webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

601

บทที่ 601 แบ่งอย่างชัดเจน

ตรงข้ามกับใบหน้าของเถาเฉินที่กำลังยิ้มอ่อนๆ ก็คือใบท่าทางที่ดูเหมือนมีความค้นกันมานานของผู้ช่วยส่วนตัวที่อยู่ข้างๆ หล่อน พวกเขามองเจียงเซ่อราวกับว่าไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมโลกกันได้อีกแล้ว หลังจากรู้สึกตัวว่าโม่อานฉีกำลังจ้องมองมาทางนี้ ก็ตีสีหน้าหยิ่งยโสและเชิดใส่ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น

เจียงเซ่อยิ้มๆ แล้วกลับไปให้ความสนใจกับบทหนังอีกครั้ง พยายามหาความรู้สึกของตัวละคร ‘ซูอี้’ ในฉากนี้

ในทุกๆ ฉากสำคัญของเธอ เถาเฉินมักจะมาเข้าร่วมในกองถ่ายด้วยเสมอ เช่นเดียวกันกับเวลาที่เถาเฉินมีคิวถ่าย เจียงเซ่อเองก็จะมาคอยสังเกตการณ์แสดงของหล่อนด้วย

ต้องรู้เขารู้เรา ถึงจะสามารถแสดงออกมาได้เต็มที่มากกว่าเดิม โดยเฉพาะกับในหนังเรื่องนี้ที่ทั้งสองคนจะต้องปะทะกัน สำหรับเจียงเซ่อแล้ว บรรยากาศของการเป็นศัตรูที่ลุ่มลึกแบบนี้ถือว่าจำเป็นมากๆ

ฮั่วจือหมิงกำลังจดบันทึกการถ่ายทำในฉากต่อไปอยู่ ตอนที่เถาเฉินเดินเข้ามานั่งข้างๆ ทีมงานทั้งหลายก็ทักทายหล่อนอย่างอ่อนน้อม แต่ฮั่วจือหมิงนั้นกลับทำเหมือนว่าไม่ทันได้สังเกตเห็น

เขายกมือขึ้นดูเวลา ตอนนี้บ่ายโมงสี่สิบแล้ว กว่าจะถึงเวลาเริ่มถ่ายทำจริงๆ ก็ยังเหลืออีกประมานยี่สิบนาที

เถาเฉินที่สังเกตเห็นนาฬิกาข้อมือที่ฮั่วจือหมิงใส่อยู่ มันเป็นแบบที่ดูเก่าสุดๆ สีเงินของมันดูก็รู้ว่าถูกขัดมาเงาแค่ไหน แต่ถึงแม้ว่าจะมีการดูแลรักษาที่ดีแค่ไหน แต่ด้วยความที่มันถูกใช้งานมานานแล้วจึงทำเห็นถึงความเก่าแก่ของมันด้วย ตรงหน้าปัดของมันนั้นเริ่มที่จะมัวและมองไม่ค่อยชัดเจนแล้ว

“ผู้กำกับฮั่วนี่เป็นคนที่ชอบหวนรำลึกถึงความหลังใช่มั้ยคะ”

เถาเฉินหัวเราะเบาๆ ฮั่วจือหมิงที่ได้ยินหล่อนพูดแบบนั้น ก็ยกปากกาขึ้นดันแว่นขึ้นเล็กน้อย

เขาหันหน้าไปมองเถาเฉิน แล้วขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูจากสายตาของหล่อน ที่กำลังจ้องมองมาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้ว ก็เข้าใจในสิ่งที่หล่อนพูดในทันที

“เพื่อนเก่าเพื่อนแก่น่ะ ยังใช้ได้อยู่เลย แถมยังเดินตรงอยู่เหมือนเดิม”

ในตอนที่ไม่ได้คุยกันเรื่องหนัง ชายอาวุโสคนนี้ก็ไม่ได้เป็นคนที่แปลกประหลาดจนทำให้คนขยาดอะไร เขาเอาปลายปากกาชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างภูมิอกภูมิใจ

“ก็ใช้มันทุกๆ วัน ดีไม่แพ้กับพวกแบรนด์ดังๆ เลยนะ จะให้ใช้ไปอีกสักสิบปีก็ไม่มีปัญหา”

ตอนที่เขาพูด ก็ยังมีการใช้ชายเสื้อเช็ดหน้าปัดอย่างทะนุถนอม เถาเฉินที่เห็นท่าทางของเขาแล้ว ก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ

“คุณกำลังจดบันทึกการถ่ายทำครั้งต่อไปอยู่หรือคะ?”

