webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

576

บทที่ 576 ปรองดอง

“พูดจามั่วซั่ว” โม่อานฉีเบะปาก ฟังเถาเฉินที่อ้างความขัดแย้งของเธอกับเจียงเซ่อว่าเป็นความชอบที่มีต่อต้นฉบับของ Amadeus เหมือนกัน “เมื่อกี้นี้ฉันได้ข่าวว่าซ่งอี้เลี้ยงข้าวพวกนักข่าวที่ไปในคืนนี้ และยังยื่นอั่งเปาซองใหญ่ให้ คงกำลังคิดหาวิธีกู้หน้าที่เถาเฉินเสียไปกลับคืนมาอยู่”

แต่ว่า สิ่งที่เถาเฉินพูดตอนให้สัมภาษณ์ โม่อานฉีกลับรู้สึกเหมือนเป็นการพูดเสียดสีแปลกๆ ตอนนั้นเถาเฉินมีเจตนาร้าย ตอนนี้คงอยากกลับตัว แต่ก็ยังอยากให้ลากเจียงเซ่อไปด้วย

เจียงเซ่อไม่ค่อยสนใจนักว่าเถาเฉินจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงต่อ แต่เป็นผู้ช่วยเองที่รู้สึกเสียดาย

“เสียดายต้นฉบับของ Amadeus เจียงเซ่อประมูลมาในราคาห้าล้านเชียวนะ จะยกให้เธอไปเฉยๆ เหรอ”

เธอรู้ว่าเจียงเซ่อชอบต้นฉบับนั้นจริง ๆ และจับจ้องเอาไว้ตั้งแต่ก่อนประมูลแล้ว แต่เพราะเถาเฉินเข้ามาแทรกแบบนี้ สุดท้ายจึงไม่ได้ต้นฉบับมาครอบครอง

หนังที่เจียงเซ่อเล่นมีไม่มากนัก หลังจากมีชื่อเสียง เซี่ยเชาฉวินก็หวงแหนเธอเป็นอย่างมาก ระมัดระวังในการรับบทหนังมาก เลือกแล้วเลือกอีก ถ้าไม่มีโอกาสที่ดีก็เลือกที่จะไม่รับ

ทำให้ตอนนี้นอกจากชื่อเสียงความโด่งดังของเธอแล้ว ค่าตัวในการแสดงหนังก็สูงขึ้น ชื่อเสียงของเธอก็เท่าๆ กับเถาเฉิน แต่ว่ารายได้ในทุกๆ ปีกลับน้อยกว่าเถาเฉินอยู่มาก

ห้าล้านนี้ ถือเป็นค่าตัวทั้งหมดที่เธอได้รับจากการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้รถสปอร์ตของ ELYSEES แล้ว แต่กลับให้เถาเฉินได้ประโยชน์ไปแบบนี้

“ไม่ต้องเสียดายหรอก” เจียงเซ่อสางผมที่เพิ่งไดร์เสร็จ

“คงอีกไม่นาน เถาเฉินจะต้องคืน ‘ห้าล้าน’ นั่นกลับมาอีกเป็นเท่าตัว”

อีกทั้งเธอยังจะต้องทำอย่าง ‘ยิ่งใหญ่’ เสียด้วย เพราะทุกคนจะต้องจับจ้อง ‘ของขวัญ’ ที่เธอจะให้คืนกลับมา ดังนั้นของนั่นอาจจะมีมูลค่ามากกว่าต้นฉบับของ Amadeus เสียอีก

ทันทีที่สิ้นเสียงของเจียงเซ่อ เซี่ยเชาฉวินก็หยิบรีโมทขึ้นมา ปิดเสียงทีวีและหันหลังกลับมา

“เถาเฉินไปหาทาง Steinway อยากได้เปียโนที่เธอเล่นในวันนี้”

คำพูดของเซี่ยเชาฉวินถือเป็นการยืนยันการคาดเดาของเจียงเซ่ออ้อมๆ เพียงแต่ว่า เจียงเซ่อคิดไม่ถึงว่าถึงขนาดนี้แล้ว เถาเฉินยังคิดจะใช้วิธีแบบนี้สานสัมพันธ์กับบริษัท Steinway ถือว่าฉลาดในเรื่องการฉวยโอกาสมากแล้ว

