webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

563

บทที่ 563 เป็นเพื่อนฉัน

ถ้าจะบอกว่าหลิวเย่แสดงหนังเรื่อง ‘Evil’ ออกมาได้ดีมาก การพลิกบทบาทของเขา ทำให้จำนวนไม่น้อยต่างพูดถึง

ถ้าอย่างนั้น ในหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ การแสดงของเจียงเซ่อก็เทียบเท่ากับเขา

คนที่มาร่วมพิธีเปิดรอบปฐมทัศน์ ล้วนเห็นว่าจางจิ้งอานชอบเธอมากเป็นพิเศษ หลายฉากสำคัญล้วนรวมอยู่ที่ตัวเธอ โครงสร้างของตัวละครของเธอ หลากหลายกว่า ‘เฉิงเจี้ยนกั๋ว’ เป็นอย่างมาก

ตอนแรกเนื้อเรื่องควรจะให้ความสำคัญกับเฉิงเจี้ยนกั๋วที่ ‘หลงผิด’ แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นถังจิ้ง

สามารถทำได้ขนาดนี้ นอกจากความรักการให้ความสำคัญที่จางจิ้งอานมีต่อเจียงเซ่อจนได้แสดงออกมาสู่ตัวหนังแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเจียงเซ่อสามารถตีบทจนแตก จึงทำให้การแสดงของเธอกับหลิวเย่ในหนังเรื่องนี้อยู่ในระดับเดียวกัน

พอหนังฉายจบ คนจำนวนไม่น้อยประทับใจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าข่าวที่เจียงเซ่อแย่งหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ จากเถาเฉินจึงหายไปอย่างไร้ข้อกังขา

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน คนที่ได้ดูหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ ก็ล้วนรู้สึกไม่ต่างจากตอนที่ซูเพ่ยเอินดูที่ในเทศกาลหนังฝรั่งเศส นอกจากเจียงเซ่อแล้ว ไม่มีใครสามารถถ่ายทอดตัวถังจิ้งออกมาได้ดีขนาดนี้อีกแล้ว

หลังจากฉายหนังจบแล้ว อีกสักครู่ยังมีการสัมภาษณ์ ค่ำคืนนี้เจียงเซ่อเป็นจุดสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย

เผยอี้มองเธอที่ถูกกล้องจำนวนมากล้อมรอบอยู่ด้านล่างเวที เธอดูแตกต่างไปจากสาวน้อยที่เขาจำได้ แต่ผู้หญิงของเขายังคงยอดเยี่ยมอยู่เสมอ

หลังจากจบงาน เผยอี้บอกว่ามีธุระ ขอกลับก่อน

เจียงเซ่อกำลังคิดถึงสิ่งที่เสี่ยวหลิวให้โม่อานฉีมาบอก หลังจากล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ลงไปรอที่จอดรถทันที

ตอนที่เธอเสร็จงานก็เกือบห้าทุ่มครึ่งแล้ว ขณะนี้ที่จอดรถเงียบสนิท ไม่มีเผยอี้อยู่ข้างๆ และเธอก็บอกให้โม่อานฉีและคนอื่นๆ กลับไปก่อนแล้ว

คืนนี้เป็นคืนที่หนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ เข้าฉาย คนจำนวนมากที่แย่งตั๋วหนังรอบปฐมทัศน์ตอนเที่ยงคืนมาแล้ว ต่างก็ขึ้นไปรอบนโรงหนังแล้ว

โรงจอดรถเงียบผิดปกติ มียามประจำโรงจอดรถมาลาดตระเวนเป็นครั้งๆ และได้ยินเสียงมาแต่ไกล

เจียงเซ่อนั่งท่าเดิมอยู่ในรถมานานแล้ว เธอคิดมาตลอดว่าเหตุผลที่คุณปู่เลือกที่จะให้เธอไปส่งเขาโดยลำพังในเวลาแบบนี้คืออะไร

เขาปฏิเสธไม่ไปร่วมพิธีเปิดรอบปฐมทัศน์กับเธอ แต่กลับเหมาโรงเพื่อดูหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ อาอี้บอกว่า บางครั้ง เฝิงจงเหลียงอาจจะอยากอยู่คนเดียว

เธอรอเป็นเวลานาน พลางคิดทบทวนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ตอนที่เฝิงจงเหลียงลงมาก็ราวเที่ยงคืนกว่าแล้ว

ตอนนี้แฟนคลับในตี้ตูจำนวนมากของเธอล้วนอยู่ในโรงหนัง ดูหนังที่เธอแสดง แบ่งปันทั้งสุขและทุกข์ของเธอในหนังเรื่องนี้

“คุณปู่...”

