webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

572

บทที่ 572 เหนือการควบคุม

เซี่ยเชาฉวินหันกลับมา หลิวเย่ถึงกับเม้มปากด้วยท่าทางที่ทั้งเสียใจและผิดหวัง

โม่อานฉีตัวสั่น แต่เจียงเซ่อกลับเพียงแค่ค่อยๆ เก็บโทรศัพท์เข้าไปไว้ในกระเป๋าด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแล้วปิดกระเป๋าเบาๆ

คนจำนวนมากยังคงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ต้นฉบับสามใบของ Amadeus สร้างคลื่นลูกใหญ่ให้กับให้กับงานเลี้ยงการกุศลในค่ำคืนนี้ไม่หยุด เสี่ยวจางจากหัวเซี่ยจือซวิ่นอึ้งจนอ้าปากอ้าง หลังจากได้สติจึงเขย่าแขนของอวี๋จือหลิน

“เธอว่าเจียงเซ่อเป็นอะไรไปน่ะ เธอคิดว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว”

เสี่ยวจางดูอึดอัดเกินทน “เธอบ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย”

อวี๋จือหลินเองก็พูดอะไรไม่ออก คืนนี้ทำเอาคนดูต่างตื่นเต้น เธอถึงขั้นได้ยินนักข่าวที่อยู่ข้างๆ พูดเบาๆ ว่า “มาร่วมงานการกุศลแท้ๆ แต่ทำไมหลังจากมีเถาเฉินกับเจียงเซ่อเข้ามา ฉันกลับรู้สึกว่ากำลังดูหนังพีคๆ เรื่องหนึ่งเลย”

คนจำนวนไม่น้อยเห็นด้วยกับคำพูดนี้และคนจำนวนมากล้วนรู้สึกแบบนี้เช่นกัน

ความฮือฮาที่ต้นฉบับของ Amadeus สร้างขึ้นในตอนท้าย ถึงขั้นที่ไม่ด้อยกว่าหนังอันน่าตื่นตาตื่นใจเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

“เรื่องนี้ ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องบางเรื่อง” ในโซนสื่อมวลชน มีนักข่าวพูดขึ้นเบาๆ ทำให้นักข่าวคนอื่นๆ ต่างสนใจ แล้วก็มีคนหันไปถามเบาๆ

“เรื่องอะไรหรือ”

“พวกเธอยังจำงานเลี้ยงการกุศล ‘หัวเซี่ยเปล่งประกาย’ เมื่อหลายปีก่อนที่ ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ เป็นคนจัดขึ้นได้หรือเปล่า”

หลายคนพอถูกนักข่าวคนนี้เตือน ก็จำเรื่องในตอนนั้นได้ทันที

“ตอนนั้น นักแสดงหญิงในเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ คนหนึ่ง ประมูลลายเซ็นของจางจิ้งอาน เธอยังจำได้ไหม”

พอได้ยินแบบนี้ แม้จะเป็นคนที่ความจำไม่ดีต่างก็จำได้กันแล้ว

ในงานเลี้ยงการกุศลที่จัดขึ้นในปีนั้น ลายเซ็นของจางจิ้งอานสร้างความฮือฮาให้กับงานมาก

สถานการณ์ในตอนนั้นเป็นการแย่งชิงลายเซ็นของจางจิ้งอานระหว่างนักแสดงหญิงสองคนเช่นกัน ท้ายที่สุด ราคาลายเซ็นก็สูงเกินคาด ทำไมสถานการณ์ตอนนั้นจึงได้เหมือนกับตอนนี้เหลือเกิน

สิ่งที่แตกต่างมีเพียงแค่นักแสดงหญิงทั้งสอง ฐานะของพวกเธอและมูลค่าของข่าวก็เท่านั้น

“ฉันยังจำได้ว่า ปีนั้นคนที่ได้ลายเซ็นจางจิ้งอานไป คือเฝิงหนานใช่ไหม”

“ใช่ เธอเป็นคุณหนูแห่งวิสาหกิจจงหนาน มีคุณปู่เป็นทหารปฏิวัติ...”

“โห รวยจริงๆ”

“สมแล้วที่เป็นคุณหนูจากวิสาหกิจจงหนาน รวยจริงๆ แค่ลายเซ็นใบเดียว เหมือนจะประมูลในราคาหนึ่งล้านกว่าใช่ไหม”

“ถ้าจะพูดให้ถูก คือหนึ่งล้านห้าแสนกว่าต่างหาก!”