“เธอได้ช่องทางการติดต่อกับทาง Chapman เถาเฉินบอกว่าอยากจะซื้อเปียโนตัวนี้ให้เธอ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้”

เธอฉลาดมากจริงๆ และเข้าใจจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เหตุการณ์ในคืนนี้ เธอในฐานะผู้เสียเปรียบ เธอไม่เพียงแค่ไม่ยอมแพ้และหลบหน้าไป แต่ยังกระตือรือร้นในการคิดหาวิธี

อาศัยเรื่องนี้ ทำให้ได้มีปฏิสัมพันธ์กับ Chapman เจียงเซ่อเองก็นับถือเธอเลยจริงๆ

“แต่ว่า”

เซี่ยเชาฉวินพูดถึงตรงนี้ พลันยกขาขึ้น แล้วถามว่า

“คืนนี้ คุณลัวส่งข้อความถึงเธอแล้วใช่ไหม”

หลังจากเกิดเรื่องนี้ พอเรื่องราวรุนแรงมากขึ้น ในสายตาของทุกคน นักแสดงหญิงทั้งสองของซื่อจี้ หยินเหอแย่งต้นฉบับโน้ตเปียโนฉบับหนึ่งต่อหน้าสาธารณะชน เสนอราคาที่สูงลิ่วจนทำให้ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ คนรอบข้างไม่สามารถทำอะไรได้ จึงมีคนแจ้งทางซื่อจี้หยินเหอต้นสังกัดของทั้งสอง เพื่อจบเรื่องนี้ ลัวหยิ่นจึงส่งข้อความบอกเจียงเซ่อด้วยตัวเอง

“ใช่แล้วค่ะ”

เจียงเซ่อพยักหน้า วิธีการแก้ปัญหาของลัวหยิ่นในตอนนั้นเหมือนที่ทุกคนคิดเอาไว้ คือให้เธอหยุดการแย่งชิงกับเถาเฉินไปก่อน ระงับอารมณ์ให้ได้ แต่ว่า การกระทำของเจียงเซ่อหลังจากนั้นเป็นยังไง ทุกคนก็เห็นแล้ว

เธอไม่เพียงแค่ไม่ฟังลัวหยิ่น แต่กลับทำให้เถาเฉินต้องขายหน้าต่อหน้าสาธารณะชน

ท่ามกลางสายตาของเซี่ยเชาฉวินที่กำลังจับจ้องอยู่ เจียงเซ่อพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัด

โม่อานฉีนึกถึงตอนที่เซี่ยเชาฉวินขมวดคิ้วในงานเลี้ยง จึงกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าเซี่ยเชาฉวินจะโกรธ พลางแอบมองใบหน้าของเจียงเซ่อ พลางสังเกตสีหน้าของเซี่ยเชาฉวิน

แต่กลับเห็นว่าเซี่ยเชาฉวินไม่มีท่าทีว่าจะโมโห แต่บนใบหน้าราวกับซ่อนรอยยิ้มอันคลุมเครือ

“เอาเถอะ ฉันคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะรู้ว่าบริษัทจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”

เหตุการณ์นี้ เจียงเซ่อไม่เพียงแค่ทำให้เถาเฉินต้องเสียหน้า ในขณะเดียวกันก็ทำให้ลัวหยิ่นขายหน้าเช่นกัน แต่ว่า สิ่งที่โม่อานฉีคิดไม่ถึงคือ เจียงเซ่อกลับพยักหน้า แสดงท่าทางว่ายอมรับเรื่องนี้แต่โดยดี

ทันทีที่เซี่ยเชาฉวินพูดจบ ยังไม่ทันได้พูดประโยคถัดไป โทรศัพท์มือถือของจางฉือที่นั่งอยู่ในห้องตั้งแต่แรกก็สั่นขึ้นมา

ในห้องที่เงียบสงบเสียงสั่นนี้จึงดังมากเป็นพิเศษ ทุกสายตาไปรวมกับที่จางฉือ เขาโบกไม้โบกมืออย่างอึดอัดใจทีหนึ่ง ก่อนจะรับโทรศัพท์

เห็นได้ชัดว่าฐานะของคนในสายคงไม่ธรรมดา เพราะทันทีที่จางฉือลุกขึ้นยืน แม้ว่าคนที่คุยกับเขาจะไม่ได้อยู่ต่อหน้า เขาก็แสดงท่าทางที่ดูเคารพออกมา หลังจากคุยได้ไม่กี่คำ ก็ป้องมือถือเอาไว้ พลันหันมองเซี่ยเชาฉวิน

“พี่เซี่ย คุณลัวโทรมา...”