เฝิงจงเหลียงถือไม้เท้าเดินเข้ามาโดยลำพัง ทันทีที่ขึ้นรถ เจียงเซ่อก็ได้กลิ่นบุหรี่บนตัวเขาทันที ในขณะที่กำลังจะพูด เขาก็หันกลับมาเสียก่อน

“เราไปทางสะพานจิงซีเป่ยเหมินเถอะ”

ทางที่เขาพูดถึง ไม่ใช่ทางลัดกลับจากโรงหนังไปบ้านตระกูลเฝิงแต่อย่างไร แต่กลับเป็นอีกเส้นทางที่แทบจะอ้อมไปตามฝั่งของคลองแม่น้ำของตี้ตู

ที่นี่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิงและในสมัยหลังสงครามปฏิรูป ทางประเทศก็ได้บูรณะซ่อมแซม จึงดูงดงามมาก

เจียงเซ่อพยักหน้า เฝิงจงเหลียงเป็นคนที่มีระเบียบวินัยมาก ไม่เคยสูบบุหรี่และน้อยครั้งที่จะดื่มเหล้า

คืนนี้บนตัวเขามีกลิ่นบุหรี่ติดอยู่ ไม่รู้ว่าที่เขาสูบบุหรี่เพราะอะไร

เธออยากถาม แต่เห็นได้ชัดว่าเฝิงจงเหลียงไม่ยอมตอบแน่

เจียงเซ่อสตาร์ตรถแล้วขับออกจากตึกโรงหนัง IMAX

รถยิ่งขับเข้าหาแนวฝั่ง คนก็ยิ่งน้อย

ฤดูร้อนที่นี่คนเยอะมาก คู่รักที่มาเดทกันและคนที่มาวิ่งออกกำลังกายตอนกลางคืน ล้วนเป็นดั่งเครื่องประดับบนเส้นทางแนวฝั่งแม่น้ำสายนี้

แต่ทว่า ตอนนี้เพิ่งจะหมดฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ต้นฤดูร้อน ช่วงนี้ที่ตี้ตูตอนกลางคืนก็หนาวมาก ในเวลาเกือบตีหนึ่งแบบนี้คนจึงน้อยมาก

ในรถเงียบสนิท เจียงเซ่อขับรถอย่างตั้งใจ เขารู้ว่าคุณปู่ไม่ได้หลับ เพียงแค่เงียบมาตลอดทาง

“จอดรถไว้ตรงมุมทางเลี้ยว”

เขายื่นมือออกไป ชี้ป้ายที่จอดรถชั่วคราวตามแนวฝั่งที่อยู่ข้างหน้า “ลงไปเดินเล่นกับฉันหน่อย”

เจียงเซ่อพยักหน้าและจอดรถบนที่จอดรถชั่วคราวตามที่เฝิงจงเหลียงบอก เธอเปิดประตูและลงจากรถก่อน พอลมพัดเข้ามา ผมยาวของเธอก็บดบังใบหน้าของเธอเอาไว้

เธอจัดผมของตนเอง ก่อนจะเดินวนไปอีกฝั่งของรถแล้วเปิดประตูพยุงเฝิงจงเหลียงลงจากรถ

กลางคืนแบบนี้ ความจริงแล้ว หลังจากดูหนัง เฝิงจงเหลียงไม่ควรเอาแต่ใจแบบนี้ เขาควรกลับไปอาบน้ำแล้วเข้านอนและพักผ่อนให้เพียงพอ

“เธอดูตรงนั้นสิ...”