นักข่าวที่จำมูลค่าในตอนท้ายของลายเซ็นของจางจิ้งอานพูดขึ้น คนรอบข้างเงียบไปครู่หนึ่ง พักใหญ่จึงมีคนพูดพร้อมรอยยิ้ม

“แค่ลายเซ็นแผ่นเดียวประมูลได้มากถึงหนึ่งล้านห้าแสน ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

“ตอนนี้สถิตินี้ คงกำลังจะถูกทำลายลงแล้วล่ะ”

คนพูดยกคางหลายที พยักเพยิดไปทางเจียงเซ่อ ทุกคนเงียบลงอีกครั้งและรอดูว่าฝั่งของเถาเฉินจะชูป้ายอีกหรือเปล่า

ทุกเสียงในงานเงียบลง ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เถาเฉิน เพื่อรอดูปฏิกิริยาต่อไปของเถาเฉิน

ซ่งอี้แบมือที่เต็มไปด้วยเหงื่อออกแล้วเช็ดบนกางเกงสูทสองที เลียริมฝีปากแห้งผากหลายครั้ง ก่อนจะขยับเข้าไปหาเถาเฉิน แล้วถามเบาๆ ว่า

“คุณเถาครับ ยัง ยังจะสู้ไหมครับ”

เถาเฉินยกมุมปาก เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ ทำให้เธอดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่เลยจริงๆ

เธอคิดไม่ถึงว่า เรื่องราวจะราบรื่นมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้มากเพียงนี้ เจียงเซ่ออ่อนหัดมาก อดทนต่อการยั่วยุไม่ได้ ตนเองเพียงลงมือแค่เล็กน้อย เธอก็ตกลงไปในกับดักเสียแล้ว

ห้าล้าน ยังต้องสู้อีกหรือ

ถ้าเธอยังสู้ต่อไป คนที่พรุ่งนี้อาจจะถูกพาดหัวข่าวว่ามีเงินแต่โง่อาจจะกลายเป็นเธอเอง!

“ทุกอย่างควรจะอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ”

เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว

ทุกคนล้วนรอปฏิกิริยาจากเธอ แม้กระทั่งทางผู้จัดงาน ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ก็กำลังสังเกตสีหน้าของเธอ พิธีกรเองก็มองมาที่เธอ และแล้วเสียงพิธีกรก็ดังขึ้น

“ห้าล้าน ห้าล้านครั้งที่หนึ่ง...ห้าล้านครั้งที่สอง...จะมีคนเสนออีกหรือเปล่าคะ ต้นฉบับของนักประพันธ์เพลง นักดนตรีมือผู้มีพรสวรรค์ Amadeus เป็นสิ่งที่บันทึกความรู้สึกของ Amadeus ในขณะเขียนเพลง บริจาคโดยเปียโน Steinway ทั้งฉบับมีจำนวนสามใบ มีใครอยากครอบครองมันอีกหรือเปล่าคะ”

ในงานเงียบสนิท พิธีกรจึงได้เริ่มนับถอยหลังตามกติกาแล้ว

ใบหน้าของเซี่ยเชาฉวินนิ่งดั่งสายน้ำ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ขายหน้าก็ขายหน้าไปแล้ว

เจียงเซ่อจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเหมือนเฝิงหนานในตอนนั้น

ไม่สิ เซี่ยเชาฉวินถึงขั้นคิดว่า เธออาจจะแย่กว่าเฝิงหนานอยู่มาก

ฐานะในตอนนั้นของเฝิงหนานเปรียบไม่ได้กับเจียงเซ่อ คนที่แย่งกับเจียงเซ่อคือเถาเฉิน ความนิยมของเถาเฉินที่ได้รับจากประชาชนในประเทศไม่ใช่สิ่งที่จ้าวรั่วจวินที่แย่งชิงกับเฝิงหนานในตอนนั้นจะสู้ได้

ทุกคนดูฉากอันน่าประทับใจจนอิ่มเอมแล้ว รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ช่างยอดเยี่ยม ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงแล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ๆ เถาเฉินก็ลุกขึ้น ท่ามกลางสายตาของทุกคนในงานที่กำลังจับจ้องอยู่ เธอยกมือขึ้น เพื่อส่งสัญญาณว่ามีอะไรจะพูด

ตอนนี้สถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว

“พี่เส้า ทำยังไงดี”