สายตาของหล่อนมองไปสมุดของฮั่วจือหมิงแวบหนึ่ง ดูไปดูมาก็เหมาะกับนิสัยและบุคลิกของเขาอยู่เหมือนกัน เพราะฮั่วจือหมิงนั้นเขียนตัวหนังสือได้สวยไม่น้อย

ร่องรอยตัวหนังสือเหล่านั้นการกดน้ำหนักที่พอดี เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจะต้องใช้ระยะเวลานานขนาดไหนถึงจะกลายเป็นคนที่ประสบการณ์ขนาดนี้ได้ และบนนั้นมันก็เขียนเกี่ยวกับฉากของ ‘ซูอี้’ เอาไว้

เถาเฉินเองก็เคยอ่านบทหนังเรื่อง ‘Suspect’ มาแล้ว นอกจากบทของเฉินซวินหรานที่จำเป็นจะต้องจำบทไดอะล็อคต่างๆ แล้ว ตัวบทหนังเองหล่อนก็ได้ดูมาหลายครั้งแล้ว และรู้ว่าฉากต่อไปที่จะต้องถ่ายนั้น คือฉากไหนที่เจียงเซ่อจะต้องถ่าย

ที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับอะไร แต่ฮั่วจือหมิงก็ยังสอดปากกาเอาไว้แล้วปิดมันลง พอสมุดถูกปิดลงแล้ว เขาก็ทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่

“ใช่แล้ว” แว่นของเขาไหลลงมันกลางสันจมูก ทำให้เห็นรอยย่นที่อยู่บริเวณรอบดวงตาได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ไม่สามารถที่จะปกปิดดวงตาของเขาไปได้

เถาเฉินเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอีกรอบ

“ฉากต่อไป ถ้าดิฉันจำไม่ผิด ซีนที่เจียงเซ่อจะต้องแสดง คือฉากที่ซูอี้จะต้องเตรียมตัวไปทำงานก่อนที่จะเกิด ‘เหตุการณ์สำคัญ’ ขึ้นใช่ไหมคะ?”

“อืม ใช่แล้ว” ฮั่วจือหมิงตอบกลับ แล้วสายตาของเถาเฉินก็จ้องไปที่สมุดจดบันทึกที่อยู่ในมือของเขาอีกครั้ง

“ซีนๆ นี้ สิ่งที่สำคัญก็คือการที่ซูอี้แสดงความรอบคอบระมัดระวัง และความฉลาดออกมาใช่ไหมคะ” ตอนที่หล่อนพูดถึงตรงนี้ ก็ยกขาขึ้นไขว้กัน และยังดึงคอเสื้อกันลมสีเหลือง มีความรู้สึกราวกับเฉินซวินหรานในเรื่อง ‘Suspect’

“พออู่ชุนเหอได้รับ ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ แล้ว ทางตำรวจก็ได้มีการตรวจสอบ ก็พบว่าในอดีตของอู่ชุนเหอนั้นเคยมีประวัติด่างพร้อยมาก่อน เขาทำผิดกฎหมาย และเคยทำร้ายคน จนทำให้ผู้ที่ถูกทำร้ายนั้นทนแบกรับไม่ไหวจนต้องฆ่าตัวตาย”

ตอนที่หล่อนพูดสิ่งเหล่านั้นออกมา ท่าทางขอหล่อนก็ดูจริงจังไม่น้อย เขาพยักหน้าให้ และฟังเถาเฉินพูดต่อ

“ถ้าหากว่า ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ นั่นมันคือของจริง ไม่ได้เป็นการจัดฉาก ถ้าสมมติว่ามีคนต้องการที่จะฆ่าอู่ชุนเหอจริงๆ อย่างนั้นซูอี้ลูกสาวของซูมู่ก็ดูเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดสินะคะ เธอเป็นคนฉลาด ผลการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็ยอดเยี่ยม การแสดงออกก็โดดเด่น อาศัยความขยันหมั่นเพียรของตัวเอง ถูกทางมหาวิทยาลัยเลือกให้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ได้ออกไปเรียนที่ต่างประเทศ กลับมาถึงก็มีบริษัทใหญ่รับเข้าทำงานแทบจะในทันที” เถาเฉินจัดทรงผมเล็กน้อย เหมือนกับว่าตัวละครเฉินซวินหรานในเรื่องนั้นได้มาอยู่ในชีวิตจริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีกล้องหรือไฟส่อง เธอก็ยังคงแสดงออกได้อย่างธรรมชาติอยู่ดี ทำให้ดูไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังแสดงอยู่