เฝิงจงเหลียงมือหนึ่งถือไม้เท้า มือหนึ่งปล่อยให้เจียงเซ่อพยุงเอาไว้

อีกฝั่งของแม่น้ำเป็นครึ่งหลังของตี้ตู ไฟสองข้างทางหันหน้าเข้าหากันแต่ห่างกันแสนไกล

“ฉันจำได้ว่า ตอนที่ฉันพาเธอกลับมาที่นี่ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้ายังซ่อมอยู่เลย” ตอนนี้กลับกลายเป็นตึกสูงตระหง่านตระการตาเป็นอย่างมาก

“ยี่สิบปีมาแล้ว” เฝิงจงเหลียงถอนหายใจ “เปลี่ยนไปมาก”

เจียงเซ่อพลางฟังเขาถอนใจหายพร้อมรอยยิ้ม พลางพยุงเขาเดินไปข้างหน้า

“ทำไมอยู่ๆ คุณปู่ถึงพูดถึงเรื่องนี้ล่ะคะ”

เฝิงจงเหลียงเงียบ อยู่ๆ รอบข้างก็เหลือเพียงแค่เสียง ‘ซ่าซ่า’ จากลมที่พัดผ่านต้นไม้ เสียงฝีเท้าที่ไม่เร่งไม่รีบของทั้งสองและเสียงไม้เท้าของเฝิงจงเหลียงที่กระทบลงบนพื้นอย่างชัดเจน เดินมาสักระยะ เฝิงจงเหลียงก็เริ่มจะเหนื่อยแล้ว เห็นเก้าอี้ยาวข้างฝั่งแม่น้ำ จึงตบมือของเจียงเซ่อหลายทีเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เธอพยุงตนเองไปนั่ง

น้ำในแม่นำถูกไฟนีออนจากสองข้างทางส่องจนเกิดแสงระยิบระยับดูสวยงาม ทำให้ดูสงบและอ่อนโยนกว่าตอนกลางวัน

เรือที่จอดอยู่ข้างฝั่งมีเพียงแสงเป็นจุดๆ ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ เจียงเซ่อรู้สึกว่า จิตใจที่ร้อนรนสงบขึ้นมาก

“คืนนี้ ฉันไปดูหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ มาแล้ว”

เฝิงจงเหลียงวางไม้เท้าไว้ข้างๆ อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า

เจียงเซ่อหันไปมองเขาที่ก้มหน้า แต่หลังยังคงยืดตรง นี่เป็นสิ่งที่เขาติดเป็นนิสัยจากหลายปีที่เป็นทหาร แม้อายุจะมากแล้ว แต่ก็ยังคงเหมือนเดิม

“อืม หนูรู้ค่ะ” เธอพยักหน้า “ลุงหลิวบอกแล้ว”

“ฉันดูหนังเรื่องนี้ไปสองรอบ” เขายื่นมือออกมา ชูเลข ‘สอง’ น้ำเสียงค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น

“ยิ่งดู ฉันก็ยิ่งคิดถึงเรื่องในอดีต”

ขณะที่เขาพูด อยู่ ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงเซ่อก็หายไปทีละนิด

“คุณปู่...”

“ฉันนึกถึงตอนนั้น ตอนที่ฉันเพิ่งกลับจากงานเลี้ยง”

“คุณปู่” เธอเหมือนจะเดาออกแล้วว่าเฝิงจงเหลียงจะพูดอะไร ริมฝีปากเริ่มสั่น แต่เฝิงจงเหลียงกลับไม่มีท่าทีที่จะหยุด

“ลุงหลิวของเธอ ห่วงแต่ไปสั่งแม่บ้านให้ต้มซุปหวานให้ฉันดื่ม”

“คุณปู่!” เธอเริ่มกระวนกระวาย พลันกำมือวางแนบอยู่บนขา เหมือนอยากลุกขึ้นมา

เฝิงจงเหลียงไม่สนใจเธอ

“ตอนนั้นแม่บ้านที่ยกชาเข้ามาให้บอกฉันว่ามีพัสดุมาส่ง” เขาจึงรู้ว่าเฝิงหนานหายตัวไป

พูดถึงตรงนี้ ในที่สุด เฝิงจงเหลียงก็เงยหน้าขึ้น

“ตั้งแต่รู้ว่าเธอหายตัวไป แม้จะไปช่วยทันที แต่ฉันก็รู้ว่ามันก็ยังคงสายไป”

เพราะคนในตระกูลเฝิงที่ปล่อยปละละเลย ทำให้เธอถูกพวกคนร้ายทำร้ายและยังต้องทรมานอยู่ในมือของพวกมันนานถึงเพียงนั้น