ถึงตอนนี้ ทีมงาน ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ แทบจะร้องไห้อยู่แล้ว คืนนี้ ไม่ว่ายังไงก็ได้ทำให้ซื่อจี้หยินเหอไม่พอใจไปแล้ว เจียงเซ่อก็เสียเปรียบไปแล้ว คู่หมั้นของเธอต้องไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่

ตอนนี้เส้าฉุนจิ่นเครียดมาก เขาได้โทรหาเบื้องบนแล้วและเคยคิดว่าจะหาคนมาช่วยกู้สถานการณ์ มาร่วมเสนอราคา เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งนี้เสีย

แต่ว่า ถ้ามีคนเสนอราคาเพิ่มขึ้นอีกคน นอกเสียจากว่าเจียงเซ่อกับเถาเฉินจะยอมวางมือ มิเช่นนั้นจะยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลง

“ต่อไปอย่าเชิญสองคนนี้มาในงานเดียวกันอีก!” แม้เส้าฉุนจิ่นจะมากประสบการณ์ แต่ตอนนี้ก็อดเสียใจไม่ได้และรู้สึกผิดกับสิ่งที่กระทำลงไป

“แม้จะทำให้ใครไม่พอใจ แต่ก็ดีกว่าตอนนี้มาก!”

เถาเฉินมีเรื่องจะพูด ทุกคนก็ไม่สามารถห้ามเธอได้ สถานการณ์ย่ำแย่มากพอแล้ว จนไม่มีทางที่จะแย่ไปกว่านี้ได้อีก เส้าฉุนจิ่นไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง จึงพยักหน้า เพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องยื่นไมโครโฟนให้เถาเฉิน เขายิ้มเย็นเยียบ ราวกับเป็นบ้าไปแล้ว

“พวกเธอจะก่อเรื่องก็เอาให้สุดไปเลย ยังไงคนที่ต้องตามเก็บเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียว อย่างมากก็ลาออกซะ ไม่ทำมันแล้ว!”

ทีมงานได้ยินเช่นนี้ ก็มีคนยื่นไมโครโฟนให้เถาเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้าของเถาเฉินดูอ่อนหวานมากกว่าเดิม เธอถือไมโครโฟนเอาไว้ ตอนนี้ ไม่ว่าเธอจะยืนแถวหน้าสุดของแขกผู้มีเกียรติหรือว่าจะเป็นบนเวทีที่แสงไฟส่องสว่างที่สุด แต่ว่า ตอนนี้ในงานคนที่ดึงดูดทุกสายตาคือเถาเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย

“คิดว่าคุณเจียงอาจจะชื่นชอบงานศิลปะจริง ๆ และถูกใจโน้ตเพลงฉบับนั้นแค่อย่างเดียว”

เธอพูดอย่างมีเลศนัย คนที่ไม่เข้าใจคงรู้สึกว่าคำพูดของเธออาจจะเป็นการเยาะเย้ยด้วยความสะใจ แต่ว่า เจียงเซ่อกลับนึกถึง ‘เรื่องเล่า’ ตอนเริ่มมีชื่อเสียงของเถาเฉิน ที่เธอเล่าให้ Chapman ฟังก่อนหน้านี้ ว่าเธอได้รับค่าตัวจำนวนมหศาลจากงานงานหนึ่ง กัดฟันซื้อเปียโนตัวหนึ่งของ Steinway มา หลังจากได้เปียโนมา เธอก็เล่นเพลงทันทีและอัดคลิปโพสต์ลงในโซเชียล

เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าเธอใส่นาฬิกามา ‘อวดรวย’ เธอจึงบอกว่า ในสายตาของทุกคนเห็นเพียง ‘นาฬิกา’ แต่กลับไม่เห็นเปียโนที่ราคาหลักล้าน แล้วยังมาแอบเยาะเย้ยคนอื่นว่าไม่มีความคิด ทัศนคติและโลกแคบ

ตอนนี้เธอใช้เรื่องเดียวกันนี้ ในการดูถูกเจียงเซ่อ คนที่ฟังเข้าใจเกรงว่าคงมีแต่คุณ Chapman ผู้ดูแลของบริษัท Steinway ในหัวเซี่ยเท่านั้น

วิธีการเหยียบย่ำคนอื่นแบบนี้ของเถาเฉิน ดูฉลาดกว่าเฝิงหนานที่ไปแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลอยู่มาก เจียงเซ่อแทบจะอยากปรบมือให้กับความคิดและแผนการของเธออยู่แล้ว

สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในวงการบันเทิงมานาน การที่เถาเฉินสามารถมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ชื่นชมความเจ้าแผนการของเธอคงไม่ได้

ท่ามกลางท่าทางที่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ของคุณ Chapman เถาเฉินก็ประกาศพร้อมรอยยิ้ม

“สุภาพชนไม่แย่งของรักของใคร ไม่ทำลายความฝันของใคร เพราะฉะนั้น ต้นฉบับของ Amadeus อาจจะต้องอยู่ในครอบครองของคนที่ ‘ชอบ’ จริงๆ จึงจะมีค่ามากที่สุด ยินดีกับคุณเจียงด้วยนะคะ ต้นฉบับของ Amadeus เป็นของคุณแล้วค่ะ”

เธอนำทุกคนปรบมือ เสียปรบมือค่อยๆ ดังขึ้นทั่วทั้งงาน และมากขึ้นเรื่อยๆ จนในงานแทบจะมีเพียงแค่เสียงปรบมือกึกก้อง

สายตาเสียดสีของคนเหล่านี้ไม่มีการเก็บซ่อนอีกต่อไป หลิวเย่ส่ายหน้าเบาๆ เซี่ยเชาฉวินมองเจียงเซ่อแวบหนึ่ง ตอนนี้ เธอรู้สึกสงสัยเป็นมากว่าเจียงเซ่อรู้สึกอย่างไร

คำพูดเสียดสีของเถาเฉิน เซี่ยเชาฉวินได้ยินชัดทั้งหมด และเข้าใจว่าเถาเฉินกำลังลำพองใจเรื่องอะไร

จุดจบแบบนี้ เจียงเซ่ออาจจะเดาออกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เธอก็ยังคงกระโดดลงไปในหลุมพรางที่เถาเฉินขุดเอาไว้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกผิดเพราะความวู่วามของตนเองหรือเปล่า

เซี่ยเชาฉวินแอบถอนหายใจ เธอเป็นคนที่มีสติมาโดยตลอด มีความเด็ดเดี่ยว ที่ผ่านมาก็กระตือรือร้นกับการทำงาน แต่ว่า ตอนนี้กลับรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เจียงเซ่อที่อยู่ในโอวาทมาตลอดจะทำความผิดแบบนี้ลงไปได้

ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนนักสู้ที่ชนะคนทั้งโลกมา แต่ไม่ได้ตายเพราะศัตรู แต่กลับตายเพราะก้างปลาติดคออย่างนั้น

เธอยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วของตนเอง พร้อมก้มหน้าลงจนทำให้เส้นผมตกลงมาบดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ ทำให้ผู้คนที่อยากอ่านใจเธอผ่านสีหน้าล้วนถูกกันเอาไว้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้นเซี่ยเชาฉวินจึงไม่เห็นว่า หลังจากเถาเฉินพูดจบ ในขณะที่ทุกคนกำลังปรบมือ เจียงเซ่อเองก็วางกระเป๋าลงบนที่นั่ง และกระซิบหลิวเย่ที่อยู่ข้างๆ ว่า

“พี่หลิว ฝากกระเป๋าหน่อยได้ไหมคะ”

หลิวเย่ผิดหวังมาก ตอนเจียงเซ่อพูดรอบแรกเขาราวกับยังไม่ได้สติ จนกระทั่งเจียงเซ่อขอร้องเป็นครั้งที่สอง เขาจึงได้สติ และพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

เขาไม่ควรแสดงอาการแบบนี้ออกมา ความจริงแล้วไม่ว่าอย่างไร เจียงเซ่อก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

แต่ว่า เพราะความเป็นห่วงจากใจจริงที่ยากที่จะเกิดขึ้นในใจของเขา ทำให้เขาต้องเตือนเธอ แต่ท้ายที่สุดเธอกลับไม่ฟังคำพูดของตนเองและยังทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนได้

อาจจะเป็นเพราะกว่าหัวเซี่ยจะมีนักแสดงหญิงที่สมบูรณ์แบบมากถึงเพียงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยและยังสามารถเข้าสู่ตลาดในยุโรปและอเมริกาได้อีก เขาจึงเสียดายแทนเธอ

เจียงเซ่อยิ้มให้หลิวเย่ หลังจากกล่าวคำขอบคุณ ก็จัดกระโปรงอย่างไม่เร่งรีบ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

“หืม?”

