บทที่ 559 อ่อนโยน
เฝิงหนานไม่อยู่ในบ้าน คนที่มีหน้าที่ดูแลเธอเองก็ไม่สามารถตอบอะไรได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณหนูหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่
อาจจะเพราะปกติ เด็กผู้หญิงคนนี้เรียบร้อยเกินไป ไม่เคยทำให้ต้องเป็นห่วง เกิดเรื่องขึ้นนานขนาดนี้แล้ว จนกระทั่งเฝิงจงเหลียงถาม ทุกคนถึงค่อยรู้ว่าเธอหายตัวไป
ได้ยินเสียงเล่นไพ่ของแม่เฝิงผ่านโทรศัพท์ เฝิงจงเหลียงแทบจะทนความโกรธไม่ได้ ตะโกนสั่งให้เธอกลับบ้านทันที
หลังจากที่เธอกลับมา สำหรับพ่อสามีคนนี้เธอโกรธแต่ไม่กล้าพูดอะไร ความกังวลบนใบหน้าของเธอ ถ้าจะบอกจะเป็นเพราะลูกสาว ควรจะบอกว่าเป็นเพราะเธอแพ้ไพ่ตานั้นเสียมากกว่า
ผู้ช่วยถือกระเป๋าเดินตามอยู่ข้างหลังเธอ ใบหน้าที่ตกแต่งอย่างประณีต ไม่สามารถปกปิดใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของหล่อนได้
หลังจากรู้ว่าลูกสาวหายตัวไป เธอก็บ่นไม่หยุด ตอนแรกคาดเดาอย่างมั่นใจว่าลูกสาวดื้อ จะต้องออกไปเล่นที่ไหนสักที่แล้วยังไม่ยอมกลับบ้านแน่ๆ
เฝิงจงเหลียงมองเธอที่หาวไม่หยุดด้วยสายตาเย็นเฉียบ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีความเย็นเยียบแผ่กระจายออกมาจากกระดูก
เมื่อก่อนเพราะสงครามการปฏิวัติ เขาต้องลำบากอยู่ข้างนอก ทุกอย่างในบ้านปล่อยให้ภรรยาเป็นคนจัดการ ตอนที่หัวเซี่ยชนะสงครามปฏิวัติ เขาพาครอบครัวไปอยู่ที่ฮ่องกง ลูกๆ ต่างก็อายุไม่น้อยแล้ว
อาจจะเพราะวิธีการสั่งสอน เด็กๆ ในบ้านตระกูลเฝิง จึงกลัวพ่อคนนี้มากกว่ารัก
เป็นทหารมานานหลายปี เฝิงจงเหลียงเองก็เป็นคนที่เด็ดเดี่ยว ไม่พูดเล่น และเคร่งครัดเป็นอย่างมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในบ้านล้วนกลัวเขามาก บรรดาหลานๆ น้อยคนมากที่จะสนิทกับเขา แม้กระทั่งตอนอยู่ต่อหน้าเขา ส่วนมากล้วนนอบน้อมและมีมารยาท ถึงขั้นมีคนกลัวจนตัวสั่นด้วยซ้ำ
เขาไม่ค่อยสนิทกับคนในครอบครัว ความสัมพันธ์ทางสายเลือดดูห่างเหินมาก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่กลับจากงานเลี้ยง บ้านหลังใหญ่ที่เขาสร้างมาด้วยความยากลำบากจึงดูอ้างว้างมากเป็นพิเศษ
ทุกครั้งที่เมา เสี่ยวหลิวเป็นคนจัดการทุกอย่างให้ตลอด
แต่ทว่า เฝิงจงเหลียงกลับไม่เคยรู้สึกว่าตระกูลเฝิงเย็นชาได้มากเท่าตอนนี้เลย คฤหาสน์หลังนี้เย็นชาจนเขาไม่สามารถสัมผัสถึงความเป็นคนได้
เขาสั่งให้คนตามหาเฝิงหนาน คนในบ้านอื่นๆ ต่างถูกเรียกให้มารวมตัวกัน คนเหล่านี้พยายามเก็บความไม่พอใจเอาไว้ แต่ท่ามกลางความกดดันจากเขากลับไม่กล้าไม่แต่จะหายใจแรงๆ
เฝิงจงเหลียงยังจำได้ว่า เฝิงชินหลุนเป็นคนที่เจอตัวเป็นคนสุดท้าย