“การที่จู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดนั้นขึ้นกับเธอ แต่ก็ยังพยายามอดทนอดกลั้น ไม่เผยถึงต้นสายปลายเหตุอะไรสักอย่าง และเรียนจบได้อย่างราบรื่น และสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้สามารถรู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นผู้หญิงคนที่มีจิตใจแน่วแน่และมั่นคงมากขนาดไหน”

ฮั่วจือหมิงพยักหน้าอีกครั้ง เขาเริ่มที่จะสนใจกับสิ่งที่เถาเฉินกำลังพูด รองผู้กำกับที่อยู่ข้างๆ ก็ยกเวลาขึ้นดู ตอนนี้มันบ่ายโมงห้าสิบแล้ว อีกไม่เท่าไหร่ก็จะต้องมีการถ่ายฉากของเจียงเซ่อ

ตามเหตุผลแล้ว ที่จริงตอนนี้ฮั่วจือหมิงควรที่จะกำลังเตรียมการถ่ายทำอยู่ มาเช็คและยืนยันกับการจัดแสงไฟและตำแหน่งถ่ายต่างๆ อีกครั้ง แต่เขากลับยังคงนั่งอยู่นิ่งๆ รองผู้กำกับจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนขึ้น

“อาจารย์ฮั่วครับ…”

เพิ่งจะอ้าปากเรียก ฮั่วจือหมิงก็ยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงบอกให้เขาหยุดพูดก่อน จากนั้นก็ทำสัญญาณมือว่าให้เถาเฉินพูดต่อไป

“ในขณะที่กำลังตรวจสอบว่าซูอี้เป็นคนเขียน ‘จดหมายแจ้งวันตาย’ เหล่านั้นหรือไม่ ก็ดันมาเกิดคดีฆาตรกรรมขึ้นที่โรงแรมวั่งจินอีก เป็นคดีที่มีชายคนหนึ่งถูกฆ่าตายในโรงแรม”

ฆาตรกรคนนี้ ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของหนังก็ได้มีการบอกเป็นนัยๆ ให้กับคนดูเอาไว้แล้ว เพื่อที่จะให้คนดูได้นำเรื่องคดีฆาตกรรม มาเชื่อมโยงกับซูอี้ผู้ต้องสงสัยใน ‘คดีจดหมายแจ้งวันตายของอู่ชุนเหอ’

แต่เมื่อได้ลองตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุดูแล้ว ก็พบว่าไม่สามารถตรวจหาอะไรที่เกี่ยวกับซูอี้ได้เลย

ทางตำรวจได้ตรวจสอบทั้งลายนิ้วมือ เส้นผม คราบเลือดและเยื่อไฟเบอร์ แต่ก็ไม่เจอร่องรอยหรืออะไรที่เป็นของซูอี้เลยสักอย่าง ในฉากที่จะต้องถ่ายในวันนี้นั้น ก็ถือว่าเป็นฉากที่สำคัญกับเรื่องนี้มากทีเดียว

ฉากที่เจียงเซ่อจะต้องถ่ายในช่วงบ่ายนี้ จะต้องเป็นฉากหลังจากที่เธอออกมาจากห้องอาบน้ำแล้ว เธอสวมชุดคลุมอาบน้ำ และกำลังโกนขนขาและขนแขนออกอยู่

และเพราะว่าด้วยสาเหตุนี้ จึงทำให้ฉากๆ นี้เป็นฉากที่สำคัญมากๆ

“ถ้าหากว่าซูอี้คือผู้ต้องสงสัยใคดีฆาตรกรรมในโรงแรมจริงๆ แต่ในที่เกิดเหตุกลับไม่มีเส้นขนและเส้นผม หรืออะไรสักอย่างที่เป็นของเธอเลย นั่นก็แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซูอี้เป็นคนที่รอบคอบแค่ไหน” เถาเฉินพูดอยู่นานแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะเข้าประเด็นหลักเสียที และรองผู้กำกับก็เริ่มที่จะลนลานแล้ว