“เจียงเซ่อเองก็ลุกขึ้นเหรอ”

“นี่มัน…”

คนรอบข้างต่างวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้เซี่ยเชาฉวินวางมือที่ปิดปากลง แล้วเงยหน้าขึ้นมอง

เธอเห็นเจียงเซ่อจัดกระโปรงตัวเองแล้วเดินขึ้นไปบนเวทีที่มีพิธีกรยืนอยู่

สายตาของทุกคนที่จับจ้องเถาเฉินอยู่เปลี่ยนมาหยุดอยู่ที่เธอ ใบหน้าดูงุนงง ไม่เข้าใจว่าเจียงเซ่อคิดจะทำอะไร

“พี่เซี่ย...”

โม่อานฉีเองก็อึ้ง พลันเรียกเบาๆ ทีหนึ่ง เซี่ยเซาฉวินตกใจ และพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า

“เงียบ!”

จิตใจที่แน่วนิ่งของเธอ ในครั้งนี้กลับเต้น ‘ตุบตุบ ตุบตุบตุบ’ แล้วค่อยๆ เต้นเร็วขึ้น เธอมองฝีเท้าที่ไม่เร่งไม่รีบของเจียงเซ่อ

ตอนนี้เธอกลายเป็นคนที่ถูกหัวเราะเยาะ แต่ในสายตาเซี่ยเชาฉวินแล้ว เธอกลับเหมือนเป็นผู้ชนะ!

เธอไม่ได้มีนิสัยวู่วาม กล้าเผชิญหน้ากับเถาเฉินแบบนี้ อาจจะมีเหตุผลของตนเองและมั่นใจกับการกระทำของตนเองในระดับหนึ่ง!

‘ตุบตุบตุบตุบตุบ’ ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยเชาฉวินรู้ซึ้งว่าใจเต้นเร็วเหมือนตีกลองเป็นอย่างไร เธอเห็นเจียงเซ่อขึ้นเวทีและรับไมโครโฟนจากพิธีกรมาอย่างเป็นธรรมชาติ วินาทีนี้เอง สถานการณ์การแย่งชิงที่เหนือการควบคุมระหว่างเธอกับเถาเฉิน ก็ตกอยู่ในมือของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เธอ...เธอคิดจะทำอะไร...”

เส้าฉุนจิ่นผู้จัดงาน ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ถามพึมพำ ทีมงานเองก็งุนงงและส่ายหน้าอึ้งๆ

ตอนนี้ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าเจียงเซ่อกำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของเธอไม่ได้ดูแย่ ท่ามกลางแสงไฟ ท่าทางของเธอยังสง่างาม รอยยิ้มชวนหลงใหลเป็นอย่างมาก

เจียงเซ่อคิดจะทำอะไรกันแน่! ความจริงแบบนี้ บางทีอาจจะไม่ได้มีเพียงแค่เส้าฉุนจิ่นผู้จัดงาน ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ เท่านั้นที่อยากถาม แต่ยังเป็นคำถามในใจของนักข่าวที่อยู่ในโซนสื่อมวลชนและยังเป็นสิ่งที่ผู้มาร่วมงานการกุศลทุกคนในค่ำคืนนี้อยากรู้ รวมถึงซ่งอี้และตัวเถาเฉินเองด้วย

จนถึงตอนนี้ เธอควรจะกลับไปคิดว่าควรจัดการกับปัญหานี้อย่างไรเสียดีกว่า แม้ว่าเธอจะร้องไห้ฟูมฟาย กระวนกระวาย เถาเฉินก็รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผลแล้ว

แต่ว่า ท่าทางของเจียงเซ่อดูผิดปกติ รอยยิ้มของเธอ แสงประกายที่ซ่อนอยู่ในดวงตา เค้าโครงที่งดงามไร้ที่ติ ราวกับพระเจ้าตั้งใจรังสรรค์ขึ้น

“รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ครอบครองต้นฉบับของ Amadeus”

เจียงเซ่อถือไมโครโฟนเอาไว้ มองไปที่ต้นฉบับ เพราะเส้าฉุนจิ่นคอยส่งสัญญาณอยู่ข้างล่างเวที พิธีกรจึงแอบเปลี่ยนหน้าจอที่ตอนแรกแสดงภาพต้นฉบับอยู่มาเป็นภาพบนเวที ใบหน้าของเจียงเซ่ออยู่ในหน้าจอใหญ่ ทุกอิริยาบถ ล้วนถูกแขกที่อยู่ในงานจับจ้อง

