บทที่ 602 จิตใจ
ผมนั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหญิงสาวมากกว่าที่คิดกัน กับการที่เจียงเซ่อเองก็เป็นดาราคนหนึ่ง และกำลังโด่งดังในตอนนี้ ถ้าอยากจะให้เธอโกนผม คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่
กว่าหนังเรื่อง ‘Suspect’ จะถ่ายมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้ง่ายๆ เลย ตอนนี้ถ่ายมาได้กว่าครึ่งเรื่องแล้ว และซีนของเจียงเซ่อก็ถ่ายไปจนเกือบหมดแล้วด้วย ที่สำคัญก็คือ ฮั่วจือหมิงไม่ควรจะมาแสดงนิสัยเอาแต่ใจในตอนนี้เลยสักนิด
ถ้าหากว่าเขายืนยันที่จะให้เจียงเซ่อโกนผมจริงๆ แล้วเกิดเรื่องไม่พอใจกันขึ้นละก็ มันอาจจะถึงขั้นทำให้เจียงเซ่อถอนตัวออก และกลายเป็นข่าวฉาวของกองถ่ายเรื่องนี้ และเหล่านักลงทุนทั้งหลายที่มาร่วมลงทุนเพราะเจียงเซ่อก็อาจจะถอนทุนออกไปด้วย ส่งผลกระทบกับการถ่ายทำหนังไปอีก เวลาที่จะได้เข้าฉายก็จะเลื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนด
ชื่อเสียงของฮั่วจือหมิงก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ถ้ามีเรื่องขัดแย้งกับเจียงเซ่ออีก ก็อาจจะอยู่ในวงการนี้ต่อได้อยากทีเดียว
อย่างไรเสียการที่เจียงเซ่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองถ่ายในครั้งนี้ ทั้งนิสัยก็ดี การวางตัวก็เยี่ยม ไม่ว่าจะถ่ายทำฉากไหนเธอก็จริงจังและมีความละเอียดรอบคอบเสมอ สามารถรับมือกับฮั่วจือหมิงได้ดี เวลาที่ทั้งสองคนอยู่ในช่วงถ่ายทำนั้น ก็เป็นเพราะว่าความอดทนของเธอทั้งนั้น การร่วมงานกันถึงผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ถ้าจะมาเกิดเรื่องขึ้นในตอนนี้ล่ะก็ คงไม่มีอะไรดีสำหรับฮั่วจือหมิงแน่ๆ
“ผู้กำกับฮั่วครับ หรือว่าฉากต่อไปที่จะถ่าย เราเปลี่ยนเวลาไปถ่ายวันอื่นดีไหมครับ?”
รองผู้กำกับยังคงถามความคิดเห็นฮั่วจือหมิงอยู่แบบนั้น ฮั่วจือหมิงรี่ตา ฟันกัดลงบนริมฝีปาก ท่าทางดูเอาจริงเอาจังไม่น้อย
“ไปเรียกเจียงเซ่อออกมา”
เขานิ่งเงียบไปอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็สั่งออกมา ผู้ช่วยที่รู้จักนิสัยของเขาดีต่างก็มีสีหน้าที่ลำบากใจกันหมด และพยายามรีบยั้งเขาเอาไว้
“ผู้กำกับฮั่วครับ ทำแบบนี้ไม่น่าดีเลยนะครับ หนังก็ได้มีการกำหนดเอาไว้อย่างดีแล้ว ถ้ามาเปลี่ยนเอากลางคัน มันอาจจะส่งผลกระทบกับการถ่ายทำเรื่อง ‘Suspect’ ก็ได้นะครับ”
สีหน้าของรองผู้กำกับดูทำอะไรไม่ถูกสุดๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าฮั่วจือหมิงจะได้ตัดสินใจไปแล้ว และไม่ฟังคำทัดทานของผู้ช่วยอีก
“เรียกเจียงเซ่อออกมาก่อน ฉากๆ นี้ด มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย ฉันจะลองคุยกับเธอก่อน”
มุมปากของเถาเฉินยกยิ้มขึ้น มองดูผู้ช่วยของฮั่วจือหมิงทั้งสองคนที่กำลังเหงื่อแตกคิดไม่ตก ส่วนเจียงเซ่อที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั่นก็เหมือนจะรู้สึกแปลกๆ บ้างแล้วเช่นกัน เธอน่าจะพอสัมผัสได้ ถึงบรรยากาศที่ดูแปลกๆ ไป
พอได้สบกับสายตาของเถาเฉิน เธอเองก็จ้องมองเถาเฉินกลับด้วยความเรียบนิ่ง จากนั้นก็ถอนสายตาออกอย่างเป็นธรรมชาติ
นาทีนี้เถาเฉินอยากจะรู้จริงๆ ไอ้ท่าทางนิ่งๆ เงียบๆ แบบนั้นของเธอ หรือว่าเป็นเพราะรู้ว่าในเรื่อง ‘Suspect’ นั้น ฮั่วจือหมิงให้ความสำคัญกับเธอ คอยสอนและแนะนำสิ่งต่างๆ ให้ ดังนันเธอจึงยึดจุดๆ นี้ ในการทำเป็นวางใจไปกับทุกอย่าง ราวกับว่าไม่ได้เก็บเอาเรื่องอื่นไปใส่ใจงั้นหรือ?