“หลานปีที่ผ่านมา ทั้งลุงหลิวของเธอ ทั้งพ่อแม่ คุณลุงของเธอ ต่างคิดว่าคนที่ฉันควรเกลียดคือพวกของเจียงจื้อหยวน เกลียดพวกเขาที่ทำร้ายเธอ บางทีฉันเองก็คิดแบบนั้น ในยามค่ำคืนที่เงียบเหงา ฉันเองก็อยากปลอบใจตัวเองแบบนั้น แต่บางทีฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดตอนที่เจอเธอที่บ้านไม้ในป่านั่น คือพวกคนร้ายอำมหิตหรือว่ากลัวเรื่องอื่นกันแน่”

สายตาของเฝิงจงเหลียงหยุดอยู่ที่เธอ ในขณะที่เธอก้มหน้าลงอย่างตื่นตระหนก เหมือนไม่อยากให้เขารับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกในหัวใจของเธอ

“บางเรื่อง ฉันไม่กล้าพูดออกมา เพราะฉันเองก็ยังคิดว่ามันน่าขำ” เขาพึมพำ

“เป็นหลานสาวแท้ๆ ที่ฉันเลี้ยงมากับมือ เคยอยู่กับฉันมาสิบกว่าปี กินข้าวโต๊ะเดียวกัน แต่กลับห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ”

ถ้าไม่ใช่เพราะมีโอกาสได้มาเกิดใหม่อีกครั้งและได้เปลี่ยนวิถีการอยู่ร่วมกันระหว่างปู่หลาน บางทีชาตินี้เฝิงจงเหลียงคงต้องจากไปพร้อมความรู้สึกผิด

“ปู่แก่แล้ว บางเรื่องถ้าไม่พูด อาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก”

ตอนนี้เฝิงจงเหลียงไม่ได้เย็นชาและเคร่งขรึมเหมือนปกติ สายตาดูอ่อนโยน

“อาหนาน ปู่ผิดไปแล้ว ตอนนั้นปู่เอาแต่ใจเกินไป ทุ่มเทแต่เรื่องงาน จนละเลยคนรอบข้าง”

เขายื่นมือออกไปจับมือของเจียงเซ่อเอาไว้ เอ่ยชื่อที่เรียกเฝิงหนานตอนเด็ก

“ในตอนนั้นจึงไม่ได้รู้ตัวทันทีที่อาหนานหายตัวไป ปล่อยให้หนูต้องอยู่ในมือของพวกคนร้าย ปล่อยให้หนูต้องลำบาก”

ทุกคำที่เขาเปล่งออกมา ล้วนทำให้มือของเจียงเซ่อเย็นขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มตัวสั่น

“ปู่ไม่ใช่ปู่ที่ดี อาจจะตั้งแต่พ่อและลุงๆ ของหนูเกิดมา ปู่ก็ไม่เคยเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีเลย”

จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น จึงรู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว

“แต่ทว่า ในใจของปู่ ปู่ไม่เคยทิ้งอาหนานของปู่ เพียงแค่บางครั้งก็ประมาทเกินไป บางคนไม่ได้เกิดมาเป็นพ่อแม่และเป็นผู้ใหญ่ที่ดีตั้งแต่เกิด” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง และมองนัยน์ตาของเจียงเซ่อที่มีน้ำตาซึมออกมาอย่างรวดเร็ว เธอเม้มปาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนจะร้องไห้ แต่พยายามกลั้นเอาไว้

“การเติบโตของเด็กต้องการการสั่งสอน ปู่มีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ ความจริงก็ยังต้องค้นหาและเพิ่งเข้าใจว่าการเป็น ‘ปู่’ ที่ดีเป็นอย่างไรเมื่อไม่กี่ปีมานี้”

“ปู่ไม่เคยทิ้งหลานสาวของปู่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ปู่จะวางมือจากวิสาหกิจจงหนานให้ไวกว่านี้ เพื่อที่จะอยู่กับหลานสาวของปู่ทุกวัน รู้ตัวว่าเธอหายตัวไปให้ไวกว่านั้น รีบไปหาเธอตอนที่เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย จูงมือเธอออกจากบ้านไม้หลังนั้น”

เขาจับมือเฝิงหนาน มือบางคู่นั้น นิ้วมือเรียวยาว ขาวเนียนดั่งเนื้อหยก แต่ทว่า สิ่งที่เขา ‘เห็น’ กลับเป็นมือที่กำหมัดแน่นของเธอ หลังจากช่วยเธอออกมาได้ในตอนนั้น