คนรอบๆ ข้างต่างก็พากันไม่เข้าใจว่าทำไปในเวลาแบบนี้ จู่ๆ ทำไมเถาเฉินกลับมีเรื่องอยากจะคุยกับฮั่วจือหมิงเสียอย่างนั้น

แม้แต่ซ่งอี้ที่อยู่ฝ่ายเดียวกันมาตลอดก็ยั้งรู้สึกเกิดอาการเบื่อหน่าย พอเถาเฉินพูดถึงตรงนี้ ก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เจียงเซ่อ ตอนนี้เธอเปลี่ยนชุดคลุมอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว หัวของเธอนั้นเปียกไปด้วยหยาดน้ำ สแครปเปอร์ยังคงพูดถึงการเดินฉากต่างๆ ให้กับเธออยู่ และเธอเองก็กำลังยืนฟังอย่างตั้งใจ

ตำแหน่งห้องอาบน้ำที่จะต้องเดินออกมานั้นได้ถูกอบไปด้วยความร้อนเรียบร้อยแล้ว เมื่อลองฟังดีๆก็จะได้ยินเสียงน้ำไหลอีกด้วย

บนกระจกสะท้อนเรือนร่างที่ดูอรชรของเจียงเซ่อ เธอไม่ได้แต่งหน้า เนื้อผิวนั่นดูนิ่มจนเหมือนกับว่าสามารถบีบน้ำออกมาได้ ขาเรียวคู่นั้นดูเกลี้ยงเกลาและเรียบเนียน ถึงแม้ว่าจะยืนอยู่บนรองเท้าแตะแต่ก็ไม่ได้ทำให้บุคลิกของเธอดูดรอปลงเลยสักนิดเดียว

เรือนผมที่ดำขลับเงางามเรียงตัวสวยอยู่บนแผ่นหลังของเธอ มันยังเปียกอยู่เลยด้วยซ้ำ จากมุมมองของเถาเฉินแล้ว เมื่อได้เห็นสายรัดเอวของชุดคลุมอาบน้ำที่รัดเอวบางของเธอเอาไว้ เรือนผมที่ยาวของเจียงเซ่อนั้น ที่เอวของเธอนั้นมีปลายเส้นผมโผล่มา และก็ยังมีหยดน้ำหยดลงมา แต่ไม่ได้ไหลเข้าไปในชุดคลุมอาบน้ำแต่อย่างใด

เถาเฉินมองภาพนั้นด้วยความประทับใจและชื่นชม มีรูปโฉมที่สวยงามขนาดนี้ แม้แต่ตัวหล่อนที่เป็นผู้หญิงด้วยกันเองก็ยังต้องยอมรับว่าสวย ราวกับหยดน้ำบริสุทธิ์ที่เกาะอยู่บนดอกบัว เรือนผมยาวที่ดูหนานุ่มนั่น ยิ่งทำให้ความสวยของเธอ เพิ่มขึ้นไปอีกมากเลยไม่ใช่หรือ?

หล่อนยกมือขึ้นจับลงบนผมของตัวเอง เส้นผมของเถาเฉินเองก็มีสุขภาพที่ดีไม่น้อย การเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง โดยเฉพาะกับดาราสาวที่ต้องใช้หน้าตาในการทำมาหากิน ทำให้เถาเฉินต้องดูแลภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีกว่าคนทั่วไป ในทุกๆ ปีแค่ผมของหล่อนก็ต้องเสียเงินในการบำรุงรักษาไปแล้วมหาศาล เส้นผมเรียงตัวสวยอย่างชัดเจน ยาวจนไปถึงเอว และดัดเป็นลอนใหญ่ๆ เอาไว้ ดูทันสมัยดีไม่น้อย

สำหรับผมของตัวเองนั้น เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่หญิงสาวจะรู้สึกอยากจะดูแลมันเป็นพิเศษ กว่าจะไว้ยาวได้เหมือนกับของเจียงเซ่อ แค่สามสี่ปีไม่มีทางที่จะเลี้ยงได้ยาวขนาดนี้แน่ๆ

ได้ยินมาว่าเซี่ยเชาฉวินกำลังกำลังติดต่องานแบรนด์แอมบาสเดอร์ครีมสระผมชื่อดังของฝรั่งเศสให้กับเธออยู่ นั่นเป็นแบรนด์ที่ดาราสาวต่างประเทศหลายๆ คนต้องการที่จะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ และเถาเฉินเองก็กำลังจะแย่งชิงมันเช่นกัน