หล่อนอยากจะรู้จริงๆ ว่าระหว่างเจียงเซ่อและฮั่วจือหมิงที่คนหนึ่งเป็นผู้สอนที่ดี อีกคนก็เป็นผู้เรียนที่ดีนั้น ถ้าเกิดแตกกันแล้ว จะยังสามารถรักษาบรรยากาศการถ่ายทำแบบนี้ได้อยู่อีกหรือเปล่านะ
ในตอนที่ฮั่วจือหมิงเกิดอาการหุนหันพลันแล่นแบบนี้ขึ้นมา อยากจะขอให้เจียงเซ่อโกนผมที่เลี้ยงมานานหลายปีออกสำหรับการถ่ายฉากนี้ แบบนั้นเจียงเซ่อจะแสดงออกมายังไงกันนะ?
สีหน้าของหล่อนจะต้องเปลี่ยนไปมากแน่ๆ และอาจจะปฏิเสธออกมาเลยด้วยซ้ำ
เธอยังมีการเจรจาเรื่องการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแชมพูสระผมอยู่ ขนาดเถาเฉินยังรู้เรื่องนี้เลย เซี่ยเชาฉวินไม่มีทางที่จะปกปิดเธอแน่นอน
แต่ถ้าโกนผมออก ก็อาจจะพูดได้ว่าทำเพื่อการถ่ายหนังในฉากๆ นี้ แต่ก็คงจะต้องโบกมือลาแบรนด์แชมพูชื่อดังของฝรั่งเศสเสียแล้ว
เธอจะต้องหลบจากสายตาผู้คนไปพักหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะต้องส่งผลกับใบหน้าสวยๆ ของเธอแน่ๆ
หนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ จะเข้าฉายปลายเดือนธันวาคมนี้แล้วกับหนังใหญ่มหากาพย์แบบนี้ นักลงทุนก็ยังเป็นถึงบริษัทลงทุนชื่อดังของต่างประเทศ ผู้กำกับก็เป็นถึงเชี่ยซ่าเหลย ก่อนที่หนังจะมีการเข้าฉาย ก็ต้องมีการโปรโมทอยู่แล้ว
เจียงเซ่อจะต้องบินไปทั่วโลกพร้อมกับเชี่ยซ่าเหลย เพื่อทำการโปรโมทหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ตัวต้นฉบับของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนที่เชี่ยซ่าเหลย ได้เริ่มเตรียมตัวถ่ายทำ ข่าวมันก็ดังไปทั่วโลกแล้ว
เถาเฉินเคยได้ดูตัวนิยายที่เป็นภาษาอังกฤษมาแล้ว เพราะว่าอยู่บริษัทเดียวกันกับเจียงเซ่อ ทำให้หล่อนรู้เรื่องมากกว่าคนอื่น
บทบาทที่เจียงเซ่อได้รับเล่นในเรื่องนี้คือบทนางเอกอย่างบริตนีย์ ตัวละครตัวนี้เป็นหญิงสาวที่ดูอ่อนแอมาตั้งแต่แรก ในหนังสือได้เขียนถึงรูปร่างลักษณะของเธอเอาไว้ด้วยว่า เรือนผมยาวถึงเอวเงางามราวกับเถาวัลย์ ปกคลุมร่างการที่ดูอ่อนแอของเธอเอาไว้ ในตอนที่อังเดรช่วยเธอออกมา พอได้เห็นรูปโฉมของเธอแล้วก็เกิดอาการตื่นตะลึงไปไม่น้อย ราวกับเธอนั้นเป็นเครื่องประดับที่ส่องแสงแวววาว ดูสะอาดตา วินาทีนั้นอังเดรคิดว่าเธอเป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์และดีงามราวกับทูตสวรรค์ก็มิปาน