ตอนพูดเขามองเจียงเซ่อแวบหนึ่ง สีหน้าดูอึดอัด

ความโกรธในตอนนี้ของลัวหยิ่นนั้นสามารถจินตการได้เลย นักแสดงหญิงแถวหน้าของสังกัดทั้งสองคนเป็นข่าวแบบนี้ ไม่ว่าใครจะชนะ ยังไงก็ไม่เป็นผลดีกับบริษัททั้งนั้น

เซี่ยเชาฉวินเอาโทรศัพท์ออกไปคุยอีกมุมหนึ่ง หลังจากนั้นสิบห้านาที ตอนที่เธอกลับมาได้วางสายไปแล้ว เธอส่งต่อคำพูดของลัวหยิ่น

“ผลลัพธ์ออกมาแล้ว”

ปัญหาที่ตามมากับเรื่องนี้ไม่น้อยเลย ต้องให้บริษัทออกมาจัดการให้ เพราะฉะนั้นวิธีการแก้ปัญหาจึงถูกกำหนดออกมาไวกว่าที่เซี่ยเชาฉวินคิดไว้อยู่มาก

เจียงเซ่อนั่งตัวตรง ฟังเซี่ยเชาฉวินพูด

ท่าทางของเธอไม่เหมือนตอนอยู่ในงานเลี้ยงแล้ว ดูเชื่อฟังขึ้นมาก เซี่ยเชาฉวินเห็นแล้วจึงอดยิ้มไม่ได้

“ก่อนอื่น เธอไม่ต้องให้สัมภาษณ์เรื่องนี้อีก”

บริษัทต้องการปกป้องเถาเฉิน ข้อนี้ไม่ต้องสงสัย เพราะยังไง ตอนนี้เถาเฉินก็เป็นนักแสดงที่ทำรายได้ให้ซื่อจี้หยินเหอมากที่สุด ไม่ว่าจะมองจากเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ทางบริษัทก็ควรจะจัดการเรื่องนี้ให้เธอ

ถ้าเจียงเซ่อยังพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งสองคงฝ่ายคงจะขัดแย้งกันมากกว่าเดิม ถึงตอนนั้นคนที่ได้ผลประโยชน์มีเพียงนักข่าวและชาวเน็ตที่เห็นเป็นเรื่องสนุก กลายเป็นเรื่องตลกให้คนวิพากษ์วิจารณ์ แต่เป็นเรื่องน่าอายสำหรับทั้งสองคน ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย

เจียงเซ่อเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี เธอพยักหน้า เซี่ยเชาฉวินจึงพูดต่อว่า

“ต่อไป คุณลัวหยิ่นบอกว่า หลังจากถ่ายหนังเรื่อง ‘เซียนหยวน’ จบและเสร็จจากงานแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ ELYSEES งานอื่นๆ ให้เธอพักเอาไว้ก่อน”

นั่นก็หมายความว่า เจียงเซ่อถูกบริษัทลอยแพ

เจียงเซ่อพยักหน้าอีกครั้ง ผลลัพธ์แบบนี้เธอเดาออกตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่มีท่าทีว่าจะโต้ตอบ

ถ้าเป็นนักแสดงคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อฟัง บริษัทอาจจะไม่ให้ผลงานเข้าฉาย แต่ว่า วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเจียงเซ่อมากนัก

‘The second coming of Jesus Chrit’ ที่เธอถ่ายทำเป็นของบริษัททุนที่มีชื่อเสียงของต่างประเทศ ผู้กำกับคือเชี่ยซ่าเหลย แม้ซื่อจี้หยินเหอจะมีอำนาจมากกว่านี้ก็ไม่สามารถหยุดผลงานนี้ให้ออกสู่สายตาประชาชนได้

ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถห้ามหนังของเจียงเซ่อเข้าฉายได้ ทางบริษัทจึงใช้วิธีการห้ามไม่ให้เธอออกไปเจอสาธารณชนแทน

“เวลาเท่านี้ไม่น่าจะนาน”