ใบหน้าของเธอ รับกับหน้าจอใหญ่แบบนี้มาก แม้แต่คนที่เห็นเจียงเซ่อเป็นตัวตลกในค่ำคืนนี้ พอเห็นใบหน้าของเธอในขณะนี้ ก็อดเสียดายแทนเธอไม่ได้

“คนที่เรียนเปียโน คิดว่าคงจะเห็นผลงานของผู้อาวุโสอย่างคุณ Amadeus เป็นศิลปะที่สุดยอดที่สุด สำหรับฉันการประมูลต้นฉบับทั้งสามใบของคุณ Amadeus ในค่ำคืนนี้ ก็เหมือนกับหนทางที่จะนำไปสู่พระเจ้าค่ะ!”

ได้ยินคำพูดนี้จากเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเถาเฉินที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดพลันหายไป เจียงเซ่อฉลาดจริงๆ ตอนนี้เหมือนคิดออกแล้วว่าควรจะพูดเพื่อแก้สถานการณ์อย่างไร

แต่ทว่า คำพูดแบบนี้ ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

เธอสามารถเกลี้ยกล่อมคนส่วนน้อยได้ แต่คนส่วนใหญ่จะยอมเชื่อคำพูดของเธอเหรอ

ในสายตาของเถาเฉินแฝงความเยาะเย้ย เธอถือไมโครโฟนเอาไว้ รอดูการกระทำต่อไปของเจียงเซ่อ

“คุณ Chapman คะ”

เจียงเซ่อที่มือหนึ่งถือต้นฉบับ อีกมือถือไมโครโฟน อยู่ๆ ก็เอ่ยชื่อ Chapman ขึ้นมา

ทุกคนมองไปยังตำแหน่งที่คนของ Steinway นั่งอยู่ ตามสายตาของเจียงเซ่อ เห็นได้ชัดว่า Chapman ไม่อยากดังด้วยวิธีการแบบนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าดูห่างเหิน ไม่อบอุ่นเหมือนตอนมองเจียงเซ่อก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังคงยืนขึ้นอย่างสุภาพ พลันโค้งคำนับ

“ขอใช้เปียโนของ Steinway ได้หรือเปล่าคะ”

เจียงเซ่อราวกับไม่เห็นความเย็นชาที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของ Chapman พลันยื่นคำขอของตนเอง

“แน่นอน”

Chapman ไม่คิดว่าเธอจะเอ่ยชื่อตนเองแล้วขอแบบนี้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี

เจียงเซ่อถือต้นฉบับ เดินมุ่งไปยังตำแหน่งที่เปียโนวางอยู่

ในขณะนี้เองเส้าฉุนจิ่นเหมือนได้สติกลับคืนมา ส่งสัญญาณให้ทีมงานเปิดไฟบริเวณที่คนของ Steinway เอาเปียโนไปวางไว้

ทุกคนจับจ้องทุกฝีเท้าของเจียงเซ่อ แสงไฟสว่างขึ้น งานเลี้ยงการกุศลในค่ำคืนนี้ ราวกับได้กลายเป็นเวทีของเธอแต่เพียงผู้เดียว ทุกสายตาล้วนมองหาที่เธอ จนยากที่จะถูกใครเบนความสนใจไปได้อีก

เถาเฉินแอบรู้สึกว่า สถานการณ์ในตอนนี้ดูผิดปกติ หนังตาของเธอกระตุกเบาๆ แต่ทว่า กลับพูดไม่ถูกว่ามีอะไรที่ผิดปกติ

เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ควรจะเป็นผลดีต่อเธอ เธอปลอบใจตนเอง ไม่มีทางที่เจียงเซ่อจะพลิกผันสถานการณ์ได้ แต่ทว่า เธอกลับรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี

เธออยู่ในวงการมานานหลายปี สัมผัสที่หกนั้นแม่นยำมาก แต่ว่าตอนนี้เถาเฉินกลับถามตนเองอย่างไม่มั่นใจว่า ‘เธอคิดมากเกินไปหรือเปล่านะ’

เจียงเซ่อได้เดินมาหยุดอยู่ข้างเปียโนแล้ว มีทีมงานของ Steinway ช่วยเธอดึงเก้าอี้ออก เพื่อให้เธอนั่งลง