง

เจียงเซ่อยกมือขึ้นลูบผมที่ยังคงเปียกและมีน้ำหยด ท่าทางเหมือนเสียดายอะไรบางอย่าง และแฝงไปด้วย ความรักทะนุถนอม เธอสางและลูบมันอยู่แบบนั้นกว่าหลายครั้ง และสามารถแสดงบทพยายามดิ้นรนออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

ฮั่วจือหมิงยังคงไม่สั่งหยุด เขาส่งสัญญาณให้กับกล้องตัวหนึ่งว่าไม่ต้องขยับไปไหน ส่วนกล้องอีกตัวให้ จับไปที่เงาที่สะท้อนอยู่บนกระจก

ฉากๆ นี้ถ่ายได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และฮั่วจือหมิงก็คิดว่าเจียงเซ่อสามารถทำมันให้ผ่านได้ภายในครั้ง เดียวด้วย

ภาพหญิงสาวที่สะท้อนอยู่ในกระจกหลับตาลง ราวกับว่ากำลังตัดสินใจอย่างแน่ชัดแล้ว ก่อนจะเปิดลิ้นชัก ออกแล้วหยิบกรรไกรออกมา ตอนที่เงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของเธอมันกระตุกขึ้นบางๆ แววตาเต็มไปด้วยความ เข้มแข็ง ซูอี้ในตอนนี้ราวกับมีความกล้าหาญที่พร้อมจะเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก!

วินาทีที่เถาเฉินที่ได้เห็นเจียงเซ่อลงมือ ก็รู้ได้ทันทีว่าแผนการของตัวเองนั้นมันได้ล้มเหลวไปแล้ว

ที่จริงหล่อนต้องการที่จะใช้เรื่องนี้มาเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ที่ดีของฮั่วจือหมิงและเจียงเซ่อซะ แต่ก็ เหมือนว่าเจียงเซ่อจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากแผนการของ หล่อนเลยสักนิดเดียว แถมยังเหมือนว่ากลับกลาย เป็นสิ่งที่ไปเพิ่มการตัดสินใจของเธอแทน บวกกับเป็นการเพิ่มความชัดเจนให้กับคาแรคเตอร์ของตัวละครซูอี้อีก ด้วย

กลับกันเมื่อย้อนกลับมาดูที่ตัวหล่อน ที่ถูกเจียงเซ่อปั่นหัวจนสติยุ่งเหยิงไปหมด แม้แต่บทหนังที่อยู่ในมือก็ ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจมันอีก

การแข่งขันแก่งแย่งระหว่างหล่อนและเจียงเซ่อนั้น ถ้าหากเทียบว่ามันเป็น ‘เกม’ แล้วละก็ งั้นหล่อนก็แพ้ แล้ว แพ้เพราะตัวเองคาดคะเนคู่แข่งต่ำเกินไป และเหมือนจะแพ้ให้กับความแข็งแกร่งของเจียงเซ่อด้วย

ถ้าหากพูดว่าก่อนหน้านี้มันเป็นแค่การตอบโต้กันเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างหล่อนและเจียงเซ่อ อย่างนั้นหนัง เรื่อง ‘Suspect’ ก็คงจะเป็นการเปิดศึกอย่างจริงจังครั้งแรก ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เริ่มถ่ายทำมา ตัวหล่อนเองก็เป็น เหมือนกับเฉินซวินหราน มักจะตกเป็นเบี้ยล่างอยู่เสมอ เหมือนถูกมัด ถูกกดเอาไว้ ยากที่จะดิ้นรนออกมา

ท่าทีของลัวหยิ่นของซื่อจี้หยินเหอ และในใจของคนในประเทศที่ให้ความสนใจ ก็อาจจะมองว่าเจียงเซ่อก็คือคนที่จะมาแทนหล่อนในไม่ช้าก็เร็วนี้แล้ว

แต่ไม่ว่าคนอื่นจะคิดกันอย่างไร เถาเฉินก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย หล่อนมักจะมีความมั่นใจในตัวเองอยู่เสมอ

แต่ในตอนนี้ที่ได้เห็นเจียงเซ่อค่อยๆ ตัดผมตัวเองออกอยู่หน้ากระจกแบบนั้นแล้ว ในตอนที่เส้นผมหล่นร่วงลงสู่พื้น ราวกับว่าหล่อนได้หล่อนได้เห็นคู่แข่งที่ไม่มีทางเอาชนะได้คนหนึ่งแล้ว!