ครั้งนี้เซี่ยเชาฉวินมาไม่ได้มาที่กองถ่ายกับเจียงเซ่อด้วย นั่นเพราะหล่อนได้บินไปประเทศฝรั่งเศสแล้ว เพื่อที่จะไปเจรจากับทางแบรนด์ยาสระผมเรื่องการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

โจวเซิงคนของบริษัทได้บอกกับหล่อนว่า โอกาสที่เซี่ยเชาฉวินจะช่วยเจียงเซ่อพูดเรื่องการแบรนด์แอมบาสเดอร์ในครั้งได้มีโอกาสสำเร็จสูงมาก หนึ่งเลยคือหล่อนนั้นคบค้าสมาคมกับแบรนด์ยาสระผมแบรนด์นี้มาหลายปีแล้ว และแบรนด์นี้เองก็พิจารณาเจียงเซ่ออยู่ด้วยเล่นกัน เมื่อสองปีก่อน ตอนที่เธอถ่ายหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ก็เหมือนว่าจะคอยสังเกตและเล็งจะให้เจียงเซ่อมาแบรนด์แอมบาสเดอร์มาโดยตลอด จนกระทั่งมาจนถึงตอนนี้

เมื่อหลายวันที่ผ่านมา โฆษณาของ leopard ที่เจียงเซ่อได้ไปถ่ายให้นั้นได้ถูกเผยแพร่ออกมาแล้ว และมีอยู่มุมๆ หนึ่งของโฆษณาที่ทำให้ผู้จัดการแบรนด์ยาสระผมแบรนด์นี้เกิดความสนใจเจียงเซ่อขึ้นมาทันที

ก่อนที่เจียงเซ่อจะเตรียมตัวขึ้น leopard นั้น เธอได้ถอดชุดคลุมออก ถอดรองเท้าส้นสูง อีกทั้งยังปล่อยผมของตัวเองลงมาอีกด้วย วินาทีที่เส้นผมของเธอทิ้งน้ำหนักลงมา ผู้จัดการของแบรนด์ยาสระผมก็ละสายตาจากเจียงเซ่อไม่ได้เลย

เซี่ยเชาฉวินที่สังเกตเห็นภาพๆ นั้นแล้ว ก็พบว่าโอกาสที่จะเจรจาสำเร็จมีสูง ถึงได้บินไปฝรั่งเศสในทันที

ฮั่วจือหมิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รอให้เถาเฉินพูดต่อ ทีมงานที่อยู่รอบๆ ก็เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูอ ทั้งๆ ที่เถาเฉินรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้ตัวเองเหม่ออยู่ดี

หล่อนเริ่มนึกถึงตอนที่เจียงเซ่อได้ถ่ายโฆษณาให้กับ leopard ช่วงตอนท้ายของโฆษณานั้น ELYSEES นั้นเลือกที่จะปล่อยมือแล้วเดินออกไป ท่าทางที่ดูสง่างามแบบนั้นมันดูไปคนละทิศละทางกับความมั่นใจของหล่อนมากทีเดียว

หลังจากนั้นก็ยังมีนักข่าวของหลงสิงที่ชื่อว่าเถาเถาเขียนข่าวเอาไว้อีกว่า ‘โฆษณาสามารถอธิบายบุคลิกของคนได้ ถ้าอย่างนั้นหากมีวันหนึ่ง เถาเฉินต้องเชิญหน้าสิ่งเดียวกับที่ ELYSEES ต้องเผชิญ เธอจะเลือกยังไงนะ?’

บางทีอาจเป็นเพราะว่าหลายๆ คนเองก็กำลังรู้สึกสงสัยกับปัญหานี้ ยังไงอายุมันก็ต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นหลังที่เก่งกว่าคนรุ่นเก่าก็ยังคงมีมาอยู่ตลอด

อย่างไรเสียคนที่อายุกำลังเพิ่มขึ้น ก็ไม่ใช่เจียงเซ่อ คนรุ่นเก่ายังคงมีจุดเด่นของตัวเองอยู่เสมอ แต่จะช้าหรือจะเร็วก็ต้องมีคนมาแทนที่อยู่ดี

มีคนบางกลุ่มคิดว่า มักจะต้องดำเนินชีวิตไปตามชะตาและสวรรค์ลิขิตอยู่เสมอ ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ต้องรู้จักการวางตัว เป็นช่วงเวลาที่จะต้องยอมแพ้ได้แล้ว ในเมื่อประสบความสำเร็จก็ออกไป คิดว่าท่าทางแบบนั้นคงเป็นท่าทางดูสง่ามากๆ แล้ว และเป็นตัวเลือกที่คนส่วนใหญ่จะเลือก

แต่หล่อนกับคนเหล่านั้นไม่เหมือนกัน หล่อนรู้จักที่จะฟันฝ่าขวากหนาม ต้องการที่ต่อสู้ให้ถึงที่สุด!