ยังไงก็ตาม เหตุผลที่ทำแบบนี้ เพียงแค่อยากให้เจียงเซ่อได้ทบทวนตนเอง ไม่ใช่การตัดอนาคตในวงการบันเทิงของเธอ

เวลาที่ให้ไปคิดทบทวน ถ้าระยะสั้นอาจจะหลายเดือน ถ้าระยะยาวคงครึ่งปีถึงหนึ่งปี สำหรับเจียงเซ่อแล้วไม่เป็นผลกระทบเท่าไหร่ ท่ามกลางหน้าเศร้าสร้อยของโม่อานฉี เธอถึงขั้นถามอีกว่า

“อะไรอีกคะ”

ใบหน้าของเหล่าผู้ช่วยเต็มไปด้วยความจนปัญญา เซี่ยเชาฉวินจึงยิ้ม

“อีกอย่างก็คือ หนังเรื่อง ‘Suspect’ ของฮั่วจือหมิงที่ตอนแรกวางเถาเฉินเป็นนางเอก ตอนนี้ทางบริษัทให้เธอรับบท ‘จงฉี’ เอาไว้”

เธอยกมือขึ้น “ปฏิเสธไม่ได้เหรอ”

เหตุผลที่ต้องรับ แม้เซี่ยเชาฉวินจะไม่อธิบาย เจียงเซ่อก็คงจะเข้าใจดี

ที่ลัวหยิ่นตัดสินใจแบบนี้ มีสองเหตุผล

เหตุผลที่หนึ่ง เพื่อดับเปลวเพลิงแห่งความโกรธของเถาฉินที่ต้องเสียเปรียบ ในหนังเรื่อง ‘Suspect’ เถาเฉินเป็นนักแสดงนำ ถ้าเจียงเซ่อเป็นนางรองก็จะสามารถใช้เรื่องนี้ดับความไม่พอใจของเถาเฉินลงได้

และถือเป็นการชดเชยให้เถาเฉินที่เสียเปรียบในงานเลี้ยงการกุศลในคืนนี้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการปลอบใจแฟนคลับที่ไม่พอใจเพราะเจียงเซ่อเข้ามา ‘กระทบ’ ต่อฐานะเถาเฉิน ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบของทางบริษัท

เหตุผลที่สอง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แม้ทุกคนจะรู้ดีว่านักแสดงหญิงทั้งสองของซื่อจี้หยินเหอ อย่างเจียงเซ่อและเถาเฉินไม่ได้ปรองดองกันมากนักและคงจะมีการแอบขัดแย้งกันลับหลังด้วย

แต่ขอแค่พวกสื่อไม่มีภาพที่ทั้งสองทะเลาะกัน ทางบริษัทก็ยังต้องการจะขายภาพลักษณ์ที่ทั้งสองเป็นพี่น้องที่ ‘สามัคคีและปรองดองกัน’ เอาไว้

เจียงเซ่อมีคู่หมั้นอยู่แล้วและฐานะของเผยอี้ก็ไม่ธรรมดา ถ้าเป็นแบบนี้ หลังจากถ่ายหนังจำนวนมากเสร็จแล้ว เจียงเซ่อเองก็จะได้มีข่าวกับดาราชายน้อยลงด้วย

ถือโอกาสนี้สร้างกระแสให้กับทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะกับตัวเถาเฉินหรือหนังก็ล้วนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น

สำหรับเรื่องนี้ ทางบริษัทมีความคิดที่จะควบคุมเจียงเซ่อจริง “แต่ว่า หลังจากเธอขัดคำสั่งของคุณลัว ก็คงจะเดาออกแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้”

ทางบริษัทชอบหุ่นไม้ไผ่ที่เชื่อฟังคำสั่งมากกว่า คำพูดแบบนี้ เซี่ยเชาฉวินไม่ได้พูดออกมา

เจียงเซ่อเป็นคนที่รับงานหนังมาเรื่องหนึ่งแล้วตั้งใจทำให้ดีที่สุด ไม่ชอบรับหนังสองเรื่องพร้อมกัน แต่เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าทางบริษัทไม่มีตัวเลือกให้เธอ

เหล่าผู้ช่วยต่างไม่สบายใจ เซี่ยเชาฉวินจึงพูดต่อว่า

“โชคดีที่ในหนังเรื่อง ‘Suspect’ เธอไม่ได้ชอบบทนางเอก ‘เฉินซวินหราน’ อยู่แล้วตั้งแต่แรก ถือว่าเป็นการตอบสนองความต้องการในตอนแรกของเธออย่างอ้อมๆ”