ในฐานะพ่อแท้ๆ ของเฝิงหนาน ลูกสาวหายตัวไปทั้งคนเขากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย เขาถูกลากตัวลงจากเตียงของหวางจือชิวโดยที่ยังไม่ทันสร่างเมา และถูกคุมตัวให้มาอยู่ตรงหน้าเฝิงจงเหลียง ด้วยสภาพสายตาพร่ามัวเพราะอาการเมา เสื้อผ้าหลุดลุ่ย หมดสภาพ
เฝิงจงเหลียงถามเขาว่า
“เฝิงหนานล่ะ”
“เฝิงหนานหรือ”
เขาถึงขั้นหยุดคิดพักใหญ่ ถึงค่อยนึกถึงได้ว่ามีลูกสาวคนนี้ พลันชี้ขึ้นไปบนห้อง
“อาจจะหลับแล้ว”
ตอนนั้น สิ่งที่เฝิงจงเหลียงตอบกลับเขาคือการตบหน้าอย่างรุนแรง ทำให้เฝิงชินหลุนล้มลงไปกับพื้นทันที พลันสั่นไม่หยุด
เขากลัวพ่อมาก ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเถียงกลับ
คนจากบ้านอื่นๆ บางคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น บางคนถึงกับกลั้นหายใจ ไม่มีใครเสนอวิธีแก้ปัญหาและช่วยอ้อนวอนขอโอกาสให้เฝิงชินหลุนเลยแม้แต่คนเดียว
ความเงียบสงบแบบนั้น แม้จะผ่านมานานหลายปี แต่เฝิงจงเหลียงก็ยังคงจำได้แม่น
ตอนนั้น เฝิงจงเหลียงเริ่มคิดทบทวนการสั่งสอนที่ล้มเหลวของตนเอง เริ่มย้อนคิดว่าที่เขาทุ่มเทเพื่อวิสาหกิจจงหนานมาเกือบทั้งชีวิตมันเพื่ออะไรกัน
พัสดุถูกเปิดออกและวางอยู่ตรงหน้าทุกคน แต่ละคนราวกับกำลังชื่นชมของแปลก บางคนดูหวาดกลัว บางคนรู้สึกโชคดีที่ไม่ใช่ตนเอง แต่ทุกคนต่างทำเหมือนเป็นเรื่องชวนขนลุกที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
เฝิงหนานหายตัวไปตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเห็นเธอครั้งสุดท้ายตอนไหน
รู้เพียงแค่ว่า เล็บสามชิ้นที่มีเลือดติดอยู่นั้น ได้รับตั้งแต่เจ็ดถึงแปดชั่วโมงก่อนหน้านี้
ในช่วงเวลาที่ยาวนานนั้น เฝิงจงเหลียงมักจะหวนคิดถึงเล็บที่มีเลือดติดอยู่สามชิ้นนั้นอยู่เสมอ สิ่งที่เขาคิดมันมากกว่าความเจ็บปวดในตอนที่เฝิงหนานโดนถอดเล็บ ความจริงแล้วสิ่งที่ในใจเขามันแอบกลัวคือ วินาทีที่เฝิงหนานโดนถอดเล็บ อาจจะเคยหวังว่าคนที่บ้านจะมาช่วย มาปกป้องเธอไม่ให้พวกคนร้ายทรมานเธอใช่หรือเปล่า
ความหวังเหล่านั้นของเธอ จะค่อยๆ หายไปท่ามกลางการรอคอยอย่างสิ้นหวังหรือไม่
ยามดึกที่เงียบเหงา เฝิงจงเหลียงมักจะอดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อาจเข้าไปถามได้ เพราะหลังจากที่ช่วยเฝิงหนานออกมา เธอก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ
คนใช้ที่ดูแลเธอยิ่งมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งสงบเสงี่ยมและเชื่อฟังมากขึ้นเท่านั้น
เหมือนถังจิ้งในหนังเรื่องนี้ ถูกขังไว้ในที่มืด ความรู้สึกตอนที่รอคอยการช่วยเหลือ รอคอยให้คนร้ายยื่นข้อเสนอขอเงินประกันกับครอบครองตระกูลถัง
ตอนนั้นเธอก็คงเหมือนในหนัง พยายามคลานเข้าหาแสงสว่าง ให้แสงอาทิตย์และแสงไฟสาดส่องบนร่างกายเธอ รอพ่อแม่ รอครอบครัวพังประตูเข้ามา
หลังจากผิดหวัง รู้ว่าไม่มีใครใครมาช่วยแล้ว เธอจึงคลานเข้าไปในที่มืด ขดตัวเป็นก้อน ไม่อยากให้ใครเห็นว่าตนเองอยู่ตรงนี้ เพราะถ้าไม่เห็นเธอ พวกเขาก็จะไม่ทำร้ายเธออีกใช่หรือไม่