ถ้าหากว่าเธอจะต้องโกนผมเพื่อถ่ายหนังเรื่อง ‘Suspect’ แล้วละก็ ช่วงเวลาระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ผมของเธอก็คงยาวถึงแค่ติ่งหูเท่านั้น และมันก็จะดูแตกต่างกับภาพลักษณ์ของหนังราวกับฟ้ากับเหว
ในระหว่างถ่ายทำเชี่ยซ่าเหลยได้เขี่ยลาร่าออกและเปลี่ยนบทนางเอกไปให้เจียงเซ่อแสดงแทนนั่นก็ถือว่าเป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงมากแล้ว ดังนั้นทำให้ตั้งแต่ที่เริ่มมีการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ก็ได้มีการประกาศเรื่องที่ว่าเจียงเซ่อเองก็ได้แสดงด้วยออกไปแล้ว แต่กลับไม่เคยประกาศมาก่อนว่าเธอได้แสดงเป็นนางเอกปะทะฝีมือการแสดงกับโดนัลด์แทนลาร่า
หลังจากที่ข่าวนั้นถูกแพร่ออกไป เรื่องที่ให้นักแสดงสาวชาวหัวเซี่ย ไปแทนที่ดาราสาวฮอลลีวูด ก็ดูเป็นสภาวะที่มีความสุ่มเสี่ยงมากแล้ว ตลาดยุโรปอเมริกาที่ไม่ค่อยจะต้อนรับประเทศอื่นๆ ไม่มีใครรู้ถึงเรื่องนี้ดีไปกว่าเถาเฉินอีกแล้ว
ยิ่งถ้าหากว่าเด็กสาวชาวหัวเซี่ยคนนี้มีภาพลักษณ์ที่ไม่เหมือนกับตัวละคร ‘บริตนีย์’ ที่มีความงดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วละก็ เชี่ยซ่าเหลยยังจะเอาอะไรมาโน้มน้าวคนที่มีความเชื่อในสิ่งเหล่านี้ได้ ยังจะช่วยให้หนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ รอดไปได้อย่างไรอีก?
ก้าวแรกของการเข้าไปยังตลาดยุโรปอเมริกาของเจียงเซ่อนั้นถึงว่าสูงมากๆ แต่ถ้าหากว่าแค่หนังฟอร์มใหญ่เรื่องแรกก็เจอกับความล้มเหลวแล้ว แล้วเธอยังจะหาทางปีนขึ้นมาอีกได้อย่างไรกัน?
แต่ถ้าหากว่าปัดเหตุผลพวกนี้ออกไป ในวงการนี้เจียงเซ่อก็ยังคงเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และมันก็น้อยนักที่จะมีหญิงสาวสักคนยอมที่จะโกนผมของตัวเองเพื่อการถ่ายหนัง และดาราส่วนมากก็จะเป็นแบบนั้นกันอยู่แล้ว
ถ้าหากว่าเธอปฏิเสธฮั่วจือหมิง อย่างนั้นความสัมพันธ์ที่ดูจะเข้ากันดีระหว่างเธอและฮั่วจือหมิงก็จะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย
ในใจของฮั่วจือหมิง เจียงเซ่อก็จะไม่ใช่พวกดาราสาวมืออาชีพ ที่เชื่อฟัง รู้จักหาความเจริญก้าวหน้าอีกต่อไปแล้ว และเขาก็จะไม่มีทางที่จะมานั่งคิดนู่นคิดนี้ เพื่อให้ในแต่ละฉากเน้นความสำคัญไปที่ตัวเธออีก ทำให้ตัวละคร ‘ซูอี้’ ตัวนี้ ยากที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นตัวหลักหรือตัวรองกันแน่?
เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเจียงเซ่อจะตกลงหรือไม่ตกลงคำขอของฮั่วจือหมิง แต่ภาพลักษณ์ของเธอจะต้องได้รับผลกระทบแน่ๆ เวลานั้นต่างหากที่หล่อนจะอาศัยชัยชนะเพื่อโจมตีเจียงเซ่อซ้ำอีก
สีหน้าของผู้ช่วยทั้งสองดูจนปัญญา แต่ท่าทางของฮั่วจือหมิงก็ดูแน่วแน่มากเหมือนกัน ตอนที่เจียงเซ่อเดินมาถึงก็มองเถาเฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองที่ฮั่วจือหมิง
“ผู้กำกับฮั่ว เรียกฉันหรือคะ?”
“ฉากต่อไปที่จะต้องถ่าย มีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะคุยกับเธอ”
ฮั่วจือหมิงมองเจียงเซ่ออย่างจริงจัง
“ในฉากต่อไป เธอจะต้องแสดงเป็น ‘ซูอี้’ ที่กำลังโกนขนแขนและขนขาออก แต่พวกเราเกิดพบปัญหาบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ด้วย” แล้วเขาก็ชี้ไปที่ผมของเจียงเซ่อที่ยังเปียกอยู่
“นั่นก็คือเส้นผม”
ผมนั้นจะทำให้ดูออกอย่างชัดเจนว่าเป็นช่องโหว่ โดยเฉพาะกับการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีชายหนุ่มที่ถูกฆาตรกรรมในโรงแรม การที่จะไว้ผมยาวแบบนี้ก็คงดูไม่สะดวกสักเท่าไหร่ ยิ่งบวกกับคาแรคเตอร์ของซูอี้ที่เป็นถึงหญิงสาวที่มีความรอบคอบและระมัดระวังตัวเองสูง ก็ยิ่งไม่ควรที่จะเกิดข้อผิดพลาดเลย
เจียงเซ่อเม้มปาก และเห็นว่าเถาเฉินที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ กำลังเผยรอยยิ้มออกมาด้วย วันนี้เป็นวันที่เธอมีถ่าย ตอนที่เถาเฉินมาถึง โม่อานฉีเองก็บอกเอาไว้แล้วว่าท่าทางของหล่อนดูมีเจตนาร้าย
“ฉันต้องการให้ฉากต่อไปของเธอ เน้นจุดสำคัญไปที่เรื่องผมแทน เธอช่วยตัดผมได้ไหม?”
ฮั่วจือหมิงพูดไปในทางเดียวกันกับเถาเฉิน แล้วเสนอสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมาต่อทันที “ถ้าโกนได้ก็จะดีเลย”
ถึงนิสัยของเขายังพอที่จะรับมือได้ แต่จุดอ่อนของเขาก็คือการพยายามที่จะทำให้หนังที่ดีอยู่แล้วดีมากขึ้นไปอีก พอทีมงานที่ยืนอยู่รอบข้างได้ยินแบบนั้นต่างก็มีสีหน้าที่ตื่นตะลึงกันไปหมด รองผู้กำกับถึงกับตาโต อ้างปากค้าง เป็นแบบนั้นอยู่พักใหญ่จนแทบจะกู้สติกลับมาไม่ได้
ความคิดของใครหลายๆ คนในตอนนี้ต่างก็คิดว่า ฮั่วจือหมิงบ้าไปแล้วหรือยังไง? ถึงได้ขออะไรแบบนั้นออกมาได้
เจียงเซ่อเป็นใครกัน? เธอเป็นถึงนางเอกระดับแนวหน้าของหัวเซี่ย การที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองถ่าย ‘Suspect’ ทั้งบทตัวละคร ช่วงที่ได้ออกกล้องนั้นสู้เถาเฉินไม่ได้เลยสักนิด แต่ตอนนี้ ฮั่วจือหมิงกลับอยากจะให้เธอโกนผมตัวเองออกเพื่อบทบทนี้เนี่ยนะ นี่ไม่เรียกว่าขอร้องแล้วแต่เป็นการทำให้ลำบากต่างหากเล่า
“ผู้กำกับฮั่วครับ จุดนี้มันน่าจะแต่งเอฟเฟค…”
รองผู้กำกับรู้สึกปวดหัวสุดๆ หันไปมองหน้าผู้ช่วยอีกสองคน มาถึงตรงนี้แล้วทุกคนถึงได้เข้าใจในสิ่งที่เถาเฉินได้พูดคุยไปก่อนหน้านี้ทันที
ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินมาบ้างแล้วว่าเถาเฉินและเจียงเซ่อไม่ถูกกัน เวลาที่ทั้งสองเจอหน้ากันก็ดูไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แต่ต่างฝ่ายต่างก็มีความเคารพซึ่งกันและกัน รองผู้กำกับไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคน เถาเฉินจะสามารถจับจุดคนอื่นได้อยู่หมัดขนาดนี้ ถึงกับหลอกใช้นิสัยที่เป็นจุดเด่นของฮั่วจือหมิง มากดเจียงเซ่อลงแบบนี้
“เธอเองก็ได้ดูบทหนังเรื่อง ‘Suspect’ แล้วใช่ไหมล่ะ และน่าจะรู้นิสัยของตัวละคร ‘ซูอี้’ เป็นอย่างดี” ฮั่วจือหมิงปัดมือ ส่งสัญญาณว่าห้ามทีมงานพูดอะไรออกมาอีก พลางหันไปสั่ง
“เลื่อนเวลาการถ่ายทำฉากต่อไปจากบ่ายสองเป็นบ่ายสองครึ่ง คนในกองถ่ายก็เตรียมการให้พร้อม เจียงเซ่อออกไปเดินเล่นกับฉันหน่อย”
เขาม้วนสมุดบันทึกที่อยู่ในมือลง แล้วยัดมันลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม และหันไปบอกให้เจียงเซ่อออกไปเดินกับเขา
โม่อานฉีจนไปถึงเฉินซั่นและผู้ช่วยคนอื่นๆ ที่ได้ยินสิ่งที่ฮั่วจือหมิงพูดแล้ว ก็เกิดร้อนใจขึ้นมาในทันที ทุกคนต่างมีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป โมโหบ้าง ร้อนใจบ้าง มีเพียงแค่เพาเฉินที่ทำเหมือนกำลังได้ดูหนังสนุกๆ เรื่องหนึ่ง แต่ทั้งๆ ที่ตอนแรกเจียงเซ่อก็ดูเหมือนจะตะลึงไป แต่ก็กลับมานิ่งสงบอย่างเดิมเสียอย่างนั้น
เธอพยักหน้า แล้วหันไปสั่งให้โม่อานฉีช่วยหยิบเสื้อคลุมของตัวเองมาหน่อย ถึงแม้ว่าข้างในชุดคลุมอาบน้ำจะมีเสื้อยู่อีกชั้นแล้ว แต่เธอก็ยังสวมชุดคลุมทับอีกชั้น ถึงค่อยเดินตามฮั่วจือหมิงออกไป
“คุณเถา คุณคิดว่าผลวิธีนี้จะได้ผลหรือเปล่าครับ?” ซ่งอี้หันไปมองสายตาคนรอบๆ แล้วกระซิบกับเถาเฉินเบาๆ
จะใช้ได้หรือไม่ได้ ก็ต้องรอดูสิ่งที่เจียงเซ่อกำลังจะเลือก ไม่ว่าเธอจะตอบตกลงหรือไม่ ในใจของเธอก็จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ขอแค่มันสามารถกระทบถึงจิตใจและอารมณ์ของเจียงเซ่อได้ เถาเฉินก็ถือว่าตัวเองชนะแล้ว
นอกเสียจากว่าเธอไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง ผมของตัวเอง โฆษณาของตัวเอง จนรวมไปถึงหนังที่กำลังจะเข้าฉาย
เถาเฉินส่ายหัว และพยายามคิดว่านั่นไม่มีทางที่จะเป็นไปได้
แต่ก็ไม่รู้ทำไม พอหล่อนนึกถึงท่าทางที่ดูสงบของเจียงเซ่อเมื่อกี้นี้แล้ว ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่ามีบางอย่างแปลกๆ
ในตอนที่เจียงเซ่อเดินออกจากที่นี่ไปพร้อมกับฮั่วจือหมิง เธอก็หันมามองหล่อนแวบหนึ่ง แววตาและสีหน้าของเธอเหมือนกับว่าเธอมองออกถึงสิ่งที่หล่อนกำลังทำอยู่แล้ว ทำเอาเถาเฉินต้องกัดฟันแน่น
“ไม่ว่ามันจะได้ผลหรือไม่” หล่อนกำหมัดแน่น แล้วสะบัดหัว เพื่อที่จะสลัดสายตาที่เจียงเซ่อมองมาที่หล่อนก่อนหน้านี้ เพราะมันทำให้หล่อนรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
“การกระทำอยู่ที่ตัวคน ส่วนผลลัพธ์อยู่ที่สวรรค์ ฉันได้ลงมือไปแล้ว รอดูแค่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็พอ”