เซี่ยเชาฉวินอารมณ์ดีไม่น้อยเลย ที่เธอจับจ้องบท ‘เฉินซวินหราน’ ในเรื่อง ‘Suspect’ ในตอนแรก ตอนนี้ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่พอใจแล้ว

แม้หนทางจะยากลำบาก แต่ถือว่าไม่ได้ผิดไปจากความปรารถนาในตอนแรกของเจียงเซ่อ

“หลังจากถ่ายทำเรื่อง ‘เซียนหยวน’ จบ ฉันค่อยมาเตรียมบทหนังใหม่”

เจียงเซ่อพูดจบ เซี่ยเชาฉวินพลันพยักหน้า เธอพูดเรื่องสำคัญจบก็ก้มลงดูนาฬิกา ในขณะที่กำลังเตรียมจะลุกขึ้น อยู่ๆ ก็พลันมีคนพุ่งเข้าหาตนเองอย่างไม่คาดคิด

เธอกำลังจะยกขาขึ้นถีบตามสัญชาตญาณ แต่พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่า คนที่เข้ามาคือเจียงเซ่อ ขาที่ยกขึ้นก็พลันวางลง ในขณะที่กำลังจะหลีกหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว

เจียงเซ่อนั่งลงบนที่วางมือของโซฟาที่เธอนั่งอยู่ สองแขนกอดคอของเธอเอาไว้

ไม่เพียงแค่เซี่ยเชาฉวินที่ตกใจเพราะการกระทำแบบนี้ แม้กระทั่งโม่อานฉีและคนอื่นๆ พอเห็นภาพนี้ก็ต่างอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

เซี่ยเชาฉวินไม่ชอบให้ใครใกล้ชิด เธอเย็นชามากจนเกินไปและจริงจังมาก สำหรับคนจำนวนมากแล้ว แม้ว่าเธอจะเป็นที่คนมากความสามารถ แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเลือดเย็นมากขนาดนั้น เพียงแค่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเหมือนคนปกติเท่านั้น

ทั้งคนในบริษัทและคนรอบตัว คนส่วนใหญ่ล้วนกลัวเธอ คนที่สนิทกับเธอจึงมีน้อยมาก

แม้ว่าจะอยู่กับเถาเฉินและร่วมงานกับเธอมานานหลายปี แต่ทั้งสองก็รักษาความสัมพันธ์อันดีเพื่อการทำงานเท่านั้น

เธอวางเฉยกับทุกคนและไม่สนิทสนมกับใคร แม้กระทั่งผู้ช่วยอย่างจางฉือที่อยู่กับเธอมานานหลายปี ก็ไม่เคยเห็นใครกล้าเข้าใกล้เธอแบบนี้มาก่อน

แม้ว่าในทุกๆ ปีน้อยมากที่เซี่ยเชาฉวินจะมีเวลากลับไปหาครอบครองที่ฮ่องกง และส่วนมากล้วนใช้เหตุผลมากกว่าความรู้สึก แต่ตอนนี้เธอกลับถูกเจียงเซ่อกอดเอาไว้แน่น

จางฉือเบิกตาโต เห็นเชี่ยเชาฉวินตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือของเธอจับแขนของเจียงเซ่อเอาไว้ แต่กลับไม่ได้ออกแรงดึงเจียงเซ่อออก

ถ้าเธอออกแรงผลักเจียงเซ่อออก อาจจะทิ้งรอยแผลบนผิวของเธอได้และอาจจะมีนักข่าวแอบถ่ายไปเขียนข่าวมั่วๆ ได้

ตอนนี้เธออาจจะคิดถึงปัญหาเล็กๆ ข้อนี้ เพราะฉะนั้น ตอนที่ถูกเจียงเซ่อกอด แม้จะไม่ชิน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี

“พี่เชาฉวิน...”