เฝิงจงเหลียงมองถังจิ้งที่นั่งห่อตัวอยู่ในมุมหนึ่ง แม้กระทั่งเท้าข้างที่เปลือยเปล่าถูกแสงไฟสาดส่องเข้า เธอยังตกใจจนตัวสั่นและพยายามกระถดตัวหนีไม่หยุด มันเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกบิดคว้าน จนน้ำตาแทบจะไหลออกมา
เขาจำได้ว่าตอนที่เขาช่วยเฝิงหนานออกมา เธอนั่งห่อตัวอยู่ในมุมมืด ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นตำรวจเปิดไฟฉายเอาไว้ บางทีอาจจะไม่เห็นเธอที่ตัวเล็กมากได้ง่ายๆ
ภาพในอดีตและภาพที่ปรากฏอยู่ในหนังในตอนนี้ ทำไมถึงเหมือนกันได้ขนาดนี้นะ
หลิวเย่ที่แสดงเป็นเฉิงเจี้ยนกั๋วหลังจากได้รับภารกิจ ‘ดูแล’ ตัวประกัน ก็มีเวลาอยู่กับถังจิ้งมากขึ้น ในฐานะตัวร้ายที่จนตรอกและเหยื่อ อาจจะเพราะความอ่อนโยนและไร้ที่พึ่งของถังจิ้ง จึงค่อยๆ ชนะใจเฉิงเจี้ยนกั๋ว
เขาอยากจะที่แสดงความโหดเหี้ยมอย่างเต็มกำลังเหมือนตอนแรก บางทียังมีอาการโมโหเพราะฐานะของถังจิ้งบ้าง แต่ส่วนมากมักจะดีกับถังจิ้งเสียมากกว่า
ขาที่เขายกขึ้นมาควรจะถีบลงไปสุดแรง แต่ไม่รู้เพราะอะไร ขาข้างนั้นราวกับมีน้ำหนักเป็นพันกิโล พอยกขึ้นมา ก็กลับวางลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็กผู้หญิงคนนี้ จากตอนแรกที่โดนทำร้ายแล้วยังเกาะหน้าต่างอย่างดื้อรั้นไม่ยอมปล่อย บางทียังยื่นมือออกมาไปเหมือนอยากจับแสงพระอาทิตย์ จนสุดท้ายไปหลบอยู่ในมุม หวาดกลัวแสงสว่าง บางทีไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ราวกับตายไปแล้ว
เธอว่าง่ายจนดูผิดปกติ เฉิงเจี้ยนกั๋วเกิดสงสัยในตัวเธอ จนวันหนึ่งจึงอดถามเธอไม่ได้
“เธอเป็นแบบนี้ตลอดเลยหรือ”
แม้กระทั่งลูกสาวของเขาที่อายุเพิ่งจะสิบขวบ สำหรับเขาแล้วเธอเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย สามารถอดทนต่อความทรมานเพราะโรคหัวใจได้ แต่บางทีก็อดไม่ได้ที่จะเอาแต่ใจตามประสาเด็ก และมักจะออดอ้อนและทำตัวน่ารักกับเขา
เฉิงเจี้ยนกั๋วไม่รู้ว่าเด็กอายุสิบแปดคนอื่นๆ ควรจะเป็นอย่างไร แต่ทว่า เขายังจำได้ว่าตอนที่เขาอายุสิบแปด เป็นช่วงอายุที่ไม่กลัวฟ้าดิน ก่อเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ลงไปไม่น้อย ใช้อารมณ์แก้ไขปัญหา ทำให้พ่อแม่ปวดหัวไม่น้อย
เมื่อเทียบกันแล้ว ถังจิ้งเกิดในตระกูลร่ำรวย รอบข้างมีทุกอย่างที่ต้องการ เธอคงจะหยิ่งทะนงเหมือนเจ้าหญิง ไม่ใช่เงียบเหมือนควันบุหรี่ที่ล่องลอยแบบนี้ เหมือนอาจจะหายไปกลางอากาศได้โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
หลังจากคุ้นชินกับความมืดดวงตาคู่โตของเธอก็ทอดมองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย เฉิงเจี้ยนกั๋วเชื่อว่าเธอรู้ว่าตนเองอยู่ตรงนี้ เพราะตัวเธอยังคงสั่นเทาตามสัญชาตญาณท่ามกลางความมืดนั้น