รอบๆ บริเวณสถานที่ถ่ายทำนั้นได้ถูกจัดระเบียบเอาไว้ และทางทีมงานดูแลของ ‘Suspect’ ก็ได้ล้อมที่นี่เอาไว้ด้วย เพราะว่ามีทีมงานหลายรนที่คอยรักษาความปลอดภัยเอาไว้อยู่ จึงทำให้เหล่าแฟนคลับทั้งหลายไม่สามารถที่จะเข้าใกล้นักแสดง หรือมารบกวนการถ่ายทำได้
แต่ก็เพราะว่ามันเป็นแบบนี้ จึงทำให้บริเวณรอบๆ จึงยังมีกลุ่มแฟนคลับและกลุ่มสื่อนักข่าวที่ยังไม่ไปไหน
ตอนที่เจียงเซ่อเดินออกมากับฮั่วจือหมิง กลุ่มแฟนคลับที่ยืนรออยู่ข้างนอกก็ตื่นเต้นขึ้นมากันทันที มีหลายคนพากันตะโกนเรียกชื่อเจียงเซ่อขึ้นมา พลางพยายามโบกมืออย่างสุดชีวิต เพื่อที่จะหวังว่าเจียงเซ่อจะสังเกตเห็นตัวเองบ้าง
สถานการณ์แบบนี้ ตั้งแต่ที่เจียงเซ่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองถ่าย ฮั่วจือหมิงก็ได้เห็นแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
เธอเป็นดาราที่กำลังโด่งดังมากคนหนึ่ง มีคนชอบมากมาย ไม่ใช่แค่แฟนคลับเท่านั้นที่ชอบเธอ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังชอบนิสัยของเธอมาก
“เธอเป็นเด็กดี มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังเด็ก แต่มันก็ยากที่จะคอยรักษาภาพลักษณ์ที่ดีแบบนี้เอาไว้ได้ตลอด” ตอนถ่ายหนังก็มีความตั้งใจและรอบคอบ ไม่คิดว่าตัวเองดังแล้ว แล้วทำตัวปล่อยปละละเลย การที่แฟนคลับของเธอได้มีไอดอลที่ดีแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมากจริงๆ
“ผู้ช่วยของฉันทั้งสองคน พวกเขาเอาแต่ชมเธอไม่หยุดเลยนะ แถมยังเคารพเธอมากด้วย”ฮั่วจือหมิงมองไปยังกลุ่มแฟนคลับทั้งชายทั้งหญิงที่กำลังตะโกนเรียกชื่อเจียงเซ่อจากที่ไกลๆ แววตาของเขาดูอ่อนโยนขึ้นมา “สมัยก่อนฉันเองก็มีชื่อเสียงตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกันนะ” แต่ตอนที่เขาดังนั้น ปฏิกิริยาของแฟนคลับส่วนมากมักจะเก็บเอาไว้เงียบๆ อย่างมากสุดก็แค่ขอลายเซ็นต์ ขอจับมือและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเท่านั้น น้อยนักที่จะเจอคนที่แสดงออกขนาดนี้ การที่ได้รับเสียงปรบมือและช่อดอกไม้หอมๆ นั้น เป็นอะไรที่ทำให้คนหลงระเริงได้ง่ายจริงๆ
เจียงเซ่อยังรอให้เขาเข้าเรื่องอยู่ “ตัวละครซูอี้ตัวนี้ เธอเองก็ถ่ายมันมาสักพักแล้ว คงจะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งเลยสินะ”
ฮั่วจือหมิงมองเธอแวบหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเธอสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม และรับฟังเขาด้วยรอยยิ้ม กับคำขอของตัวเองก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีท่าทางตกใจหรือร้อนรนเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเพราะกำลังรอให้เขาลองพูดเกลี้ยกล่อมเธอ หรือเพราะว่ากำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่กันแน่