เธอยังคงสั่น น้ำตาไหลลงมาอย่างเงียบๆ

“สำหรับปู่ หนูไม่ใช่หลานสาวคนหนึ่งของตระกูลเฝิง ไม่ใช่คุณหนูที่ผ่านการปรุงแต่ง ไม่ใช่สิ่งของที่วิสาหกิจจงหนานเอามาต่อรองธุรกิจ ไม่ว่าหนูจะดื้อ จะไม่รู้ความ ไม่ทำตามคำสั่งหรือไม่เชื่อฟังอย่างไร หนูก็เป็นหลานสาวของปู่”

เขาจับมือเจียงเซ่อแน่น

“ตอนนี้หนูโตแล้ว ปู่รู้ว่าหนูไม่ใช่เฝิงหนานคนเดิมอีกต่อไปและยังมีเผยอี้อยู่เคียงข้าง” เขาพูดถึงตรงนี้ พลันหยุดไอสองที “ความผิดในอดีต ปู่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ แต่สิ่งที่ปู่สามารถแก้ไขได้คือ ปู่จะอยู่ตรงนี้ เมื่อไหร่ที่หลานสาวของปู่ต้องการปู่ ปู่ก็พร้อมจะช่วยเหลือทุกอย่าง”

เจียงเซ่อพยายามหายใจช้าๆ อยากกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในตาไม่ให้ไหลลงมา

เธอไม่ใช่เด็กน้อย ความจริงก็รู้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า บางทีน้ำตาก็ไม่ได้ช่วยอะไร

แต่ทว่า วินาทีนี้ไม่ว่าเธอจะกลั้นอย่างไร น้ำตานั่นก็ไหลลงมาอย่างไม่รู้หยุด เธอมองชายชราที่ผอมบางไร้เรี่ยวแรงและเป็นคนที่ดื้อรั้นจนเลือดเย็นในสายตาของคนตระกูลเฝิง ตอนนี้กลับยืดอกและตะโกนว่า

“ขอเพียงแค่อาหนานน้อยของปู่ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป”

เขาอายุมากขนาดนี้แล้วแท้ๆ ผมขาวเกือบทั้งหัวแล้ว และช่วงก่อนเพิ่งจะเป็นหวัด เมื่อครู่ที่ผ่านมายังไออยู่เลย แม้กระทั่งเดินยังต้องมีคนคอยพยุง แต่ทว่า สำหรับเจียงเซ่อแล้ว เฝิงจงเหลียงในตอนนี้ กลับยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

แม้ว่าคำพูดของเขาจะสายไปมากแล้ว แต่ทว่า มันกลับทำให้บางอย่างที่ขาดหายไปจากส่วนลึกในหัวใจของเธอได้รับการเติมเต็ม

“ผู้ใหญ่เองก็กำลังค่อยๆ เรียนรู้ ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้อย่างไร” เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหลานสาวผู้สงบเสงี่ยมคนนี้ร้องไห้หนักขนาดนี้ เธอกัดริมฝีปาก พยายามกลั้นเสียงร้องไห้อย่างสุดชีวิต แต่กลับไม่สามารถห้ามเสียงสะอื้นได้

เธอกัดหลังมือ กลั้นน้ำตาจนหน้าแดงก่ำ

หลังจากถูกช่วยออกมาจากการลักพาตัว การแสดงออกของเฝิงชินหลุนและภรรยารวมทั้งคนในตระกูลเฝิงดูเกินจริงมากที่สุด พวกเขาร้องไห้ฟูมฟาย ราวกับทรมานมากกว่าเฝิงหนานที่ในตอนนั้นกลัวจนขวัญเสีย ทว่าเธอกลับเงียบและสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก

น้ำตาที่กลั้นมานานหลายปี ตอนนี้ได้ไหลทะลักออกมาทั้งหมด

“ให้อภัยปู่ได้ไหม”

เฝิงจงเหลียงเองก็อยากร้องไห้ เมื่อเห็นเธอร้องไห้อย่างหนักจึงยกมือขึ้นลูบหัวเธอ

เธอพยักหน้าอย่างสุดชีวิต พลางร้องไห้จนสะอื้นไม่หยุด

บนถนนข้างฝั่งแม่น้ำ หลังจากเหตุการณ์ผ่านมานานหลายปี ในที่สุดกำแพงที่ขวางกั้นอยู่ในใจของปู่หลานคู่นี้ก็ถูกทำลายลงเสียที