“เป็นเด็กสาวที่สวยจริงๆ เลยนะคะ”

เถาเฉินเอ่ยชมออกมา แล้วชี้ไปที่เจียงเซ่อ หล่อนพูดอย่างไม่ได้เลี่ยงคำเลยสักนิดเดียว ราวกับว่าไม่กลัวเลยหากว่าใครจะมาได้ยินสิ่งที่ตัวเองกำลังพูด

“ดิฉันว่าคุณมาถูกทางแล้วล่ะค่ะ ซูอี้โกนขนขาและขนขาออกจนหมด ถือว่าเป็นความคิดที่รอบคอบและระมัดระวังตัวมากๆ เพื่อที่จะไม่ทิ้งหลักฐานที่สามารถสาวมาถึงว่าเธอเป็น ‘คนร้าย’ ได้ แต่ว่านะคะผู้กำกับฮั่ว ยังมีอีกจุดหนึ่งที่คุณได้มองข้ามไป “

เมื่อพูดถึงตามตรรกะของบทหนังแล้ว ฮั่วจือหมิงก็ดูจะจริงจังขึ้นมาในทันที

“ตรงไหนกันหรือ?”

“ทั้งขนขาและขนแขนต่างก็ถูกโกนออกจนสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่ว่าเธอก็ยังมีผมนี่คะ”

หล่อนหัวเราะออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูเย็นยะเยือก ทำเอาคนสั่นทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้หนาว

“อาจเป็นเพราะว่าคุณไม่ค่อยเข้าใจผู้หญิงละมั้งคะ โดยเฉพาะกับหญิงสาวที่ไว้ผมยาว ไม่ว่าหนังสีสระของเธอจะแข็งแรงมากแค่ไหน แต่ยังไงก็ต้องมีผมร่วงทุกๆ วันแน่นอนค่ะ หรือบางทีอาจจะมากกว่าที่คุณคิดก็ได้”

ฮั่วจือหมิงนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนว่ากำลังคิดอยู่ เถาเฉินจึงถามต่อ

“เพราะว่าซูอี้จะต้องเตรียมตัว ก็น่าจะทำการเตรียมตัวในครั้งนี้ให้เต็มที่หน่อย เพื่อที่จะเป็นคนร้ายที่ไม่ทิ้งหลักฐานไว้ในที่เกิดเหตุเด็ดขาด แค่โกนขนแขนขนขานั่นยังไม่พอ ยังต้องโกนผมด้วย ถึงจะเรียกว่าเตรียมตัวอย่างละเอียดจริงๆ ถ้าอยากจะแสดงถึงด้านที่พิเศษของตัวละครออกมา กับการที่แค่โกนขนขา มันยังดูไม่เหมือนว่ากำลังจะวางแผนแก้แค้นจริงๆ ดูเหมือนยังไม่ใช่ ‘การตัดสินใจ’ อย่างไม่สนใจอะไรอีก และมันก็จะไม่สามารถทำให้ซูอี้ดูเป็นบทบาทที่พิเศษและซับซ้อนอะไรมากมายด้วย”

เถาเฉินพูดมาตั้งนาน ในที่สุดก็พูดประเด็นหลักขึ้นมาเสียที

“ความหมายของคุณก็คือ ต้องเตรียมแอฟเฟคหัวล้านให้เจียงเซ่อ จากนั้นก็เตรียมวิกผมมาสวมทับเพื่อให้เธอตัดออกเหรอครับ?”