หล่อนไม่ใช่คนที่พอเจออะไรแบบนี้แล้วก็คิดจะถอยกลับ ทั้งชีวิตของหล่อน ไม่รู้ว่าผ่านศึกสงครามมามากน้อยแค่ไหน และหล่อนก็อดทนและผ่านมันมาได้เสมอ มีแต่ด้านที่เข้มแข็ง

แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่หล่อนเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ตัวเองไม่ควรจะรับเล่นหนังเรื่อง ‘Suspect’ หรือเปล่านะ จากนางเอกกลายมาเป็นตัวประกอบ จากดอกไม้สีแดงก็กลายเป็นใบเขียว เธอคิดว่าเธอได้บีบเจียงเซ่อนใกล้จะหมดความอดทนแล้ว แต่กลับเป็นการบีบให้หล่อนแสดงด้านที่โหดเหี้ยมในตัวออกมาเสียอย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าเพราะเธอแสดงได้สมจริงสมจังมากเกินไป หรือเป็น เพราะว่ากำลังอินกับบทมากเกินไป จนทำให้ตอนที่เถาเฉินมองเจียงเซ่อผ่านกนะจกเงานั้น กลับกลายเป็นเหมือนว่าซูอี้ในเรื่อง ‘Suspect’ ได้มีชีวิตจริงๆ ขึ้นมา

หลังจากถ่ายฉากนั้นเสร็จแล้ว ทั้งห้องถ่ายก็เงียบเป็นเป่าสาก เถาเฉินรู้สึกเหมือนมีกรงเล็บมาข่วนลงบน หัวใจ หล่อนเองก็อยากจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง เพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบและกดดันลง แต่พออ้าปากก็รู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรที่จะพูดเลย

สายตาของคนรอบข้างเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง ความรู้สึกพ่ายแพ้และทำอะไรไม่ได้แบบนี้ทำให้เถาเฉินนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ตัวหล่อนยังเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ ตอนที่ถูกคนอื่นขัดแข้งขัดขาแบบนี้ มันเหมือนกัน เหมือนกับถูกย้อนกลับไปในตอนนั้นอีกครั้ง

“เอากรรไกรมาให้ฉัน!” ทีมงานต่างก็รู้สึกหน่วงๆ ใจไปหมด แต่เสียงตะโกนโวยวายของฮั่วจือหมิงก็ได้ ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดนี้ลง แคลปเปอร์ที่ไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ยังทำตามในสิ่งที่เขาสั่งเดินเข้าไปหยิบ กรรไกรที่เจียงเซ่อใช้ตัดผมก่อนหน้านี้ออกมา

เขาเดินไปถึงข้างๆ เจียงเซ่อแล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองเธอ แต่ก็เหมือนจะได้ยินเสียงสะอื้นร้องไห้ ของผู้ช่วยทั้งสามคนของเธอด้วย

เถาเฉินมองดูฮั่วจือหมิงที่รับเอากรรไกรของทีมงานมาไว้ในมือ โดยที่ไม่ดูกระจกเลยด้วยซ้ำเขาก็ยกมันขึ้นตัดผมตัวเองในทันที

“อาจารย์ฮั่ว…” เสียงของผู้ช่วยของเขาที่ร้องเรียกขึ้นมาอย่างตกใจดึงดูดให้ทุกคนต้องหันไปมอง ชายอาวุโสที่ชอบพูดจาแย่ๆ คนหนึ่งกำลังตัดผมที่ถูกหวีเซ็ตมาอย่างดีจนแทบจะหมดหัวอยู่แล้ว

“อาจารย์ฮั่ว…”

คนที่ได้เห็นภาพนั้น ต่างก็ห้ามไม่ได้ที่จะยืนมองตาโต เจียงเซ่อเองก็ดูตะลึงไปไม่น้อย ปล่อยให้โม่อานฉีช่วยปัดเศษผมออกจากตัว พลางพูดออกไปว่า “อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ”

เถาเฉินที่ได้เห็นแบบนั้นแล้ว ก็เม้มปากแน่นและแทบแกล้งทำเป็นนิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว

“ไปกันเถอะ กลับโรงแรมได้แล้ว”

หล่อนเอ่ยเรียกขึ้นมา ซ่งอี้ยังเอาแต่ตะลึงงัน จนกระทั่งเถาเฉินเดินไปได้หลายก้าวแล้ว เขาถึงค่อยเหมือนตื่นจากฝัน และรีบเดินตามไปทันที

ในเกมๆ นี้ ผลลัพธ์ในการตัดสินใจของเถาเฉินก็คือคว้าน้ำเหลว อีกทั้งยังลดค่าของตัวเองลงอีกด้วย

หล่อนต้องการที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฮั่วจือหมิงและเจียงเซ่อ แต่กลับกลายเป็นว่าฮั่วจือหมิงยิ่งให้ความสำคัญต่อเจียงเซ่อมากขึ้นไปอีก หล่อนไม่ได้แค่ไม่สามารถเหยียบเจียงเซ่อลงได้เท่านั้น เพราะการปะทะกันสองครั้งที่ผ่านมา เป็นหล่อนที่โดนเจียงเซ่อเหยียบจนจมดิน ราวกับเฉินซวินหรานที่กลายเป็นตัวตลกสำหรับ ‘ผู้ต้องสงสัย’ ในเรื่อง ‘Suspect’ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ‘ผู้ต้องสงสัยคือใคร แต่ก็ยากลำบากเหลือเกินในการหาหลักฐานมายืนยัน