เจียงเซ่อไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้มาก่อน คำพูดของเฝิงจงเหลียงสำคัญกับเธอมาก ความจริงแล้ว สำหรับตระกูลเฝิง ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้ไม่สำคัญขนาดนั้น หายตัวไปก็ย่อมมีคนเป็นห่วง

สองปู่หลานเดินไปตามแนวฝั่งแม่น้ำและคุยกันหลายเรื่อง

สิ่งที่ในอดีตเธอไม่เคยพูดถึง ตอนนี้ก็ได้ลองเปิดใจกับคุณปู่

“ความจริง ตอนเด็กหนูเคยอิจฉาเพื่อนในชั้นเรียนที่ไม่สบาย ผู้ปกครองก็จะมาลาให้และไม่ต้องไปเรียน” แต่ทว่า พ่อแม่ตั้งความหวังกับเธอไว้สูงมาก หวังให้เธอเป็นหน้าเป็นตาให้วงศ์ตระกูล อนาคตเป็นหลานสาวคนโตที่มากความสามารถของตระกูลเฝิง เจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องทนไว้

“หนูจำได้ว่าตอนมัธยมต้น ในชั้นเรียนมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เกล้าผมขึ้นสวยมาก บอกว่าวันก่อนตัวเองสีไวโอลินเพราะ แม่เลยอุตส่าห์ตื่นเช้ามาทำผมให้เธอ ชมเธอไม่ขาดปากและยังให้ขนมเป็นรางวัลให้เธอด้วย”

เธอถูจมูกหลายที

“แต่หนูสีได้เพราะกว่าเขาอีก”

แต่ทว่า ไม่ว่าเธอจะทำดีเท่าไหร่ ในสายตาของพ่อแม่ ต่างก็คิดว่าเธอทำได้ดีกว่านี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกของรางวัล ไม่มีทางที่นางเฝิงจะยอมเสียเวลาเข้าสังคมมาโอ๋เธอ

เธอพูดถึงวันที่นิทรรศการภาพวาดที่โอวเมี่ยวเซิงไปจัดการฮ่องกง เธออยากไปร่วม แต่เพราะแม่บังคับให้เธอไปร่วมงานเลี้ยงในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้นและเอารายชื่อมากมายมาให้เธอท่อง ทำให้เธอไม่ได้ไปร่วมนิทรรศการครั้งนั้น

“ผลงานที่โอวเมี่ยวเซิงสร้างเอาไว้ ไม่ค่อยได้เอาออกมาโชว์มากขนาดนี้” สุดท้ายเธอไปดูผลงานของคนอื่นๆ หลายรอบและเสียดายอยู่นาน

“ความจริงที่ไม่อยากไปทานข้าวกับจ้าวจวินฮั่น เพราะหนูไม่สนิทกับเขาเลยแม้แต่น้อย”

แต่ทว่า เพราะวิสาหกิจจงหนานต้องร่วมงานกับเจียงหัวกรุ๊ป เพราะพ่อแม่ต้องการ เธอจึงจำต้องรับปาก

เธอบ่นไม่หยุด เฝิงจงเหลียงเอาแต่พยักหน้า

“หลานเก่งที่สุด ดีกว่าเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ หลายเท่า! ไม่ได้ไปดูนิทรรศการภาพวาดของโอวเมี่ยวเซิงก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวปู่ซื้อให้เพิ่มอีกหลายๆ รูปเอาไปแขวนไว้ในบ้านตัวเอง จะได้ชมนิทรรศการภาพวาดทุกวัน!”

“อย่าไปทานข้าวกับเจ้าคนเจ้าเล่ห์ตระกูลจ้าวนั่นเลย เจ้านั่นมันมากแผนการ ไม่นิ่งขรึมเหมือนกับอาอี้...”

เขาเหมือนกำลังโอ๋เด็ก ในที่สุดก็ทำให้เจียงเซ่อยิ้มออกจนได้

“แน่นอนว่าต่อไปจะไม่ทานข้าวกับเขาอีก...”

เพราะต่อไปคนที่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพ่อแม่เฝิง คนที่ได้ร่างกายและฐานะของเฝิงหนานไปและต้องไปทานข้าวกับจ้าวจวินฮั่นนั้นได้กลายเป็นคนอีกคนไปแล้ว