รองผู้กำกับเอ่ยปากขึ้นมา เถาเฉินเองก็ไม่ได้สนใจเขา เธอรอคอยการตัดสินใจของฮั่วจือหมิง

ผ่านการพบปะพูดคุยกับมาช่วงหนึ่ง หล่อนก็เริ่มที่จะรู้จักนิสัยของฮั่วจือหมิง คือเขาเป็นคนที่ตั้งใจทำงานและค่อนข้างมีอารมณ์ศิลปินสูง

การเริ่มถ่ายฉากแรกของหนังเรื่อง ‘Suspect’ เป็นเพราะแค่ก้อนหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนี่ง ก็ทำให้เขาสั่งเริ่มถ่ายใหม่อยู่หลายรอบโดยไม่ให้หยุดพัก จนสุดท้ายเจียงเซ่อเดินอ้อมก้อนหินไปตามสัญชาตญาณ ฉากๆ นั้นถึงจะถือว่าผ่านในสายตาของฮั่วจือหมิง

เขาชอบอะไรที่ดูสมจริง ถ้าหากว่าฉากๆ นี้ เขายอมที่จะฟังข้อเสนอแนะของหล่อน อยากจะให้เจียงเซ่อ ‘โกนผม’ จริงๆ เพื่อแสดงถึงการตัดสินใจยอมไปตายเอาดาบหน้าของตัวละครซูอี้แล้วล่ะก็ เพื่อที่จะถ่ายให้ได้ฉากที่น่าพอใจ เขาจะยอมให้ช่างแต่งหน้าเตรียมเอฟเฟคหัวล้านให้กับเจียงเซ่อ จากนั้นก็ใส่ผมปลอมทับอีกชั้น และค่อยๆ ตัดผมปลอมนั่นทิ้งเพื่อหลอกตาคนดูเหมือนอย่างที่ผู้ช่วยผู้กำกับพูดอย่างนั้นเหรอ?

เถาเฉินเผยสีหน้าเยาะเย้ยดูถูกออกมา กับตาแก่ที่ดื้อรั้นแบบนี้ พอต้องเผชิญหน้ากับหลักการของตัวเองขึ้นมาจะยอมเปลี่ยนแปลงนิสัยของตนเพื่อเจียงเซ่อที่เขาให้ความสำคัญหรือเปล่า?

หล่อนนั่งไขว่ห้าง ไม่ได้ทำท่าทางเหมือนว่ากำลังสวมเป็นเป็นเฉินซวินหรานเหมือนเดิมอีก แต่ทำเหมือนกำลังนั่งดูหนังสนุกๆ เรื่องหนึ่งแทน

“แต่ถ้าเป็นแบบนี้ มันจะทำให้เสียเวลาหรือเปล่าครับ?”

รองผู้กำกับถามเถาเฉินอย่างไม่เข้าใจ แต่ซ่งอี้เข้าใจความหมายของเถาเฉินแล้ว ดูเหมือนว่าหล่อนเองก็ได้พิจารณาเรื่องนิสัยของฮั่วจือหมิงให้กลายเป็นหนึ่งในแผนการครั้งนี้ด้วย

การที่หล่อนเสนอความคิดเห็นออกไปแบบนั้นไม่ใช่แค่อยากจะทำลายเจียงเซ่อจนไม่มีหัวคิด กลับกันมันดูเต็มเปี่ยมไปด้วยเหตุผลที่เข้าใจได้

ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้กำกับคนอื่น คงไม่มีทางที่จะมาสนใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้แน่ และอาจจะพูดเหมือนที่รองผู้กำกับพูดไปเมื่อกี้นี้ ใช้การถ่ายภาพที่เบลอหน่อยกับมุมกล้องอีกนิดและใช้ผมปลอมมาตัด เพื่อให้คนดูจิตนาการเองว่าซูอี้โกนผมไปหมดแล้ว แล้วค่อยไปเชื่อมโยงฉากๆ อื่นเข้าด้วยกันทีหลัง

แต่ว่าเขาคือฮั่วจือหมิง เขาเป็นคนที่ตั้งใจและชอบความสมจริง ทีมงานที่ได้ร่วมงานกับเขามาเกือบสองเดือนนี้ ล้วนแล้วถูกสอนมาแล้วทั้งนัน วิธีแบบนี้ สำหรับเขาแล้ว มันอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจได้

ตอนนี้เขากำลังก้มหน้าคิด ดูเหมือนว่ากำลังพิจารณาในสิ่งที่เถาเฉินแนะนำอยู่จริงๆ

สถานการณ์แบบนี้ สำหรับผู้ช่วยของฮั่วจือหมิงแล้วถือว่าเป็นอะไรที่น่ากลัวไม่น้อย