เถาเฉินพอจะนึกออกเลยด้วยซ้ำ ว่าถ้าหนังเรื่องนี้ได้ออกฉายเมื่อไหร่ มันจะต้องกลายเป็นที่ฮือฮามากแน่ๆ จะต้องมีชื่อเสียงที่ดีให้กับเจียงเซ่อแน่นอน

ฉากสุดท้ายที่หล่อนและเจียงเซ่อจะต้องปะทะฝีมือกันนั้น สถานที่ที่เลือกเอาไว้ก็คือร้านน้ำชาแห่งหนึ่งที่ติดกับริมแม่น้ำในเมืองหลินเจียง

หญิงสาวทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้ากันอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน กาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะมันกำลังเดือดจนส่งเสียงไอน้ำร้อนออกมา ทางฝั่งแม่น้ำนั้นมีลมพัดผ่านราวจับเข้าในในตัวร้าน พัดเอาเส้นผมของเถาเฉินปลิวไปตามแรง มีอยู่หลายเส้นที่บดบังสายตาของหล่อนเอาไว้

ตาของหล่อนมันเริ่มแดงขึ้นมาเล็กน้อย สายตาที่มองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้น ดูไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก

วินาทีนั้นเถาเฉินลืมเลือนว่ารอบๆ กายมีทีมงานและอุปกรณ์กล้อง และลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองและเจียงเซ่อกำลังแสดงหนังกันอยู่

นั่งแบบนั้นอยู่พักหนึ่ง หล่อนก็ค่อยๆ เม้มปาก ก่อนจะเสยผมขึ้น และเอ่ยขึ้นราวกับไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป

“คนที่อยากฆ่าอู่ชุนเหอ คือเธอใช่ไหม?”

ริมฝีปากของหล่อนสั่นระริกเบาๆ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าลึกๆ ในใจของหล่นอกำลังโมโหมากแค่ไหนแต่ก็ต้องกักเก็บอารมณ์เอาไว้ ลำคอของหล่อนเริ่มเห็นเส้นเลือดที่มันนูนเกร็งออกมาย่างชัดเจน มือที่ตั้งไว้อยู่บนโต๊ะก็กำหมัดแน่น

“คนที่ทำการฆาตรกรรมคนในโรงแรม ก็คือเธอใช่ไหม?”

ทุกๆ ประโยคของหล่อนนั้น ได้เพิ่มความแดงของขอบตาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ฉากๆ นี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเถาเฉินต้องใช้พลังไปมากแค่ไหน และมันก็ยังต้องปะปนไปด้วยความไร้ชีวิตชีวาของคนที่อยากจะยอมแพ้แล้ว

อาการไร้ชีวิตชีวานั้นไม่ได้เกิดเพียงเพราะเฉินซวินหรานดูไร้เรี่ยวแรงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนทำผิดเท่านั้น แต่เถาเฉินยังต้องแสดงว่าตัวเองกำลังไม่ยินยอมที่จะต้องมาอยู่ในสภาวะตกเป็นรองแบบนี้ เธอสามารถแสดงอารมณ์ทั้งสองอย่างนี้ออกมาพร้อมกันได้อย่างชาญฉลาด ถึงสามารถสร้างคาแรคเตอร์ของตำรวจหญิงเฉินซวินหรานออกมาได้ตามที่ฮั่วจือหมิงคาดหวังเอาไว้

น้ำเสียงของหล่อนมันบางแต่ทว่าหนักแน่น กล้องจับภาพร่างกายของหล่อนที่กำลังเกร็งอยู่เอาไว้ หญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามกลับค่อยๆ ใส่ใบชาลงไปในแก้วชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอะไรต่อท่าทางของหล่อนเลยแม้แต่น้อย สงบนิ่งราวกับว่าไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่ง

“หลักฐานล่ะ?”

เธอกระตุกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา ราวกับสุนัขจิ้งจอกที่กำลังเล่นสนุกกับเหยื่อ ดูโหดร้ายทว่าน่าหลงใหล

“คุณตำรวจเฉิน คุณบอกว่าฉันฆ่าคน แล้วไหนหลักฐานล่ะ?”

เธอใช้สองมือประคองแก้วชาเอาไว้ ราวกับว่ามันเป็นของล้ำค่าที่หายากก็มิปาน การกระทำทุกอย่างดูผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่แววตายังคงจ้องมองไปที่ใบหน้าของเถาเฉิน

หญิงสาวที่แสนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกคนนี้ เธอมีความคิดที่ละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังมีสติปัญญาเป็นเลิศ หล่อนทำตัวให้เฉินซวินหรานมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังเสแสร้งอยู่ และกำลังหัวเราะเยาะในความไร้สามารถของหล่อน

แววตาของเธอนั้นดูยั่วยุให้ต้องหงุดหงิดไม่น้อย น้ำที่อยู่ในกาเริ่มเดือดสุดๆ ไอน้ำเริ่มดันตัวขึ้นมาจนเหมือนจะเปิดฝากาออก