เจียงเซ่อกอดเธอเอาไว้ พิงหัวลงบนไหล่ของเธอ เธอสัมผัสได้ว่าร่างกายของเซี่ยเชาฉวินเกร็งตั้งแต่วินาทีที่เธอเข้าไปกอด

“ฉันชอบพี่มาก ขอบคุณทุกอย่างที่พี่ทำเพื่อฉัน”

เธออ้อนด้วยความอ่อนโยน ตอนที่พูด เจียงเซ่อก็สัมผัสได้ทันทีว่าเซี่ยเชาฉวินที่ตัวเกร็งในตอนแรก ตัวแข็งทันที เธอราวกับไม่คุ้นชินกับความใกล้ชิดแบบนี้ แต่ก็พยายามผ่อนคลายลง

“ขอบคุณพี่ที่ดูแลฉัน ขอบคุณพี่ที่ทำให้ฉันได้รับบท ‘จงฉี’”

ตอนที่เจียงเซ่อพูดประโยคนี้ จางฉือเห็นอย่างชัดเจนว่า ในแววตาเจ้านายที่ใจเย็นและเด็ดเดี่ยวคนนั้นของตนเองดูเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

อาจะเป็นเพราะแต่ก่อนเธอเก่งกาจมาก สำหรับทุกเรื่องที่เธอทำ ทุกคนก็จะล้วนคิดว่ามันสมควรที่จะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะเธอคือเซี่ยเชาฉวิน ไม่ว่าจะในซื่อจี้หยินเหอหรือวงการเธอคือตำนาน

เธอนำพานักแสดงหญิงทั้งสองเดินมาถึงจุดสูงจุดของวงการบันเทิงหัวเซี่ย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเธอจะได้รับผลลัพธ์ยังไง ในสายตาของคนจำนวนมากแล้ว เพราะเธอคือเซี่ยเชาฉวิน สิ่งที่เธอทำจึงกลายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดไป

วินาทีนี้ เซี่ยเชาฉวินดูตะลึง เจียงเซ่อเข้ามากอดและขอบคุณแบบนี้ คงจะเป็นของขวัญที่พิเศษและน่าประทับใจมากที่สุดที่ในชีวิต

“ฉันเอาแต่ใจมากเลยใช่ไหม”

มือที่กอดเชี่ยเชาฉวินอยู่ของเธอยังคงไม่คลายออก เอนตัวลงข้างกายของเซี่ยเชาฉวิน เซี่ยเชาฉวิน อยากทำท่าทางนิ่งเฉย ให้เธอนั่งดีๆ แต่ปากกลับขัดคำสั่งสมองและโค้งขึ้นสูง

“เธอรู้ก็ดีแล้ว!”

เธออยากพูดรุนแรงกว่านี้ แต่กลับทำได้เพียงแค่เตือนว่า

“คราวหน้าจะต้องเชื่อฟังกัน เข้าใจไหม”

“อืม”

เจียงเซ่อพยักหน้าโดยดี

หลังจากเซี่ยเชาฉวินและจางฉือกลับไป เหล่าผู้ช่วยยังคงดูงุนงง โม่อานฉีถึงกับตบหน้าอกหลายที

“เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นพี่เซี่ยสูญเสียความเยือกเย็นแบบนี้ หกเจ็ดปีมาแล้วนะ...”

และตอนนี้จางฉือที่ขับรถส่งเซี่ยเชาฉวินกลับบ้านก็เห็นเซี่ยเชาฉวินที่เหม่อลอยมาตลอดทางผ่านกระจก

เบาะหลังของรถยนต์เปิดไฟเอาไว้ ตามความเคยชินที่ผ่านมาของเธอ เธอคงจะเป็นคนที่ไม่ยอมเสียแม้กระทั่งเวลาในการเดินทาง มักจะใช้เวลาว่างอ่านเอกสารอยู่เสมอ ไม่ให้สมองของตนเองว่าง

ตอนนี้เธอยังคงอ่านเอกสารที่วางอยู่บนตัก แต่ว่า สิบกว่านาทีผ่านไปก็ยังคงไม่เปิดหน้าต่อไป เธอก้มหน้าลง ท่าทางดูเหม่อๆ ท่าทางที่ผิดปกติไปจากเดิมนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับอ้อมกอดและคำพูดก่อนหน้านี้ของเจียงเซ่อ

วินาทีนี้ เซี่ยเชาฉวินไม่ได้เป็นหญิงแกร่งบ้างานที่เยือกเย็นคนนั้นอีกต่อไป แต่ในสายตาของจางฉือ กลับรู้สึกว่าเธอดูมีชีวิตชีวามากกว่าครั้งไหนๆ