“สำหรับในมุมมองของเฉินซวินหรานแล้ว ตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงท้ายเรื่อง คนที่ซูอี้ผูกความแค้นด้วยก็คือ ‘อู่ชุนเหอ’ เธอมีความต้องการที่จะฆ่าอู่ชุนเหอ ส่วนผู้ตายที่อยู่ในโรงแรมนั้นก็ไม่สามารถหาเบาะแสหรือะไรที่เชื่อมโยงกับเธอได้” ฮั่วจือหมิงพูดคุยเรื่องตัวเนื้อเรื่องกับเจียงเซ่อ ราวกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งในเรื่อง ‘Suspect’ ที่กำลังเล่าถึงขั้นตอนคดีให้กับเพื่อนร่วมงานฟัง
“สถานที่เกิดเหตุถูกทำลาย ผลการตรวจสอบของตำรวจไม่มีอะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอ” หรือพูดได้ว่า ในหนังเรื่องนี้ เรื่องของซูอี้และเรื่องของผู้ตายในโรงแรมนั้นมันเป็นคนละเรื่องมาตั้งแต่ตอนแรก ถ้าหากจะเชื่อมตัวเธอเข้ากับคดีนี้แล้วละก็ นอกจากจะต้องมีเฉินซวินหรานที่รับบทโดยเถาเฉินมาเป็นคนเชื่อมโยงแล้ว ที่สำคัญก็คือยังต้องพึ่งการถ่ายทำในจุดต่างๆ ของผู้กำกับด้วย ต้องใช้เบาะแสและปมในแต่ละจุดมาเชื่อมโยงถึงกัน เพื่อให้คนดูเกิดความสงสัยใคร่รู้
ฉากที่ซูอี้โกนขนแขนและขนขานั้นก็ถือว่าเป็นเบาะแสอีกจุดหนึ่ง แต่ทว่าเมื่อเทียบกับการโกนขนแขนขนขาแล้ว การที่โกนผมออกก็ดูเหมือนว่าจะเป็นความหมายแฝงที่แข็งแรงได้มากเช่นกัน
“คุณคิดว่า การถ่ายฉากนั้นด้วยวิธีนี้ เป็นเรื่องที่จำเป็นใช่ไหมคะ?” พอเธอนึกถึงท่าทางที่ดูเหมือนได้ใจของเถาเฉินแล้ว ก็เกิดอยากจะหัวเราะขึ้นมา แต่ก็พยายามที่จะเก็บอารมณ์เอาไว้
เธอก็รู้สึกหงุดหงิดกับแผนของเถาเฉินนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกสมเพชที่หล่อนต้องถึงขั้นใช้แผนการของพวกที่ไม่มีทางสู้แบบนี้มากดเธอลง
การที่เถาเฉินเลือกที่จะใช้วิธีแบบนี้ มันเหมือนกับว่าในใจของหล่อน มีไม้บรรทัดอยู่อันหนึ่ง แล้วขีดเส้นเปรียบเทียบตัวเองกับเธอ ดังนั้นในตอนที่หล่อนได้เห็นตัวเธอในแวบแรก จึงทำเหมือนว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือแล้วแบบนั้น
แต่ตัวเธอนั้นกล้าหาญกว่าที่เถาเฉินจินตนาการไว้มากนัก เธอรู้ดีว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง เธอรู้และเข้าใจว่าผู้ช่วยของเธอจะต้องไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้มากแน่ๆ และรู้ว่าตัวเองอาจจะต้องหมดความหวังที่จะได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์แชมพูที่เซี่ยเชาฉวินไปเจรจาให้
แต่ตัวเธอเองก็รู้สึกใจเต้นไม่น้อย เธออยากจะเห็น ในตอนที่เถาเฉินคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่มันก็เป็นไปได้ ในตอนที่เธอกล้าที่จะทำเป็นไม่สนใจต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อสภาพจิตใจสามารถเชื่อมโยงไปกับ ซูอี้ในเรื่อง ‘Suspect’ ได้ เถาเฉินอาจจะไม่ได้อย่างที่คิดคำนวณไว้
และบางทีการที่เธอพยายามทำอะไรอย่างเต็มที่ก็อาจจะดีกว่าที่เถาเฉินคิดเอาไว้มากก็ได้ บางทีสุดท้ายแล้วหนังเรื่อง ‘Suspect’ อาจจะมีการแบ่งชั้นกันได้อย่างชัดเจน ทำให้เถาเฉินต้องกลายเป็นหินรองเท้าให้เธอเหยียบ เพื่อส่งเธอขึ้นสู่บันไดเมฆไป